
"...ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกทรัพย์สินโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือ ไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 นั้น เพียงแต่เรียกก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว แม้จะยังไม่ได้ทรัพย์ที่เรียกไปก็ตาม หรือแม้จะมีการกลับกระทำการโดยชอบด้วยหน้าที่ในภายหลังก็ตามก็ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จแต่ขณะเรียกแล้วหาใช่พยายามไม่..."
กรณีปรากฏคลิปเสียงสนทนาระหว่าง นางศิริรัตน์ อารีมิตร์ ปลัดอำเภอสังกัดกลุ่มงานทะเบียนและบัตร ที่ทำการปกครองอำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี กับ นายวรวิทย์ พึ่งความสุข นายก อบต. บ่อเงิน อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเรียกรับเงินใต้โต๊ะ จำนวน 3 หมื่นบาท เพื่อแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือออกเลขทะเบียนบ้านใหม่ นั้น

- สั่งย้ายด่วน ปลัดฯ ลาดหลุมแก้ว! คลิปเสียงโผล่นายกฯปริศนาเจอเรียก 3 หมื่น ออกเลขบ้านใหม่ (1)
- เปิดบทสนทนาคลิปนายกฯปริศนาเจอเรียก 3 หมื่น แลกออกเลขบ้านใหม่ "นายขอให้ช่วยสนับสนุน" (2)
- ฟังชัดๆ คลิปเสียงนายกฯปริศนาเจอเรียก 3หมื่น แลกออกเลขบ้านใหม่ "นายขอให้ช่วยสนับสนุน" (3)
- ผู้ว่าฯ ปทุม ตั้งกก.สอบคลิปเสียงเรียก 3 หมื่น แลกออกเลขบ้านใหม่-ขยายผลถึง 'เจ้านาย'ด้วย (4)
- โชว์คำสั่ง ผู้ว่าฯ ปทุม สืบสวนคลิปเรียกเงินแลกออกเลขบ้านสวย - ปลัดลาดหลุดแก้ว อ้าง นอภ.? (5)
- นอภ.ให้รอผลสอบ 15 วัน - ปลัดลาดหลุมแก้วไม่สะดวกแจงกรณีคลิปเสียงเรียกเงินออกเลขบ้านสวย (6)
- ดงพล รุจิธรรมธัช ปลัดปทุมธานี : เปิดแนวทางสืบสวนคลิปเสียงฉาวเรียกเงินออกเลขบ้านสวย (7)
- อธิบดีปค.สั่งย้ายด่วน นอภ.ลาดหลุมแก้ว หลังถูกอ้างชื่อคลิปเสียงเรียกเงินออกเลขบ้านสวย (8)
- ชัดๆ ขั้นตอนขอเลขที่บ้านใหม่ เสียค่าธรรมเนียมแค่ 20 บ. ช่องโหว่จนท.ทุจริตเรียกเงินใต้โต๊ะ (9)
- เปิดตัว 'นายก อบต.บ่อเงิน' เจ้าของเสียงในคลิปฉาวโดนเรียก 3 หมื่น แลกออกเลขบ้านใหม่ (10)
- สรุป! ผลสอบคลิปเสียงฉาวออกเลขบ้านสวย 'เรียกรับเงินจริง-แต่ยังไม่ได้จ่าย' (11)
- ผู้ว่าฯ ปทุม คอนเฟิร์ม! ผลสอบคลิปเรียกเงินแลกออกเลขบ้านสวยเสร็จแล้ว-รอส่งเรื่อง มท. (12)
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานความคืบหน้าล่าสุดไปแล้วว่า ปัจจุบันคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีนี้ ที่มี นายดงพล รุจิธรรมธัช ปลัดจังหวัดปทุมธานี เป็นประธาน ได้สรุปรายงานผลการสืบสวนเสนอต่อนายสมคิด จันทมฤก ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ให้รับทราบเป็นทางการแล้ว และอยู่ระหว่างขั้นตอนการนำเสนอเรื่องให้ปลัดกระทรวงมหาดไทย พิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป คาดว่าจะใช้เวลา 1-2 วัน น่าจะสามารถส่งเรื่องได้
โดยมีข้อสรุปสำคัญ คือ นางศิริรัตน์ อารีมิตร์ ยอมรับว่า เป็นเจ้าของเสียงในคลิปจริง และมีการพูดถึงการเรียกรับเงินเพื่อแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือออกเลขทะเบียนบ้านใหม่ แต่ไม่ได้รับเงิน
ส่วนนายวรวิทย์ พึ่งความสุข ยอมรับว่า เป็นเจ้าของเสียงในคลิปจริง แต่ไม่ได้จ่ายเงินเพื่อแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือออกเลขทะเบียนบ้านใหม่
เท่ากับว่า กรณีนี้มีการเรียกรับเงินเกิดขึ้นจริง แต่ยังไม่ได้มีการจ่ายเงินกัน
คำถามที่น่าสนใจ คือ กรณีนี้มีการเรียกรับเงินเกิดขึ้นจริง แต่ยังไม่ได้มีการจ่ายเงินกัน จะถือว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นหรือไม่?
