
"...บริษัท จีจีเอฟ (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นผู้ขาดคุณสมบัติตามประกาศเชิญชวนเนื่องจากในขณะยื่นข้อเสนอ บริษัทไม่มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการให้เช่าคลังสินค้าและไซโล ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือมีกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินที่จะก่อสร้างไซโลที่เสนอเข้าร่วมโครงการ โดยเพิ่งขอจดทะเบียนเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของบริษัทเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 ..."
คดีกล่าวหา นายยงยศ ปาละนิติเสนา อดีตรองประธานกรรมการองค์การคลังสินค้า (อคส.) และรักษาราชการแทน ผอ.อคส. กับพวก กรณีเช่าไซโลเก็บรักษาข้าวกับบริษัท จีจีเอฟ (ไทยแลนด์) จำกัด เข้าข่ายผิดระเบียบและเอื้อประโยชน์ให้เอกชน โดยบริษัทดังกล่าวเข้าข่ายเป็นนอมินีให้กับต่างชาติ ตามการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ส่งสำนวนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในช่วงปี 2553
เคยปรากฏเป็นข่าวในช่วงเดือนกรกฎาคม 2559 ว่า ป.ป.ช.มีการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน ผู้ถูกกล่าวหาจำนวนหลายราย สำหรับประเด็นสำคัญการไต่สวนในกรณีนี้คือ ไม่ได้เปิดโอกาสให้มีการเสนอแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม และกีดกันผู้เสนอราคารายอื่น ซึ่งส่อผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว) เกิดขึ้นในช่วงปี 2552 ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี มีนางพรทิวา นาคาศัย เป็น รมว.พาณิชย์ และนายอลงกรณ์ พลบุตร เป็น รมช.พาณิชย์ โดยขณะนั้น อคส. โดยนายยงยศ ในฐานะรักษาราชการแทน ผอ.อคส. ดำเนินการเช่าไซโลจากบริษัท จีจีเอฟฯ ก่อนที่ขะถูกดีเอสไอเข้าไปตรวจสอบพบว่าอาจผิดระเบียบ และเข้าข่ายเอื้อประโยชน์ให้เอกชนต่างชาติ กระทั่งนำไปสู่การตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง
หลังจากนั้น เรื่องก็เงียบหายไป

ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบพบว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติชี้มูลความผิด นายยงยศ ปาละนิติเสนา และพวก เป็นทางการแล้ว
มีรายละเอียดดังนี้
@ ข้อกล่าวหา
คดีนี้ ป.ป.ช.ระบุข้อกล่าวหาเป็นทางการแล้ว นายยงยศ ปาละนิติเสนา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการองค์การคลังสินค้า รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า กับพวก กำหนดคุณสมบัติและขอบเขตการดำเนินงานของโครงการ (TOR) และคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมโครงการจัดหาไซโลเพื่อเก็บรักษาข้าวขององค์การคลังสินค้า เพื่อช่วยเหลือผู้เสนอราคาบางรายให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญา
@ พฤติการณ์การกระทำความผิด
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2552 องค์การคลังสินค้าได้ออกประกาศเชิญชวนให้เอกชนยื่นข้อเสนอการลงทุนจัดสร้างคลังสินค้าไซโลเพื่อเก็บรักษาข้าว (ครั้งที่ 2) หลังจากผู้สนใจเข้าร่วมโครงการทุกรายได้ยื่นความจำนงแล้ว นางสาวผ่องผิว เด่นดวง ผู้ช่วยผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้าได้จัดทำบันทึกลงวันที่ 5 สิงหาคม 2552 ให้นางสาวเคียงจันทร์ หาญเพชรสกุลหัวหน้างานบริหารโลจิสติกส์ลงลายมือชื่อเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครเข้าร่วมโครงการ พร้อมทั้งขอความเห็นชอบให้การพิจารณาคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการตามประกาศ ข้อ 1.4 กรณีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือมีกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินที่จะก่อสร้างไซโลที่เสนอเข้าร่วมโครงการ และสถานที่ตั้งไซโลตาม ข้อ 3.2 สามารถกระทำการตรวจสอบในภายหลังได้
โดยนางสาวณัฐฐิรา ลิ่ววรุณพันธ์รองผู้อำนวยการฯ ปฏิบัติการแทนผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้าได้เห็นชอบตามที่เสนอ อันเป็นการยกเว้นหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประกาศซึ่งทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ
ระหว่างผู้ยื่นความจำนง ในการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครเข้าร่วมโครงการ นางสาวเคียงจันทร์ หาญเพชรสกุล ได้จัดทำบันทึกลงวันที่ 6 สิงหาคม 2552 รายงานว่าผู้สมัครเข้าร่วมโครงการจำนวน 5 ราย ยื่นเอกสารครบถ้วนถูกต้องและคณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครเข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วย นางสาวผ่องผิว เด่นดวง นางสาวกาญจนา เศรษฐนันท์ นายมนตรี รัตนอมร นายวิทยา รัตนถาวร นายปลั่งศรี บุญช่วง และนายเศกสรรค์ สุทิน ได้เสนอขออนุมัติให้บริษัท จีจีเอฟ (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นผู้เข้าร่วมโครงการจัดหาไซโลเพื่อเก็บรักษาข้าว
โดยนายยงยศ ปาละนิติเสนา รองประธานกรรมการองค์การคลังสินค้า รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า ได้ลงนามอนุมัติเมื่อวันที่ 11สิงหาคม 2552 จนเป็นเหตุให้คณะกรรมการองค์การคลังสินค้ามีมติเห็นชอบตามที่เสนอ
ทั้งที่บริษัท จีจีเอฟ (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นผู้ขาดคุณสมบัติตามประกาศเชิญชวนเนื่องจากในขณะยื่นข้อเสนอ บริษัทไม่มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการให้เช่าคลังสินค้าและไซโล ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือมีกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินที่จะก่อสร้างไซโลที่เสนอเข้าร่วมโครงการ โดยเพิ่งขอจดทะเบียนเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของบริษัทเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552
นอกจากนี้นายยงยศ ปาละนิติเสนา ยังได้ลงนามในสัญญาเช่าไซโลกับบริษัท จีจีเอฟ (ไทยแลนด์) จำกัด ตามสัญญาเลขที่ 239/2552 ลงวันที่ 9 กันยายน 2552 และทำบันทึกข้อตกลงสามฝ่ายกับบริษัท จีจีเอฟ (ไทยแลนด์) จำกัด และ GGF Golden House Sdn. Bhd. โดยไม่จัดส่งสัญญาและบันทึกข้อตกลงสามฝ่ายดังกล่าวให้อัยการสูงสุดตรวจพิจารณา รวมทั้งไม่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการองค์การคลังสินค้าให้ทำข้อตกลงสามฝ่ายเป็นเหตุให้องค์การคลังสินค้าได้รับความเสียหาย
@ มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.
1. การกระทำของนายยงยศ ปาละนิติเสนา มีมูลความผิดทางอาญา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 8 และมาตรา 11 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12
2. การกระทำของนางสาวผ่องผิว เด่นดวง มีมูลความผิดทางอาญา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 8 และมาตรา 11 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
3. การกระทำของนางสาวณัฐฐิรา ลิ่ววรุณพันธ์ และนางสาวเคียงจันทร์ หาญเพชรสกุล มีมูลเป็นความผิดทางอาญา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 8 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และมาตรา 11 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
4. การกระทำของนางสาวกาญจนา เศรษฐนันท์ ผู้แทนมหาวิทยาลัยขอนแก่น ในฐานะกรรมการคัดเลือกเอกชนผู้สมัครเข้าร่วมโครงการจัดหาไซโลเพื่อเก็บรักษาข้าว จากการไต่สวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่จะฟังได้ว่า ได้กระทำความผิดอาญาตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาทางอาญาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป แต่มีมูลความผิดทางวินัยไม่ร้ายแรง
5. การกระทำของนายมนตรี รัตนอมร นายวิทยา รัตนถาวร นางปลั่งศรี บุญช่วง และนายเศกสรรค์ สุทิน ในฐานะกรรมการคัดเลือกเอกชนผู้สมัครเข้าร่วมโครงการจัดหาไซโลเพื่อเก็บรักษาข้าว จากการไต่สวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่จะฟังได้ว่า ได้กระท าความผิดอาญาตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาทางอาญาไม่มีมูลให้ข้อกล่าวหาตกไป แต่มีมูลความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
6. การกระทำของบริษัท จีจีเอฟ (ไทยแลนด์) จำกัด และเอกชนที่เกี่ยวข้อง มีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิด
เบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐานและคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อดำเนินการทางวินัย ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 แล้วแต่กรณีต่อไป
ปัจจุบันยังไม่มีรายงานข่าวยืนยันว่า คดีนี้อัยการสูงสุด (อสส.) มีความสั่งฟ้อง และยื่นเรื่องต่อศาลฯ เพื่อฟ้องคดีตามขั้นตอนทางกฎหมายแล้วหรือไม่ รวมถึงการลงโทษจากวินัยผู้ถูกกล่าวหาที่เกี่ยวข้องด้วย
ขณะที่การชี้มูลความผิดทางอาญาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดยังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด
