
ศาลฎีกฯ ยกคำร้องคดี ‘เบญจพล สวัสดิ์พาณิชย์’ ขรก.การเมืองประจำสำนักนายกฯปี 2554 ลูกชาย ‘วงศ์ศักดิ์’อดีตอธิบดี ปค. ถูกชี้มูลรวยผิดปกติ 36.9 ล. ระบุ ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจยื่นคำร้อง พ้นตำแหน่งเกิน 5 ปี ไม่มีหลักฐานชัดแจ้งอันเป็นเหตุอันควรสงสัยให้ตรวจสอบ หลังอัยการสูงสุดไม่เห็นพ้อง ต้องฟ้องเอง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษา เมื่อ วันที่ 17 กรกฎาคม 2568 ให้ยกคำร้อง คดีนายเบญจพล สวัสดิ์พาณิชย์ ผู้ดำรงตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปี 2554 ผู้ถูกกล่าวหา ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินอันเนื่องจากร่ำรวยผิดปกติ 36,930,960.26 บาท
ศาลฎีกาฯเห็นว่า คดีนี้ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีอันเป็นเจ้าพนักงานของรัฐเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2555 แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เพิ่งมีมติในการประชุมครั้งที่ 88/2562 เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 ว่าผู้ถูกกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ เกินกว่า 5 ปี หลังจากผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากตำแหน่งแล้ว ดังนั้น หากคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะยกเรื่องขึ้นพิจารณาจำต้องแสดงให้เห็นว่า กรณีของผู้ถูกกล่าวหาต้องปรากฏหลักฐานโดยชัดแจ้งว่าเป็นกรณีที่เป็นการกระทำที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ก่อขึ้นหรือมีส่วนร่วมในการกระทำและการกระทำนั้นก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงตามเงื่อนไขข้อยกเว้น
แต่ตามทางไต่สวนได้ความเพียงว่าที่ผู้ร้องยกคดีขึ้นไต่สวนด้วยเหตุอันควรสงสัยนั้นมาจากการเปรียบเทียบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินกรณีเข้ารับตำแหน่งและกรณีพ้นจากตำแหน่งว่ามีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ ไม่สัมพันธ์กับรายได้จากเงินเดือนของผู้ถูกกล่าวหา โดยไม่ได้ความว่าทรัพย์สินที่เป็นมูลเหตุของการร่ำรวยผิดปกติตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยกขึ้นพิจารณาเป็นคดีนี้ ผู้ถูกกล่าวหากระทำการใดอันเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินดังกล่าว ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเทียบเท่าข้าราชการประเภทอำนวยการระดับต้น ไม่มีข้าราชการในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา จึงไม่มีอำนาจสั่งการ ควบคุม หรือกำกับให้ข้าราชการหรือผู้หนึ่งผู้ใดกระทำการหรืองดเว้นกระทำการในลักษณะที่จะให้คุณให้โทษ อีกทั้ง ระหว่างที่ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งไม่ปรากฏว่ามีบุคคลใดกล่าวหาว่าผู้ถูกกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ
แม้ความผิดฐานร่ำรวยผิดปกติ กฎหมายกำหนดให้เป็นการกระทำการทุจริตต่อหน้าที่และกำหนดโทษ ให้ไล่ออกหรือถอดถอนจากตำแหน่งตามมาตรา 122 วรรคสามและวรรคท้าย ก็เป็นเรื่องที่กฎหมายบัญญัติให้ถือว่ากรณีร่ำรวยผิดปกติเทียบได้กับการกระทำการทุจริตต่อหน้าที่เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาใช้ดุลพินิจดำเนินการทางวินัยแก่ผู้ถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติเท่านั้น ซึ่งตามพฤติการณ์ในคดีนี้ยังไม่ปรากฏหลักฐานโดยชัดแจ้งว่ามีการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงประการใดอันจะเข้าเงื่อนไขข้อยกเว้นที่ให้อำนาจคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยกเรื่องขึ้นพิจารณาตามมาตรา 55 ได้และที่ผู้ร้องอ้างว่าการยกเรื่องขึ้นไต่สวนเป็นการยกขึ้นด้วยเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ถูกกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ ตามมาตรา 59 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวที่ให้อำนาจคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยกขึ้นไต่สวน ได้ภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากการเป็นเจ้าพนักงานของรัฐหรือพ้นจากตำแหน่งที่ถูกกล่าวหา การดำเนินการไต่สวนตลอดจนการยื่นคำร้องคดีนี้ของผู้ร้องชอบด้วยกฎหมายแล้วนั้น
