
"...คำถาม คือ ในการสอบสวนของดีเอสไอ นับตั้งแต่กลางเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ที่มีอดีตเจ้าหน้าที่ สตง.มาร้องเรียน คิดเป็นระยะเวลาประมาณเดือนเศษ ได้มีการตรวจสอบข้อมูลโดยละเอียดแล้วหรือยัง ว่า มีความผิดที่ชัดเจนเกิดขึ้นตรงจุดไหนบ้าง เจ้าหน้าที่รัฐรายไหนเกี่ยวข้องบ้าง ไม่เกี่ยวข้องบ้าง มีหลักฐานเส้นทางการเงินประกอบแล้วหรือไม่ หรือแค่กวาดเหวี่ยงแหเอามาไว้ทั้งหมดก่อน เพื่อรีบส่งเรื่อง ป.ป.ช. เพื่อให้ทันกำหนดระยะเวลา 30 วัน ตามที่กฎหมายกำหนดไว้..."
ประเด็นตรวจสอบข้อมูลเชิงลึก!
กรณีการก่อสร้างอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ ที่พังถล่มลงมาหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ในส่วนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีความคืบหน้ามากขึ้นเป็นลำดับ
โดยเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ แถลงข่าวถึงความคืบหน้าคดีพิเศษที่ 58/2568 กรณีตรวจสอบสัญญา 3 ฉบับ ได้แก่ สัญญาการออกแบบ สัญญาการก่อสร้าง และสัญญาการควบคุมงาน ในโครงการก่อสร้างสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ความผิดตามกฎหมาย พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 เนื่องจากเป็นเรื่องเกี่ยวพันกันในส่วนของตำแหน่งหน้าที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยคดีต้องส่งสำนวนให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.) ดำเนินการไต่สวนเจ้าหน้าที่รัฐจำนวน 70 คน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสัญญา
ดีเอสไอ สรุปว่ามีกรณีที่มีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐทั้งหมด 3 ส่วน ประกอบด้วย
1.ผู้บริหารองค์กรอิสระ
2.คณะกรรมการทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง จำนวน 10 คณะ ทั้งการออกแบบ การก่อสร้าง และการควบคุมงาน
3.คณะกรรมการการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มาตรา 27 จำนวน 15 ราย
รวมทั้งหมดประมาณ 70 ราย
โดยจะสรุปสำนวนส่ง ป.ป.ช. ภายในสัปดาห์นี้หรือไม่เกินสัปดาห์หน้า

@ ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ แถลงข่าวเมื่อวันที่ 4 มิ.ย.2568 ที่ผ่านมา
สำหรับที่มาที่ไปในการตรวจสอบคดีพิเศษที่ 58/2568 หรือ คดีฮั้ว นั้น กรมสอบสวนคดีพิเศษ ขยายความว่า เป็นผลสืบเนื่องจากการประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษสรุปผลการดำเนินการสอบสวนคดีที่ 32/2568 เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้มีความเห็นทางคดีเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 (นอมินี) ทั้งหมด 5 ราย (กลุ่มกรรมการและผู้ถือหุ้นบริษัท บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด) ต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และดำเนินการส่งสำนวนการสอบสวนไปยังพนักงานอัยการแล้ว
ต่อมาที่ประชุมได้ดำเนินการแยกสำนวนการสอบสวนเป็น 2 สำนวนได้แก่ สำนวนแรก เป็นการดำเนินคดีการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (นอมินี) ซึ่งต่อเนื่องหรือเกี่ยวพันกัน และสำนวนที่สองเป็นการดำเนินการสอบสวนความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 (คดีฮั้วประมูลฯ) โดยมีการแยกเลขคดีเป็นคดีพิเศษที่ 58/2568 คดีดังกล่าวคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ทำการสอบสวนพบว่ามีพฤติการณ์และหลักฐานเกี่ยวกับ การดำเนินการควบคุมงานของกิจการร่วมค้า (Joint Venture) PKW (บริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จํากัด, บริษัท ว.และ สหาย คอนซัลแตนตส์ จํากัด และบริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ แอนด์ แมเนจเม้น จํากัด) ที่ปรากฏว่า ในส่วนของบุคลากรพบมีการปลอมลายมือชื่อและอ้างชื่อบุคคลอื่นซึ่งไม่เป็นไปตาม TOR มาดำเนินการเสนอราคาเพื่อให้ได้รับการคัดเลือก ซึ่งคุณสมบัติของบุคลากรตาม TOR นั้นหมายถึง บุคลากรที่ผู้ยื่นข้อเสนอได้นำมาเสนอต่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินจะต้องเป็นบุคคลที่มีคุณวุฒิประสบการณ์อันจะสามารถควบคุมงานได้จริงตลอดจนการทำงานได้เสร็จสิ้นตามวัตถุประสงค์
การที่ผู้ต้องหากับพวกได้ใช้กลอุบายหลอกลวงนำชื่อของบุคคลอื่นโดยที่เต็มใจหรือไม่เต็มใจหรือไม่มีการเข้าร่วมงานจริงภายหลังที่ได้รับงานซึ่งเป็นเจตนาที่เห็นได้ชัดว่ามิได้มีความสุจริตในการจะเข้าเสนอราคากับหน่วยงานของรัฐโดยร่วมกันใช้กลอุบายหลอกลวงเพื่อหวังประโยชน์อันเป็นเงินได้จากการรับงานโดยไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศชาติ
จึงมีการกล่าวหาดำเนินคดีกับบริษัท PKW รวมแล้ว 6 คน ตามมาตรา 4 และมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ประกอบกับมีบุคคล (ปกปิดนาม) จำนวน 2 รายกล่าวหาเจ้าพนักงานของรัฐมีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แบ่งได้ทั้งหมด 3 กลุ่ม ดังนี้ 1.กลุ่มผู้บริหารองค์กรอิสระ 2. กลุ่มคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการจ้างออกแบบ จ้างก่อสร้าง และจ้างควบคุมงาน ทั้งหมด 10 คณะ และ 3. กลุ่มคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ตามที่ปรากฏข่าวไปแล้ว
กรณีดังกล่าวเป็นการกล่าวหาเจ้าพนักงานของรัฐกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จึงอยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่จะไต่สวนและวินิจฉัย ตามมาตรา 28 ประกอบมาตรา 61 และมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ. 2561 และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะดำเนินการส่งสำนวนดังกล่าว ไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยเร็ว ต่อไป
ปัจจุบัน ดีเอสไอ ยังไม่ได้มีการเปิดเผยรายชื่อเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้ง 70 รายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสัญญา ว่าเป็นใครบ้าง?
