
"...คดีแรก โทษจำคุก 2 ปี 6 เดือน ได้รอลงอาญา 2 ปี , คดีสอง จำคุก 6 ปี ได้รอลงอาญา 2 ปี , คดีสาม ได้ยกฟ้อง , คดีที่สี่ ได้ยกฟ้อง ส่วน คดีล่าสุด หรือนับเป็นคดีที่ห้า กรณีเบิกจ่ายเงินค่าจ้างและค่าวัสดุครุภัณฑ์โครงการต่างๆ และแก้ไขเปลี่ยนแปลงชื่อผู้รับเงินตามเช็คโดยมิชอบ ที่โดนโทษจำคุก 30 ปี นับเป็นคดีแรกที่ นายลำพอง โดนลงโทษจำคุก โดยไม่รอลงอาญา หรือยกฟ้อง หลังศาลอุทธรณ์สั่งแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น..."
รวมโทษ 6 กระทง จำคุก 30 ปี
คือ ผลคำพิพากษาตัดสินคดีกล่าวหา นายลำพอง นามพันธ์ อดีตนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) พิมลราช อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี กรณีเบิกจ่ายเงินค่าจ้างและค่าวัสดุครุภัณฑ์โครงการต่างๆ และแก้ไขเปลี่ยนแปลงชื่อผู้รับเงินตามเช็คโดยมิชอบ ซึ่งถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 151, 157 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา พร้อมพวก คือ นายวิรัติ ปีดแก้ว นางสาวจรรยา ชาญวิชัย
ที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำมาเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบไปแล้ว
โดยเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1
จากเดิม ที่มีคำพิพากษาว่า
1. นายลำพอง นามพันธ์ จำเลยที่ 1 นายวิรัติ ปีดแก้ว จำเลยที่ 2 และนางสาวจรรยา ชาญวิชัย จำเลยที่ 3 มีความผิดตามกฏหมาย
ลงโทษจำคุก นายลำพอง นามพันธ์ จำเลยที่ 1 จำนวน 6 กระทง รวม 6 ปี ปรับ 30,000 บาท
ลงโทษจำคุก นายวิรัติ ปีดแก้ว จำเลยที่ 2 มีกำหนด 26 ปี
ลงโทษจำคุก นางสาวจรรยา ชาญวิชัย จำเลยที่ 3 มีกำหนด 10 ปี และปรับ 50,000 บาท
2. รอลงอาญาโทษจำคุก นายลำพอง นามพันธ์ จำเลยที่ 1 และ นางสาวจรรยา ชาญวิชัย จำเลยที่ 3 ไว้มีกำหนด 2 ปี
แก้เป็นว่า
จำเลยทั้งสามมีความผิดตามมาตรา 151 (เดิม), 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป จำคุก กระทงละ 5 ปี
จำเลยที่ 1 รวม 6 กระทง จำคุก 30 ปี
จำเลยที่ 2 และที่ 3 รวม 10 กระทง จำคุกคนละ 50 ปี ไม่ลงโทษปรับและไม่รอการลงโทษ จำเลยที่ 1 และ ที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น


อย่างไรก็ดี คดีนี้ไม่ใช่คดีเดียว ที่นายลำพอง นามพันธ์ ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดและศาลมีพิพากษาตัดสินไปแล้ว ก่อนหน้านี้มี 4 คดี ที่ผลคำพิพากษาศาลฯ ให้รอลงอาญาหรือยกฟ้อง
มีรายละเอียดดังนี้
@ คดีแรก
- กรณีทุจริตในการเบิกเงินค่าจ้างเหมาปรับสถานที่เพื่อใช้ในโครงการสืบสานประเพณีวันสงกรานต์
นายลำพอง นามพันธ์ ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ,157 และมาตรา 161 (1) ,(4) ประกอบมาตรา 83 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2560 พร้อมพวก คือ นายทินกฤต หรือ วิรัตน์ ปีดแก้ว และนางสาวจรรยา ชาญวิชัย
เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2564 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 มีคำพิพากษาว่า นายลำพอง นามพันธ์ จำเลยที่ 1 มีความผิดตามมาตรา 151 จำคุก 5 ปี และปรับ 20,000 บาท
นายลำพอง นามพันธ์ ให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน และปรับ 10,000 บาท โดยโทษจำคุก ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี
ยกฟ้อง สำหรับ นายทินกฤต หรือ วิรัตน์ ปีดแก้ว จำเลยที่ 2 และ นางสาวจรรยา ชาญวิชัย จำเลยที่ 3

@ คดีสอง
- กรณีทุจริตในการเบิกจ่ายเงินค่าจ้างเหมาปรับสถานที่เพื่อใช้ในโครงการสืบสานประเพณีวันสงกรานต์
นายลำพอง นามพันธ์ ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 , 157 และ 162(1)(4) ประกอบมาตรา 83 (แต่มาตรา 162 (1) (4) ขาดอายุความ) ตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 ส.ค.2562 พร้อม นายวิรัติ ปีดแก้ว นางสาวจรรยา ชาญวิชัย
เมื่อวันที่ 24 ม.ค.2567 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 มีคำพิพากษาดังนี้
1. นายลำพอง นามพันธ์ จำเลยที่ 1 มีความผิดตามกฎหมาย จำคุก 6 ปี และปรับเงิน 30,000 บาท
2. นายวิรัติ ปีดแก้ว จำเลยที่ 2 มีความผิดตามกฎหมาย รวมลงโทษจำคุก 26 ปี
3. นางสาวจรรยา ชาญวิชัย จำเลยที่ 3 มีความผิดตามกฎหมาย รวมจำคุก 10 ปี และปรับเงิน 50,000 บาท
4. ไม่ปรากฏว่า นายลำพอง นามพันธ์ จำเลยที่ 1 นางสาวจรรยา ชาญวิชัย จำเลยที่ 3 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นควรให้โอกาสกลับตนเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอลงการลงโทษไว้ 2 ปี
5. นับโทษจำคุกนายวิรัติ ปีดแก้ว จำเลยที่ 2 ต่อจากโทษคดีเดิม

