
"... เมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาแล้วเห็นว่า การที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้แทนของผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้แทนของผู้ฟ้องคดีที่ 3 ถึงผู้ฟ้องคดีที่ 23 ย่อมมีความรู้สึกผิดชอบว่าสิ่งใด สมควรกระทำหรือไม่สมควรกระทำ การที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นหนังสือที่ปรากฏข้อความที่ให้ร้าย ดูหมิ่นเสียดสีศาลด้วยข้อความที่ไม่เหมาะสมหลายฉบับต่างกรรมต่างวาระกัน พฤติการณ์ของ ผู้ถูกกล่าวหาจึงเป็นการกระทำที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย การที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งลงโทษจำคุกผู้ถูกกล่าวหา 15 วัน แต่ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามมาตรา 56 แห่งประมวล กฎหมายอาญา นั้น จึงเหมาะสมกับพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาแล้ว..."
ในช่วงเดือนมกราคม 2568 ศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งจำคุก นายพลภาขุน เศรษฐญาบดี ตัวแทนผู้ประสานงานคณะราษฎรไทยแห่งชาติ (ครช.) และอดีตผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา(สว.) กลุ่ม 17 จ.นครปฐม เป็นเวลา 15 วัน รอลงโทษ 1 ปี เนื่องจากนายพลภาขุนละเมิดอำนาจศาล จากการคดียื่นคำคัดค้านการกำหนดวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริงและยื่นหนังสือร้องเรียนตุลาการเจ้าของสำนวนคดีที่มีผู้ฟ้องนำโดยคณะราษฎรไทยแห่งชาติและพวก รวม 25 ราย ผู้ถูกกล่าวหา 1 ราย ฟ้องนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานภาครัฐ รวม 8 ราย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) เห็นว่าคดีนี้มีรายละเอียดที่น่าสนใจ จึงสรุปและเรียบเรียงมานำเสนอให้สาธารณชนรับทราบโดยทั่วกัน ดังนี้
ศาลปกครองสูงสุด
วันที่ 13 เดือน มกราคม พุทธศักราช 2568
คณะราษฎรไทยแห่งชาติ โดยนายพลภาขุน เศรษฐญาบดี ที่ 1 ผู้ฟ้องคดี
สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ที่ 2
องค์กรของผู้บริโภค เครือข่ายประชาชนปกป้องประเทศ ที่ 3
นายศรีสุวรรณ จรรยา ที่ 4
เครือข่ายต่อต้านทุจริตคอร์รัปชั่นแห่งชาติ ที่ 5
นายศรัลย์ ธนากรภักดี ที่ 6
นางนงนาถ ชะวะนะเวช ที่ 7
นางสาวณภาภัช เศรษฐญาบดี ที่ 8
นายธนินท์ทัศน์ ภูแก้ว ที่ 9
นายชำนาญ พรมแตง ที่ 10
นายธงธรรมฤทธิ์ สันต์ทัศน์ธาร ที่ 11
นายสฤษฐี พงษ์นิล ที่ 12
นางรัชนี พงษ์นิล ที่ 13
นายธนบดี แจ่มจันทร์ ที่ 14
นางสาวพรรณิภา จานทอง ที่ 15
นายพงศ์ปณต กุกุดเรือ ที่ 16
นางสุลีพร จานทอง ที่ 17
นายชลัฐ จานทอง ที่ 18
นายเฉลิมพล อินทศักดิ์ ที่ 19
นายภูพิงค์ แต่ปีติกุล ที่ 20
นางนงนุช รัชนนท์เดชา ที่ 21
นายธนกฤต ธนเวสวาทิน ที่ 22
นายวิละ อุดม ที่ 23
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ที่ 24
นายจิณณะ แย้มอ่วม ที่ 25
นายพลภาขุน เศรษฐญาบดี ผู้ถูกกล่าวหา
คณะรัฐมนตรี ที่ 1
นายกรัฐมนตรี ที่ 2
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ 3
คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ที่ 4
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ที่ 5
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ที่ 6
คณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ที่ 7
ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ที่ 8 ผู้ถูกฟ้องคดี
เรื่อง คดีละเมิดอำนาจศาล (คำร้องอุทธรณ์คำสั่งกรณีละเมิดอำนาจศาล)