ศาลฎีกาฯเห็นว่า มาตรา 59 วรรคสอง บัญญัติว่า ภายใต้บังคับมาตรา 55 การกล่าวหาเจ้าพนักงานของรัฐให้กล่าวหาในขณะที่ผู้ถูกร้องเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ หรือพ้นจากการเป็นเจ้าพนักงานของรัฐไม่เกินห้าปี แต่ไม่ตัดอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่จะยกคำกล่าวหาที่ได้มีการกล่าวหาไว้แล้วหรือกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยขึ้นไต่สวนได้ ทั้งนี้ ต้องไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่ผู้ถูกร้องพ้นจากการเป็นเจ้าพนักงานของรัฐหรือพ้นจากตำแหน่งดังกล่าว แล้วแต่กรณี แสดงว่าบทบัญญัตินี้เป็นบทบัญญัติคนละกรณีกับมาตรา 55 กล่าวคือ กรณีตามมาตรา 59 วรรคสอง เป็นเรื่องกรณีที่มีบุคคลอื่นนอกจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ร้องกล่าวหาว่าเจ้าพนักงานของรัฐร่ำรวยผิดปกติ เพราะถ้อยคำในบทมาตรานี้ ระบุแต่เพียงคำว่า “ผู้ถูกร้อง” เท่านั้น มิได้กล่าวถึง “ผู้ถูกกล่าวหา” ดังเช่นที่มาตรา 55 บัญญัติไว้ด้วยแต่อย่างใด อันเป็นคนละขั้นตอนกับอำนาจการรับหรือยกเรื่องขึ้นพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามมาตรา 55 โดยหากบุคคลใดจะร้องว่าเจ้าพนักงานของรัฐร่ำรวยผิดปกติ ก็ต้องร้องภายในระยะเวลาที่ผู้ถูกร้องเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ หรือพ้นจากการเป็นเจ้าพนักงานของรัฐไม่เกินห้าปี เช่นเดียวกัน แม้บทบัญญัติมาตรา 59 วรรคสอง จะให้อำนาจคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่จะยกคำกล่าวหาที่บุคคลอื่นได้กล่าวหาไว้แล้วหรือกรณีมีเหตุอันควรสงสัยขึ้นไต่สวนได้ก็ตาม แต่บทบัญญัติดังกล่าวก็บัญญัติไว้ชัดเจนว่า กรณีต้องอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 55 ด้วย กล่าวคือ หากมีบุคคลใดร้องกล่าวหา หรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีเหตุอันควรสงสัยตามมาตรา 59 วรรคสอง
คณะกรรมการ ป.ป.ช. จำต้องพิจารณาว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจรับหรือยกเรื่องขึ้นพิจารณาตามมาตรา 55 ได้หรือไม่ด้วย คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะเลือกแปลความโดยอาศัยแต่เพียงเฉพาะกรณีมีเหตุอันควรสงสัย ตามบทบัญญัติในมาตรา 59 วรรคสอง ตอนท้าย แล้วใช้อำนาจรับหรือยกเรื่องขึ้นพิจารณาโดยมิได้นำเงื่อนไขหลักเกณฑ์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 55 มาบังคับใช้แก่กรณีด้วยทั้งที่บทบัญญัติมาตรา 59 วรรคสอง ตอนต้น บัญญัติไว้อย่างชัดเจนหาได้ไม่ เพราะจะส่งผลให้เป็นการแปลความกฎหมายที่ขยายอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. อย่างกว้างขวางและปราศจากกฎหมายรับรอง ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ฝ่ายผู้ถูกร้องหรือผู้ถูกกล่าวหา
คำพิพากษาระบุว่า การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยกเรื่องผู้ถูกกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ ขึ้นพิจารณาจึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อทรัพย์สินที่อ้างว่าร่ำรวยผิดปกติตามคำร้องในคดีนี้เป็นทรัพย์สินที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่มีอำนาจที่จะยกขึ้นไต่สวนข้อเท็จจริงได้เสียแล้ว ผู้ร้องย่อมไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน เมื่อวินิจฉัยเช่นนี้แล้วจึงไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาอื่นอีกต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคดีนี้คณะกรรมการไต่สวนมีความเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติโดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติที่อยู่ในชื่อผู้ถูกกล่าวหา และผู้คัดค้านทั้งสาม รวมมูลค่า 36,930,960.26 บาท แล้วส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินการ แต่อัยการสูงสุดเห็นว่าสำนวนการไต่สวนยังไม่สมบูรณ์พอเนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่มีอำนาจ ยกเรื่องขึ้นพิจารณาเพราะผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากตำแหน่งที่ถูกกล่าวหาไปแล้วเกินห้าปี โดยไม่ปรากฏกรณีที่เข้าเงื่อนไขข้อยกเว้นที่ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจยกเรื่องขึ้นพิจารณาตามมาตรา 55 ได้ เป็นเหตุให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องฟ้องคดีเองเป็นคดีนี้กระทั่งศาลฎีกาฯยกคำร้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเบญจพล สวัสดิ์พาณิชย์ เป็นบุตรนายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมการปกครอง ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี เคยดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย