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่สำนักข่าวอิศรา นำเสนอรายงานข่าวผลสรุปการสืบสวนกรณีนี้ ต่อสาธารณชน ปรากฏว่า มีผู้อ่านส่งข้อมูลแสดงความเห็นเข้ามาจำนวนมาก
หนึ่งในความเห็นที่น่าสนใจ คือ มีการการยืนยันว่ากรณีนี้ ถือว่ามีความผิดเกิดขึ้นแล้ว เพราะเพียงแต่เรียกก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว แม้จะยังไม่ได้ทรัพย์ตามที่เรียกหรือแม้จะมีการกลับการกระทำการโดยชอบ ด้วยหน้าที่ ในภายหลังก็ตามถือว่ามีความผิดตั้งแต่ขณะเรียกแล้วมิใช่เพียงพยายาม ตามฏีกาที่ 1246/2510
ส่วนข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ที่ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือประหารชีวิต (ดูภาพประกอบ)

ขณะที่สำนักข่าวอิศรา สืบค้นข้อมูลคำพิพากษาศาลฏีกา ที่ 1246/2510 พบว่าในเว็บไซต์ไทยฏีกา https://thaideka.com/deka/1246-2510.html เสนอข้อมูลไว้ดังนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1246/2510
แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกทรัพย์สินโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือ ไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 นั้น เพียงแต่เรียกก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว แม้จะยังไม่ได้ทรัพย์ที่เรียกไปก็ตาม หรือแม้จะมีการกลับกระทำการโดยชอบด้วยหน้าที่ในภายหลังก็ตามก็ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จแต่ขณะเรียกแล้วหาใช่พยายามไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบเรียกเอาสายนาฬิกาข้อมือ 1 สาย ราคา 100 บาท จากนายไซแซ่ตั้ง เพื่อละเว้นไม่นำตัวนายไซไปดำเนินคดีฐานไม่นำใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวติดตัว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148, 149, 157
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 (แต่ไม่ผิดตามมาตรา 148, 157)ลงโทษจำคุก 5 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยเป็นเพียงพยายาม
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยเรียกร้องเอาสายนาฬิกาจากนายไซเพื่อละเว้นไม่ดำเนินคดีแก่นายไซนั้น ย่อมเป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 แล้วแม้ว่าจำเลยจะยังมิทันได้สายนาฬิกานั้นไป และแม้ในที่สุดจำเลยจะได้นำนายไซไปดำเนินคดีเรื่องไม่เอาใบต่างด้าวติดตัวจนนายไซถูกปรับ 20 บาทก็ตาม ก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว
จึงพิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย
ขณะที่แหล่งข่าวจากจังหวัดปทุมธานี ให้ข้อมูลยืนยันสำนักข่าวอิศราว่า ในการเสนอรายงานผลการสืบสวนกรณีคลิปเสียงเรียกรับเงินใต้โต๊ะ เพื่อแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือออกเลขทะเบียนบ้านใหม่ ให้ทางกระทรวงมหาดไทยนั้น นอกจากข้อเท็จจริงที่ได้จากการสืบสวนแล้ว จะมีการนำเสนอรายละเอียดข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย หนึ่งในนั้น คือ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 หมวด 6 ว่าด้วยเรื่องวินัยและการรักษาวินัย