@ สรุปที่มาคดี : เริ่มจากยื่นคัดค้านกำหนดวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริง+ร้องเรียนตุลาการ
ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ในคดีหมายเลขดำที่ ล. 1/2567 หมายเลขแดงที่ ล. 2/2567 ของศาลปกครองชั้นต้น (ศาลปกครองกลาง)
คดีนี้สืบเนื่องมาจากคดีหมายเลขดำที่ 369/2563 หมายเลขแดงที่ 705/2563 และคดีหมายเลขดำที่ 385/2563 หมายเลขแดงที่ 686/2563 ผู้ฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกกล่าวหา และในฐานะผู้แทนของผู้ฟ้องคดีที่ 3 ถึงผู้ฟ้องคดีที่ 23 ได้ยื่นคำขออื่น ๆ ลงวันที่ 31 มกราคม 2567 และคำคัดค้านการกำหนดวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริง ลงวันที่ 31 มกราคม 2567 ทางระบบงานคดีปกครองอิเล็กทรอนิกส์ มีใจความสำคัญว่า ‘ผู้ถูกกล่าวหาเห็นว่าการกระทำที่ตุลาการเจ้าของสำนวนไม่ได้ใช้อำนาจแสวงหาข้อเท็จจริงไต่สวนหรือเรียกพยานเอกสารพยานหลักฐานใดจากผู้ถูกฟ้องคดี/หรือผู้ใด แต่อย่างใดอาจจะเป็นการจงใจที่จะมีคำพิพากษาโดยที่ข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอ ที่อาจไม่ครบถ้วนพอที่จะวินิจฉัยได้อย่างชัดเจน และอาจจะมีเจตนาพิเศษที่จะทำให้กระบวนการพิจารณาคดีไม่ยุติธรรม????’ ประกอบกับผู้ถูกกล่าวหาได้ยื่นหนังสือลงวันที่ 31 มกราคม 2567 เรื่อง ร้องเรียนการดำเนินการทางคดีตุลาการเจ้าของสำนวนที่ดูเหมือนมีเจตนาพิเศษ??? คดีล่าช้า ในคดีนี้ต่ออธิบดีศาลปกครองกลาง
@ ศาลเห็นว่าคำคัดค้าน+ร้องเรียนมีเนื้อหาไม่เคารพศาล-ควรลงโทษสถานหนัก
องค์คณะพิจารณาพิพากษาเห็นว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาเป็นการกล่าวหาตุลาการศาลปกครองซึ่งเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาและตุลาการผู้แถลงคดีไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และกล่าวหาใส่ความตุลาการเจ้าของสำนวนว่ามีเจตนาพิเศษให้มีการวิ่งเต้นคดี มีการให้สินบนผู้เกี่ยวข้องในคดีเนื่องจากมีผลประโยชน์สูง อันเป็นการกล่าวหาร้ายแรงว่าตุลาการศาลปกครองทำผิดกฎหมายโดยกระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ซึ่งการกล่าวหาเช่นนี้แม้จะกระทำ ต่อบุคคลทั่ว ๆ ไป ก็เป็นสิ่งที่ไม่สมควรกระทำ เมื่อผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำหรือกล่าวหาศาล ที่เป็นผู้ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม จึงเป็นการกระทำที่ไม่เคารพยำเกรง และเป็นการกล่าวหาที่มีผลเป็นการให้ร้ายอย่างรุนแรงมุ่งทำลายต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนที่มีต่อองค์กรศาล ซึ่งเป็นการกล่าวหาใส่ความตุลาการศาลปกครองผู้พิจารณาพิพากษาคดีและศาลปกครองให้ขาดความน่าเชื่อถือ เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง มีลักษณะเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล อันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามมาตรา 31 (1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประกอบมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
เห็นควรลงโทษสถานหนักตามมาตรา 64 วรรคหนึ่ง (3) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงส่งสำนวนคดีให้อธิบดีศาลปกครองกลางส่งให้องค์คณะอื่นเป็นผู้พิจารณาและสั่งลงโทษผู้กล่าวหาต่อไป อธิบดีศาลปกครองพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้ส่งสำนวนคดีละเมิดอำนาจศาลให้องค์คณะอื่นเป็นผู้พิจารณาและสั่งลงโทษ
ศาลปกครองชั้นต้น (องค์คณะพิจารณาและสั่งลงโทษ) ได้มีคำสั่งให้นำสำเนาเอกสาร ในสำนวนคดีหมายเลขดำที่ 369/2563 หมายเลขแดงที่ 705/2563 และคดีหมายเลขดำ ที่ 385/2563 หมายเลขแดงที่ 686/2563 ที่แสวงหาข้อเท็จจริงจากกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหา ถูกกล่าวหาว่าเป็นการกระทำการอันเป็นการละเมิดอำนาจศาล และให้นำเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง เข้ามารวมไว้ในสำนวนคดีนี้
@ ผู้ถูกกล่าวหาขอให้ศาลรธน.วินิจฉัย
ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องอื่น ๆ ลงวันที่ 24 เมษายน 2567 ขอให้ส่งคำโต้แย้งว่า บทบัญญัติมาตรา 64 วรรคหนึ่ง (3) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 188 มาตรา 53 มาตรา 63 มาตรา 197 และมาตรา 34 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยผู้ถูกกล่าวหาระบุรายละเอียดมีใจความสำคัญว่า ‘ผู้ถูกกล่าวหาได้ยื่นคำคัดค้านตุลาการกรณีที่ไม่ดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญในคดีที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยชี้ขาด เพื่อมีค่าพิพากษาที่เที่ยงธรรมจึงต้องมีการบรรยายด้วยถ้อยคำที่แสดงให้เห็นถึงสภาพร้ายแรงที่ชัดเจน ศาลปกครองไม่มีสิทธิกล่าวหาว่าผู้ถูกกล่าวหาละเมิดอำนาจศาล เนื่องจากไม่มีข้อเท็จจริงใด ที่ผู้ถูกกล่าวหากระทำการละเมิดอำนาจศาลตามที่กฎหมายบัญญัติ เนื่องจากถ้อยคำในคำคัดค้านเป็นการนำเสนอด้วยเนื้อหาทางวิชาการ การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาจึงได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย’
@ ศาลปกครองชั้นต้นไม่ส่งเรื่องให้ศาลรธน.วินิจฉัย
ศาลปกครองชั้นต้น (องค์คณะพิจารณาพิพากษาคดี) พิจารณาแล้วเห็นว่า คำร้องของผู้ถูกกล่าวหามีลักษณะเป็นเพียงการโต้แย้งการใช้ดุลพินิจในการพิจารณาวินิจฉัยคดีของศาล ประกอบกับผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้แสดงเหตุผลให้ปรากฏว่า บทบัญญัติมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 188 มาตรา 53 มาตรา 63 มาตรา 197 และมาตรา 34 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 อย่างไร ข้อโต้แย้งตามคำร้องของผู้ถูกกล่าวหาจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ศาลจะต้องส่งความเห็นเกี่ยวกับข้อโต้แย้ง ของผู้ถูกกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย
ส่วนที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้างว่า ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543 ทั้งฉบับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 นั้น
เห็นว่า คำว่ากฎหมาย ในบทบัญญัติมาตรา 212 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 หมายถึงกฎหมายพระราชบัญญัติ เมื่อผู้ถูกกล่าวหาอ้างว่าระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543 ทั้งฉบับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงไม่ใช่การกล่าวอ้างว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ศาลจึงไม่ต้องส่งความเห็น เกี่ยวกับข้อโต้แย้งของผู้ถูกกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยเช่นกัน ศาลปกครองชั้นต้นจึงมีคำสั่ง ยกคำร้องที่ขอให้ส่งคำโต้แย้งของผู้ถูกกล่าวหาให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามคำขออื่น ๆ ลงวันที่ 24 เมษายน 2567 ของผู้ถูกกล่าวหา
@ ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งลงโทษจำคุกผู้ถูกกล่าวหา 15 วัน รอลงโทษ 1 ปี