@ คดีสาม
- กรณีทุจริตในการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ โดยกระทำการแก้ไขชื่อผู้รับเงินในเช็คเป็นพนักงานขับรถยนต์ที่มิใช่เจ้าหนี้หรือผู้มีสิทธิรับเงินตามเช็ค
นายลำพอง นามพันธ์ ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157 ประกอบมาตรา 91 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 พ.ค.2564
คดีนี้ ปรากฏชื่อ นายวิรัติ ปีดแก้ว เป็นจำเลยที่ 1 นายบุญเรศ หนูขาว จำเลยที่ 2 นางสาวจรรยา ชาญวิชัย จำเลยที่ 3 และนายลำพอง นามพันธ์ เป็นจำเลยที่ 4
เมื่อวันที่ 29 ก.ย.2566 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 มีคำพิพากษาว่า นายวิรัติ ปีดแก้ว จำเลยที่ 1 มีความผิดตามกฎหมาย ให้ลงโทษตามมาตรา 151 ลงโทษจำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 18 กระทง เป็นจำคุก 90 ปี และตาม ป.อ. มาตรา 157 (เดิม) จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 91 กระทง เป็นจำคุก 91 ปี
รวมโทษทุกกระทงแล้ว ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 50 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 91 (3) นับโทษ จำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีเดิม
ส่วน นายบุญเรศ หนูขาว จำเลยที่ 2 นางสาวจรรยา ชาญวิชัย จำเลยที่ 3 และนายลำพอง นามพันธ์ เป็นจำเลยที่ 4 ให้ยกฟ้อง

คดีที่สี่
กรณี จัดจ้างปรับสถานที่จัดงาน 5 ธันวามหาราช 2550 ด้วยวิธีพิเศษ โดยจงใจไม่ดำเนินการจัดจ้างโดยวิธีสอบราคา ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุขององค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2538 และจัดทำเอกสารการจัดจ้างเป็นเท็จ
นายลำพอง นามพันธ์ ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157 และ 162 (1) (4) ประกอบ มาตรา 86 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2566 พร้อมกับนายวิรัติ ปิดแก้ว นายอร่าม มามีเกตุ
เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 มีคำพิพากษาดังนี้
1. นายวิรัติ ปิดแก้ว จำเลยที่ 2 มีความผิดตามมาตรา 151 (เดิม) จำคุก 5 ปี ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชนแ์ก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตาม มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง
คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี 6 เดือน นับโทษต่อจากโทษคดีเดิม
2. นายอร่าม มามีเกตุ จำเลยที่ 3 มีความผิดตามมาตรา 151 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 3 ปี 4 เดือน
3. ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับ นายลำพอง นามพันธ์ จำเลยที่ 1

***************
จากข้อมูลข้างต้น นับรวมคดีล่าสุด ที่ศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาสั่งลงโทษ จำคุก 30 ปี เท่ากับว่า นายลำพอง ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดและถูกศาลพิพากษาตัดสินไปแล้ว จำนวน 5 คดี
คดีแรก โทษจำคุก 2 ปี 6 เดือน ได้รอลงอาญา 2 ปี , คดีสอง จำคุก 6 ปี ได้รอลงอาญา 2 ปี , คดีสาม ได้ยกฟ้อง , คดีที่สี่ ได้ยกฟ้อง
ส่วน คดีล่าสุด หรือนับเป็นคดีที่ห้า กรณีเบิกจ่ายเงินค่าจ้างและค่าวัสดุครุภัณฑ์โครงการต่างๆ และแก้ไขเปลี่ยนแปลงชื่อผู้รับเงินตามเช็คโดยมิชอบ ที่โดนโทษจำคุก 30 ปี นับเป็นคดีแรกที่ นายลำพอง โดนลงโทษจำคุก โดยไม่รอลงอาญา หรือยกฟ้อง หลังศาลอุทธรณ์สั่งแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นตามที่ปรากฏเป็นข่าวข้างต้น (พวกคนอื่นๆ ก็ถูกตัดสินลงโทษจำคุกหลายปีเช่นกัน)
ส่วนคดีอื่น ๆ แม้จะได้รอลงอาญาหรือยกฟ้องมาตลอด แต่ก็เป็นผลคำพิพากษาศาลชั้นต้นเท่านั้น ขณะที่ จำเลย ก็มีสิทธิ์ต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลที่สูงกว่านี้อีกได้
บทสุดท้ายคำพิพากษาคดีเหล่านี้ ในชั้นอุทธรณ์จะออกมาเป็นอย่างไร ต้องคอยติดตามดูกันต่อไป
แต่ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร กรณี นายลำพองและพวก นับเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาสำคัญเกี่ยวกับวิบากกรรมทุจริตของ ผู้บริการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ข้าราชการเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ให้เดินย้ำซ้ำรอยเอาเป็นเยี่ยงอย่างในอนาคตอีกต่อไปอีกหนึ่งกรณี