แต่ก่อนหน้านี้ ข่าวหลุดออกมาบ้างว่า มีผู้บริหารองค์กรอิสระ มีผู้บริหารระดับสูง สตง. หลายรายร่วมอยู่ด้วย บางรายก็เกษียญอายุราชการไปแล้ว ที่สำคัญข้าราชการเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องก็ไม่ได้มีแค่คน สตง.เพียงอย่างเดียว เพราะในการดำเนินงานโครงการฯ นี้ มีการเชิญตัวแทนจากหน่วยงานราชการหลายแห่งมาเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการหลายคณะรวมจำนวนหลายสิบราย
ที่น่าสนใจ คือ ข้อมูลสำคัญที่ ดีเอสไอ นำมาใช้ประกอบการสอบสวนคดีนี้ หลายส่วนก็นำมาจากอดีตข้าราชการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่อ้างว่ามีความใกล้ชิดกับข้าราชการระดับสูงของ สตง. และเข้ามาร้องเรียนกับดีเอสไอ ในช่วงกลางเดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา นั้นเอง
ขณะที่แหล่งข่าวจากสำนักงาน ป.ป.ช. ให้ความเห็นกับสำนักข่าวอิศรา เท่าที่ดูข้อมูลเบื้องต้นตามที่ดีเอสไอ เปิดเผยออกมา จะพบข้อสังเกตสำคัญ คือ จำนวนผู้เกี่ยวข้อง 70 ราย น่าจะมาจากรายชื่อเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับขั้นตอนการทำงานของคณะกรรมการชุดต่างๆ
ขณะที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 61 กำหนดไว้ว่า ในกรณีที่ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์หรือมีผู้กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน ให้ดําเนินคดีกับเจ้าพนักงานของรัฐหรือบุคคลอื่นใดในข้อหาใด ๆ บรรดาที่อยู่ในหน้าที่และอํานาจของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้พนักงานสอบสวนแสวงหาข้อเท็จจริง รวมทั้งรวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้น แล้วส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับการร้องทุกข์หรือกล่าวโทษ
"คำถาม คือ ในการสอบสวนของดีเอสไอ นับตั้งแต่กลางเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ที่มีอดีตเจ้าหน้าที่ สตง.มาร้องเรียน คิดเป็นระยะเวลาประมาณเดือนเศษ ได้มีการตรวจสอบข้อมูลโดยละเอียดแล้วหรือยัง ว่า มีความผิดที่ชัดเจนเกิดขึ้นตรงจุดไหนบ้าง เจ้าหน้าที่รัฐรายไหนเกี่ยวข้องบ้าง ไม่เกี่ยวข้องบ้าง มีหลักฐานเส้นทางการเงินประกอบแล้วหรือไม่ หรือแค่กวาดเหวี่ยงแหเอามาไว้ทั้งหมดก่อน เพื่อรีบส่งเรื่อง ป.ป.ช. เพื่อให้ทันกำหนดระยะเวลา 30 วัน ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เพื่อให้ ป.ป.ช. ไปดำเนินการคัดเลือกต่อว่าใครผิดบ้างไม่ผิดบ้าง ซึ่งถือเป็นแบบนั้นจริง จะทำให้ปริมาณงาน ป.ป.ช.ในการสอบสวนคดีนี้มีจำนวนมาก เพราะเหมือนกับว่า ป.ป.ช.ต้องไปเริ่มกระบวนการสอบสวนใหม่ และทำให้การสอบสวนคดีนี้ต้องล่าช้ามากขึ้นไปอีก" แหล่งข่าวระบุ
ด้วยความเห็นดังกล่าว นั้นจึงอาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ดีเอสไอ ไม่กล้าที่จะเปิดเผยรายชื่อผุ้เกี่ยวข้องทั้ง 70 รายได้ เมื่อถูกสื่อซักถาม ตอบได้แค่เพียงว่า อยู่ในสำนวน
ส่วน คณะกรรมการบางคน จนถึงวันนี้ก็ยังนั่งงงอยู่เลย ว่าทำงานผิดพลาดส่วนไหน ถึงโดนดีเอสไอ ส่งชื่อให้ ป.ป.ช. สอบสวน
แบบที่เห็นและเป็นไปอยู่ในขณะนี้