ศาลปกครองชั้นต้น (องค์คณะพิจารณาและสั่งลงโทษ) พิจารณาแล้วเห็นว่า มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า ศาลควรมีคำสั่งลงโทษผู้ถูกกล่าวหาตามมาตรา 64 วรรคหนึ่ง (3) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 เพียงใด
เห็นว่า การที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำคัดค้านการกำหนดวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริง ลงวันที่ 31 มกราคม 2567 คำแถลงในวันนัดนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก ลงวันที่ 5 มีนาคม 2567 และคำคัดค้านตุลาการ ที่เกี่ยวข้องในคดีทั้งหมด ลงวันที่ 7 มีนาคม 2567 ต่อศาลปกครองผ่านทางระบบงานคดีปกครองอิเล็กทรอนิกส์ โดยระบุถ้อยคำดังกล่าว มีลักษณะเป็นการกล่าวหาตุลาการศาลปกครองว่า มีเจตนาพิเศษที่จะทำให้กระบวนการพิจารณาคดีเป็นไปโดยไม่ยุติธรรม มีการวิ่งเต้นคดี มีการให้สินบนผู้ที่เกี่ยวข้องในคดี อันเป็นการกล่าวหาอย่างร้ายแรงว่าตุลาการศาลปกครองกลางกระทำการ ทุจริตต่อหน้าที่ โดยปราศจากหลักฐาน มีอคติต่อการทำหน้าที่ของตุลาการศาลปกครองกลาง มิใช่การวิจารณ์โดยสุจริตด้วยวิธีการทางวิชาการ ตามมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ซึ่งถือว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหา เป็นการประพฤติไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล อันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามมาตรา 31 (1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประกอบกับมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
ประกอบกับผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้แทนของ ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้แทนของผู้ฟ้องคดีที่ 3 ถึงผู้ฟ้องคดีที่ 23 ย่อมมีความรู้รับผิดชอบว่าสิ่งใด สมควรกระทำหรือไม่สมควรกระทำ แต่ผู้ถูกกล่าวหากลับยื่นหนังสือที่ปรากฏข้อความที่รุนแรง และไม่เหมาะสมหลายฉบับ อันก่อให้เกิดความเสียหายต่อศาล ซึ่งเป็นองค์กรตุลาการที่ใช้อำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ดังนั้น เพื่อป้องปรามไม่ให้ผู้ถูกกล่าวหา กระทำการเยี่ยงนี้อีก จึงเห็นสมควรลงโทษตามมาตรา 64 วรรคหนึ่ง (3) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน
ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งลงโทษจำคุกผู้ถูกกล่าวหา 15 วัน เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำความผิดเป็นครั้งแรก เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาได้กลับตนเป็นพลเมืองดีและระมัดระวังการกระทำ ที่อาจนำไปสู่การกระทำความผิดในทำนองเดียวกันนี้อีก จึงให้รอการลงโทษไว้ มีกำหนด 1 ปี ตามมาตรา 56 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
@ ผู้ถูกกล่าวหาอุทธรณ์
ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองชั้นต้นที่ลงโทษกรณีละเมิดอำนาจศาลความว่า ผู้ถูกกล่าวหามิได้กระทำการละเมิดอำนาจศาลตามที่ถูกกล่าวหา เนื่องจาก ผู้ถูกกล่าวหาได้ยื่นคำคัดค้านการกำหนดวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริง ลงวันที่ 31 มกราคม 2567 คำแถลงในวันนัดนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก ลงวันที่ 5 มีนาคม 25617 และคำคัดค้านตุลาการ ที่เกี่ยวข้องในคดีทั้งหมด ลงวันที่ 7 มีนาคม 2517 ต่อศาลปกครองผ่านทางระบบงานคดีปกครอง อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาได้ยื่นเอกสารดังกล่าว ณ สำนักงานของผู้ถูกกล่าวหา ผู้ถูกกล่าวหา มิได้กระทำการหรือประพฤติตนใด ๆ ไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลแต่อย่างใด อีกทั้ง การที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นเอกสารดังกล่าว เป็นการใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 12 ที่บัญญัติว่า …ด้วยเหตุประการอื่นอันมีสภาพร้ายแรง ซึ่งอาจทำให้การพิจารณาหรือพิพากษาคดี เสียความยุติธรรมไป โดยผู้ถูกกล่าวหามีเจตนาที่จะให้การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลเป็นไปตามกฎหมาย
นอกจากนี้ เมื่อผู้ถูกกล่าวหาไปศาลในวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก หากศาลเห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ศาลย่อมมีอำนาจตักเตือนหรือตำหนิได้ ตามมาตรา 64 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ประกอบกับถ้อยคำที่ผู้ถูกกล่าวหาระบุในเอกสารดังกล่าวข้างต้น ก็ได้ระบุไว้เพียงแต่ว่า “เห็นว่า” “พบว่า”“??????” “อาจจะ” “ส่อว่า” ไม่ได้ใช้ถ้อยคำที่มีลักษณะว่ากล่าวศาลอย่างรุนแรง ขอให้ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้ยกข้อกล่าวหา
ต่อมา ผู้ถูกกล่าวหาได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องที่ขอให้ส่งคำโต้แย้งของผู้ถูกกล่าวหาให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามคำขออื่น ๆ ลงวันที่ 24 เมษายน 2567 ของผู้ถูกกล่าวหา ความว่า ในการยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าบทบัญญัติ แห่งกฎหมายที่ศาลจะใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ นั้น มาตรา 212 ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้บัญญัติเงื่อนไขไว้ 3 ประการ คือ 1. เป็นบทบัญญัติ แห่งกฎหมายที่ศาลจะใช้บังคับแก่คดี 2. คู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้น ต้องด้วยมาตรา 5 และ 3 ยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น โดยกฎหมายกำหนดให้ศาลต้องส่งความเห็นนั้นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่มีบทบัญญัติใดให้อำนาจศาล ใช้ดุลพินิจในการพิจารณาไม่ส่งคำร้องดังกล่าวต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยได้ เนื่องจากอำนาจในการสั่งไม่รับคำร้องกรณีดังกล่าวเป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ ตามมาตรา 212 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 การที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่ง ยกคำร้องของผู้ถูกกล่าวหาจึงมิชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลปกครองส่งคำโต้แย้งของผู้ถูกกล่าวหา ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป
@ ต้องวินิจฉัยก่อนว่าคำร้องที่ขอให้ส่งคำโต้แย้งให้ศาลรธน. ศาลปกครองต้องส่งให้วินิจฉัยหรือไม่
ศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหา กระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ และหากเป็นการกระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ผู้ถูกกล่าวหาจะต้องรับโทษสถานใด โดยมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยเบื้องต้นก่อนว่า คำร้องที่ขอให้ส่งคำโต้แย้งของผู้ถูกกล่าวหาให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามคำขออื่น ๆ ลงวันที่ 24 เมษายน 2567 เป็นคำร้องที่ศาลปกครองต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่
@ ไม่ส่งคำโต้แย้งให้ศาลรธน.