โดยมาตรา 82 (1) กำหนดให้ ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และเที่ยงธรรม (2) ต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ มติของ คณะรัฐมนตรี นโยบายของรัฐบาล และปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ (10) ต้องรักษาชื่อเสียงของตน และรักษาเกียรติศักดิ์ของตําแหน่งหน้าที่ราชการของตนมิให้เสื่อมเสีย
มาตรา 83 (3) กำหนดให้ ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องไม่อาศัยหรือยอมให้ ผู้อื่นอาศัยตําแหน่งหน้าที่ราชการของตนหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น (5) ต้องไม่กระทําการหรือยอมให้ผู้อื่นกระทําการหาผลประโยชน์อันอาจทําให้เสียความเที่ยงธรรม หรือเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตําแหน่งหน้าที่ราชการของตน
มาตรา 84 ระบุว่า ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดไม่ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติตามมาตรา 81 และมาตรา 82 หรือฝ่าฝืนข้อห้ามตามมาตรา 83 ผู้นั้นเป็นผู้กระทําผิดวินัย
ขณะที่ในมาตรา 85 ระบุเรื่องการการกระทําผิดวินัยในลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ไว้หลายข้อ รวมถึงเรื่องการทุจริต อาทิ (1) ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง แก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริต (4) กระทําการอันได้ ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
ส่วน มาตรา 88 ระบุเรื่องโทษทางวินัย ไว้ 5 สถาน ดังต่อไปนี้
(1) ภาคทัณฑ์ (2) ตัดเงินเดือน (3) ลดเงินเดือน (4) ปลดออก (5) ไล่ออก
อย่างไรก็ดี ในมาตรา 89 ระบุไว้ว่า การลงโทษข้าราชการพลเรือนสามัญให้ ทําเป็นคําสั่ง ผู้สั่งลงโทษต้องสั่งลงโทษ ให้เหมาะสมกับความผิดและต้องเป็นไปด้วยความยุติธรรมและโดยปราศจากอคติ โดยในคําสั่งลงโทษ ให้แสดงว่าผู้ ถูกลงโทษกระทําผิดวินัยในกรณีใดและตามมาตราใด
(อ่านกฏหมายฉบับเต็มที่นี่ https://www.ocsc.go.th/wp-content/uploads/2024/01/act_law2551.pdf)
ทั้งหมดนี้ คือ รายละเอียดเกี่ยวกับคำพิพากษาศาลฏีกาเทียบเคียงเป็นบรรทัดฐานเอาไว้แล้ว และข้อกฏหมายที่เกี่ยวข้อง ต่อกรณีการเรียกรับเงินเพื่อแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือออกเลขทะเบียนบ้านใหม่ที่ทางจังหวัดปทุมธานี จะมีการส่งรายงานให้กระทรวงมหาดไทยในเร็ววันนี้ ที่สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบล่าสุด ซึ่งตามขั้นตอนถ้าหากกระทรวงมหาดไทย เห็นว่าเรื่องนี้มีมูลความผิด ก็จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนทางวินัยต่อ ส่วนจะลงโทษวินัยร้ายแรง ไม่ร้ายแรง ตัดเงินเดือน ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ความผิดของผู้เกี่ยวข้อง แต่ถ้าเห็นว่าเรื่องนี้ยังไม่มีมูลความผิด ก็อาจจะมีการพิจารณาให้ยุติเรื่องไป และให้ผู้เกี่ยวข้องที่ถูกโยกย้ายไปกลับคืนมาปฏิบัติหน้าที่ตามเดิมก็ได้
บทสรุปสุดท้าย ผลการพิจารณาของกระทรวงมหาดไทย จะออกมาเป็นอย่างไร
ติดตามดูความชัดเจนกันต่อไป ห้ามกะพริบตาโดยเด็ดขาด
