หลังจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ตัดสินใจยุบสภา ผลกระทบที่ตามมาในบริบทของฝ่ายนิติบัญญัติ ดูจะรุนแรง ทั้งทางกว้างและทางลึก
การตัดสินใจยุบสภาของนายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล ทำให้รัฐบาลที่เคยมีอำนาจเต็มมือตามกฎหมาย กลายสภาพเป็น “รัฐบาลรักษาการ”
ความพยายามแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของประชาชนทับซ้อนกับเขตป่าสงวนและอุทยานแห่งชาติในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีมาอย่างเนิ่นนาน
ชื่อที่โด่งดังติดปากผู้คน พร้อมๆ กับมหาอุทกภัยหาดใหญ่ ก็คือ “เขต 8”
สถานการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่เริ่มคลี่คลาย ทำให้บรรดา “คนหาย” ที่เคยถูกชาวบ้านประกาศตามหา เริ่มปรากฏตัว
การที่รัฐบาล อนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ สู้มหาอุทกภัย เหมือนกับที่เคยใช้สู้ “โรคระบาดโควิด” มีคำถามว่า “ถูกฝาถูกตัว” หรือ “ผิดฝาไม่ถูกตัว” กันแน่ และมีความเหมาะสมแค่ไหน
แม้การที่ “คนการเมือง” แห่ลงพื้นที่หาดใหญ่ หลังจากประสบอุทกภัยฉับพลัน เทศบาลยกธงแดง ทำให้ถูกมองว่าเป็นการพยายามหาเสียง หาคะแนนทางการเมือง ท่ามกลางข่าวนายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล เตรียมยุบสภา และใกล้เลือกตั้งเต็มที
ใกล้จะครบกำหนด 4 เดือนตามเงื่อนไขใน MOA ที่รัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล ทำความตกลงเอาไว้กับพรรคประชาชน เพื่อขอเสียงสนับสนุนในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
เหตุการณ์ทหารไทยเหยียบ “ทุ่นระเบิด” ที่ทหารกัมพูชาลอบวางดักเอาไว้ ล่าสุดเมื่อ 10 พ.ย.68 ส่งผลให้ทหารขาขาดเป็นรายที่ 7 แล้ว
จังหวะก้าวทางการเมืองว่าด้วยการลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะนราธิวาส และปัตตานี ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม ระหว่างวันที่ 7-8 พ.ย.68 นับว่าน่าสนใจและสร้างนัย “การเมืองเดือด” เป็นอย่างยิ่ง