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า มาตรา 212 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 บัญญัติว่า ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยมาตรา 5 และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตัวกับบทบัญญัตินั้น ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย ในระหว่างนั้น ให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้ แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราวจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จากบทบัญญัติดังกล่าว จะเห็นได้ว่า การที่ศาลปกครองจะส่งข้อโต้แย้งดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยตามมาตรา 212 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ต้องเป็นกรณีที่ศาลจะใช้บทบัญญัตินั้นบังคับแก่คดีและคำร้องต้องมีข้อโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลของคู่กรณีว่า บทบัญญัติของ กฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตราใด อย่างไร และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบทบัญญัตินั้น กรณีจึงเห็นว่าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยว่าคำร้องใด เป็นกรณีต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 212 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย หรือไม่ อย่างไร
อีกทั้ง เมื่อพิจารณาคำร้อง ที่ขอให้ส่งคำโต้แย้งของผู้ถูกกล่าวหาให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามคำขออื่น ๆ ลงวันที่ 24 เมษายน 2567 แล้วเห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้โต้แย้งการปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการเจ้าของสำนวน ตุลาการ ในองค์คณะว่าใช้อำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 43 มาตรา 53 มาตรา 63 มาตรา 188 และมาตรา 197 โดยมิได้ระบุเหตุผลว่าบทบัญญัติ มาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยดังกล่าวอย่างไร
คำร้องของผู้ฟ้องคดี จึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 212 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ที่ศาลปกครองต้องส่งคำโต้แย้งของผู้ถูกกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยแต่อย่างใด ข้ออุทธรณ์ของผู้ถูกกล่าวหาจึงไม่อาจรับฟังได้
คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยต่อมาว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลหรือไม่
@ ข้อเท็จจริงที่ศาลสรุป
พิเคราะห์กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกกล่าวหา และในฐานะผู้แทนของ ผู้ฟ้องคดีที่ 3 ถึงผู้ฟ้องคดีที่ 23 ได้ยื่นคำคัดค้านการกำาหนดวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริง ลงวันที่ 31 มกราคม 2567 ทางระบบงานคดีปกครองอิเล็กทรอนิกส์ โดยปรากฏข้อความว่า “ข้าพเจ้า (ผู้ถูกกล่าวหา) ได้รับหมายแจ้งกำหนดวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริง ลงวันที่ 12 มกราคม 2567 โดยมีกำหนดให้วันที่ 31 มกราคม 2567 เป็นวันสิ้นสุดการแสวงหา ข้อเท็จจริงในคดีนี้ ผู้ถูกกล่าวหาได้สอบถามความคืบหน้าทางคดีที่เจ้าหน้าที่ศาลปกครอง 1355 โดยมีประเด็นถามว่า นับจากวันที่ 24 ตุลาคม 2566 ที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นขอให้ตุลาการเจ้าของสำนวน ทำหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมายในการแสวงหาข้อเท็จจริงตามคำขอ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงปรากฏพอ ที่จะมีคำวินิจฉัยได้ ซึ่งได้รับคำตอบว่า ไม่ปรากฏว่าตุลาการเจ้าของสำนวนมีการใช้อำนาจแสวงหาข้อเท็จจริงไต่สวนหรือเรียกพยานเอกสารพยานหลักฐานใดจากผู้ถูกฟ้องคดี/หรือผู้ใด แต่อย่างใด ผู้ถูกกล่าวหาเห็นว่าการกระทำดังกล่าวอาจจะเป็นการจงใจที่จะมีคำพิพากษาโดยที่ข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอ ที่อาจไม่ครบถ้วนพอที่จะวินิจฉัยได้อย่างชัดเจน และอาจจะมีเจตนาพิเศษที่จะทำให้ กระบวนการพิจารณาคดีไม่ยุติธรรม???? ... และขอเรียกร้องให้ตุลาการเจ้าของสำนวนได้ดำเนินการ ทำหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย จะได้ไม่ต้องมีกรณีร้องกล่าวโทษทางวินัย หรือยื่นเรื่องกล่าวโทษ ต่อส่วนที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการทางอาญา...”
ประกอบกับผู้ถูกกล่าวหาได้ยื่นหนังสือ ลงวันที่ 31 มกราคม 2567 ร้องเรียนการดำเนินการทางคดี ตุลาการเจ้าของสำนวนที่ดูเหมือนมีเจตนาพิเศษ??? คดีล่าช้า ต่ออธิบดีศาลปกครองกลาง ปรากฏข้อความว่า “คดีนี้เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับประชาชน จำนวนมากหรือประโยชน์สาธารณะที่สำคัญ (อาจมีการวิ่งเต้น ให้สินบนผู้ที่เกี่ยวข้องในคดี เนื่องจากมีผลประโยชน์สูง)”
และได้ยื่นคำแถลงวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก ในคดีหมายเลขดำที่ 369/2563 หมายเลขแดงที่ 705/2563 และคดีหมายเลขดำที่ 385/2563 หมายเลขแดง ที่ 686/2563 ปรากฏถ้อยคำว่า “ตามที่ข้าพเจ้าทำคำคัดค้านการกำหนดวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริง ลงวันที่ 31 มกราคม 2567 เนื่องจากเหตุผลสำคัญไม่ปรากฏว่าตุลาการเจ้าของสำนวน มีการใช้อำนาจแสวงหาข้อเท็จจริงไต่สวนหรือเรียกพยานเอกสาร พยานหลักฐานใดจากผู้ถูกฟ้องคดี /หรือผู้ใด ตามคำขอของผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด ข้าฯ เห็นว่าการกระทำดังกล่าวอาจจะเป็นการจงใจ ที่จะมีคำพิพากษาโดยที่ข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอ ที่อาจไม่ครบถ้วนพอที่จะวินิจฉัยได้อย่างชัดเจน และอาจจะมีเจตนาพิเศษที่จะทำให้กระบวนการพิจารณาคดี ไม่ยุติธรรม???? ... และได้มีหมายแจ้ง คำสั่งศาล ลว 20/2/2567 โดยให้ยกคำขอดังกล่าว ข้าฯ ขออุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว และยกเป็นประเด็น ข้อสังเกตสำคัญของการทำหน้าที่แสวงหาข้อเท็จจริง และการใช้ดุลพินิจของตุลาการที่เกี่ยวข้องในคดี โดยก่อนหน้านี้ ในชั้นศาลปกครองกลางก่อนที่ศาลสูงจะมีคำสั่งให้รับคดีนี้เข้าสู่กระบวนการ ก็มีกรณีนี้เกิดขึ้นมาก่อนเช่นกัน จึงพอจะเชื่อว่า น่าจะอาจจะมีการวิ่งเต้นทางคดี เนื่องด้วยมีผลประโยชน์ในการได้ไปซึ่งสัญญาที่มาฟ้องจำนวนมาก”
และยังได้ยื่นคำคัดค้านตุลาการ ศาลปกครองที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ลงวันที่ 7 มีนาคม 2567 ปรากฏข้อความว่า “การที่ศาลปฏิเสธ ตามหมายแจ้งคำสั่ง ลว 24/1/66 ไม่มีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องส่งข้อเท็จจริงข้อมูลที่ผู้ฟ้องได้ขอให้ศาล มีคำสั่งไป ตามหนังสือคำคัดค้านคำให้การ ลว 18/11/65 และคำขออุทธรณ์หมายแจ้งคำสั่งศาล ลว 30/1/2566 จึงพอจะเชื่อได้ว่า เป็นการใช้ดุลพินิจโดยตำแหน่งสำคัญในนามศาลที่จะทำให้คดีเสียความยุติธรรม โดยเห็นว่าตุลาการเจ้าของสำนวนและองค์คณะไม่มีเจตนาในการทำหน้าที่เพื่อที่จะ ทำให้ข้อเท็จจริงปรากฏ และดูจะเอนเอียง จะส่งผลให้คดีเสียความยุติธรรม ด้วยคดีมีความสำคัญ ที่เป็นเรื่องผลประโยชน์ของชาติ และผลกระทบต่อประชาชนนับแสนล้านบาท จึงเห็นว่าน่าจะมี การแทรกแซง ทำให้มีการวินิจฉัย วิปริต ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์แห่ง รธน.และกฎหมายได้....
และยังปรากฏข้อความว่า “พฤติการณ์ความเห็นข้อวินิจฉัยดุลพินิจตุลาการผู้แถลงคดีดูไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง/ข้อกฎหมาย โดยข้าฯ ได้รับฟังคำแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดีแล้ว รู้สึกหดหู่ ว่านักกฎหมายผู้ที่มีวัยวุฒิ ที่ดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานของรัฐ ตำาแหน่งตุลาการ จะมีข้อวินิจฉัยที่ข้าฯ มิอาจยอมรับฟังได้ และโดยแถลงสังเขปที่พอจำได้ว่า “คำแถลงของผู้ฟ้องคดีที่ไม่สามารถยืนยันว่า ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำมิชอบฯ และไปรับฟังเชื่อให้น้ำหนักเรื่องที่ผู้ถูกฟ้องคดีสมยอม รับเอาตัวเลข กรณีพิพาทที่เกินจริงมโหฬารมาพิจารณา และยังกล่าวว่าคนขึ้นทางด่วน เพียงส่วนน้อย ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่รัฐจะต้องจ่ายค่าโง่ด้วยเงินภาษีของปชช.ทั้งประเทศ นั้น ได้รับฟังตรรกะเช่นนี้รู้สึกสิ้นหวังยิ่งนัก"
@ พิจารณาข้อความแล้วเห็นว่าไม่ใช่การยกข้อเท็จจริง แต่ตำหนิตุลาการศาล
เมื่อพิจารณาข้อความดังกล่าวข้างต้นแล้วย่อมเห็นได้ว่า มิใช่การยกข้อเท็จจริง หรือข้อกฎหมายเพื่อพิสูจน์ความจริงต่อศาลในประเด็นแห่งคดี หรือเพื่อให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง แต่เป็นการตำหนิการปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการเจ้าของสำนวน ตุลาการในองค์คณะ และตุลาการผู้แถลงคดีว่าปฏิบัติหน้าที่ ไม่เป็นกลาง ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ดูหมิ่น เสียดสีศาล รวมทั้งมีการกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่ ส่อไปในทางทุจริตโดยปราศจากหลักฐาน ถือไม่ได้ว่าเป็นการวิจารณ์การพิจารณาหรือการพิพากษาคดีของศาลปกครองโดยสุจริตด้วยวิธีการทางวิชาการ และเมื่อผู้ถูกกล่าวหาระบุข้อความดังกล่าว ในคำคัดค้านการกำหนดวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริง คำแถลงในวันนัดนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก และคำคัดค้านตุลาการที่เกี่ยวข้องในคดีทั้งหมด ต่อศาลปกครองผ่านทางระบบงานคดีปกครองอิเล็กทรอนิกส์ จึงถือเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล อันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
ข้อที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้างว่าได้ยื่นเอกสารดังกล่าว ณ สำนักงานของผู้ถูกกล่าวหา ผู้ถูกกล่าวหาจึงมิได้กระทำการ หรือประพฤติตนใด ๆ ไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลแต่อย่างใด นั้น
เห็นว่า การกระทำที่จะถือว่า เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ย่อมหมายความรวมถึงการกระทำที่ผลได้เกิดขึ้นในศาล แม้ว่าจะเป็นการกระทำนอกศาลก็ตาม ข้ออุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีจึงไม่อาจรับฟังได้
@ ต้องพิจารณาว่าผู้ถูกกล่าวหาจะต้องรับโทษสถานใด
กรณีมีประเด็นที่ต้องพิจารณาต่อไปว่า ผู้ถูกกล่าวหาจะต้องรับโทษสถานใด
เห็นว่า เมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาแล้วเห็นว่า การที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้แทน ของผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้แทนของผู้ฟ้องคดีที่ 3 ถึงผู้ฟ้องคดีที่ 23 ย่อมมีความรู้สึกผิดชอบว่าสิ่งใด สมควรกระทำหรือไม่สมควรกระทำ การที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นหนังสือที่ปรากฏข้อความที่ให้ร้าย ดูหมิ่นเสียดสีศาลด้วยข้อความที่ไม่เหมาะสมหลายฉบับต่างกรรมต่างวาระกัน พฤติการณ์ของ ผู้ถูกกล่าวหาจึงเป็นการกระทำที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย การที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งลงโทษจำคุกผู้ถูกกล่าวหา 15 วัน แต่ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามมาตรา 56 แห่งประมวล กฎหมายอาญา นั้น จึงเหมาะสมกับพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาแล้ว
การที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งลงโทษจำคุกผู้ถูกกล่าวหา 15 วัน เนื่องจาก ผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำความผิดเป็นครั้งแรก เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาได้กลับตนเป็นพลเมืองดีและ ระมัดระวังการกระทำที่อาจนำไปสู่การกระทำความผิดในทำนองเดียวกันนี้อีก จึงให้รอการลงโทษไว้ มีกำหนด 1 ปี ตามมาตรา 56 แห่งประมวลกฎหมายอาญา นั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย
จึงมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น
