
ป.ป.ช. บุรีรัมย์ แถลงมติ ชี้มูลความผิด 'พีระพงศ์ เจริญพันธุวงศ์' อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนสตึก ทุจริตต่อหน้าที่ 3 คดีรวด ปรับปรุงซ่อมแซมอาคารเรียน/ยักยอกเงิน1.2 ล้าน /ค่าจัดซื้อชุดเครื่องแบบนักเรียน / ส่งสำนวน อสส. ฟ้องร้องดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมายแล้ว - ยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ลาออกราชการเกิน 3 ปี ลงโทษวินัยไม่ได้
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายอดุลย์ วันดี ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประจำจังหวัดบุรีรัมย์ ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดบุรีรัมย์ แถลงข่าวมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายพีระพงศ์ เจริญพันธุวงศ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนสตึก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จำนวน 3 คดี คือ
1. ทุจริตโครงการจ้างปรับปรุงซ่อมแซมอาคารเรียนแบบ 216 ก (อาคารวนาลัย 2) ของโรงเรียนสตึก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อปี พ.ศ. 2555 จำนวน 1 หลัง
2. ทุจริตยักยอกเงินโรงเรียนสตึก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,239,159 บาท
3. ทุจริตเงินค่าจัดซื้อชุดเครื่องแบบนักเรียน เมื่อปี พ.ศ. 2555
มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
@ ทุจริตโครงการจ้างปรับปรุงซ่อมแซมอาคารเรียนแบบ 216 ก (อาคารวนาลัย 2) ของโรงเรียนสตึก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อปี พ.ศ. 2555 จำนวน 1 หลัง
ข้อเท็จจริงโดยสรุปจากการไต่สวนเบื้องต้น ปรากฏว่า เมื่อปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 โรงเรียนสตึกได้รับเงินงบประมาณรายการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารเรียน แบบ 216 ก โดยซ่อมแซมทาสี ไฟฟ้า กันสาด วงเงิน 1,807,000 บาท ผลปรากฏว่าผู้ชนะในการสอบราคาได้แก่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีรัมย์ วี.เอส. การก่อสร้าง ในราคา 1,100,000 บาท ต่อมาคณะกรรมการตรวจการจ้างได้ลงลายมือชื่อรับรองในใบตรวจรับงานจ้างและรับรองผลการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างว่างานเสร็จเรียบร้อยถูกต้องตามสัญญาอันเป็นเท็จ เพื่อเป็นหลักฐานประกอบการเบิกจ่ายเงิน ทั้งที่ผู้รับจ้างทำการปรับปรุงซ่อมแซมได้เพียงบางส่วน เป็นเหตุให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 ต้องจ่ายเงินค่าจ้างเกินไปจากผลงาน ทำให้ผู้รับจ้างได้รับประโยชน์ เป็นเงินส่วนเกินอันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้
1. การกระทำของนายพีระพงศ์ เจริญพันธุวงศ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 มีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 และมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิด ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172)
2. การกระทำของนายสายัณห์ เมยไธสง ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 นายธวัชชัย ญาตินิยม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 และนายสำเร็จ ณรงค์ศักดิ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 มีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 157 และมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172)
3. การกระทำของนายยรรยง วิริยาชีวกิจ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 5 และห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีรัมย์ วี.เอส. การก่อสร้าง ผู้ถูกกล่าวหาที่ 6 มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีกับ นายพีระพงศ์ เจริญพันธุวงศ์ นายสายัณห์ เมยไธสง นายธวัชชัย ญาตินิยม นายสำเร็จ ณรงค์ศักดิ์ นายยรรยง วิริยาชีวกิจ และห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีรัมย์ วี.เอส.การก่อสร้าง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) ต่อไป
ทั้งนี้ ให้ส่งรายงาน เอกสารหลักฐาน พร้อมความเห็นไปยังผู้มีอำนาจแต่งตั้งหรือถอดถอน เพื่อดำเนินการทางวินัยไปตามหน้าที่และอำนาจกับนายพีระพงศ์ เจริญพันธุวงศ์ นายสายัณห์ เมยไธสง นายธวัชชัย ญาตินิยม นายสำเร็จ ณรงค์ศักดิ์ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 64 ด้วย
ให้แจ้ง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหาย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 82 วรรคสอง
ให้แจ้งข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับกระทำของนายยรรยง วิริยาชีวกิจ และห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีรัมย์ วี.เอส.การก่อสร้าง ให้กรมบัญชีกลาง เพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจให้เป็นผู้มีลักษณะเป็นผู้ทิ้งงาน ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
@ ทุจริตยักยอกเงินโรงเรียนสตึก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,239,159 บาท
ข้อเท็จจริงโดยสรุปจากการไต่สวนเบื้องต้น ปรากฏว่า ช่วงเดือนพฤษภาคม 2555 (ภาคเรียนที่ 1/2555) โรงเรียนสตึกได้รับเงินระดมทรัพยากรจากเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 ถึงปีที่ 6 เป็นเงินจำนวน 2,876,330 บาท และในเดือนตุลาคม 2555 (ภาคเรียนที่ 1/2555) ได้รับเงินระดมทรัพยากรจากเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 ถึงปีที่ 6 เป็นเงินจำนวน 1,693,600 บาท รวมจำนวนเงินทั้งสิ้น 4,569,930 บาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวอยู่ในความครอบครองดูแลของนายพีระพงศ์ เจริญพันธุวงศ์ ผู้ถูกกล่าวหา แต่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้นำเงินเข้าระบบบัญชีของโรงเรียนและได้สั่งจ่ายเงินดังกล่าวโดยไม่ปรากฏหลักฐานการจ่ายเงินและทะเบียนคุมการรับจ่ายเงินแต่อย่างใด ปกติแล้วเงินระดมทรัพยากร โรงเรียนสตึกจะต้องนำฝากไว้กับธนาคารกรุงไทย สาขาสตึก เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามที่ได้รับใบแจ้งหนี้จากร้านค้าและจ่ายโดยได้รับคำสั่งจากผู้ถูกกล่าวหา แต่ในภาคเรียนที่ 1/2555 นายพีระพงศ์ เจริญพันธุวงศ์ ได้ทุจริตสั่งจ่ายเงินโดยไม่พบหลักฐานการใช้จ่าย จำนวน 4 รายการ รวมเป็นเงิน จำนวน 584,438 บาท และในภาคเรียนที่ 2/2555 ได้ทุจริตสั่งจ่ายเงินโดยไม่พบหลักฐานการใช้จ่าย จำนวน 2 รายการ รวมเป็นเงิน จำนวน 753,764 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,239,159 บาท
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติว่า การกระทำของนายพีระพงศ์ เจริญพันธุวงศ์ มีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีกับ นายพีระพงศ์ เจริญพันธุวงศ์ ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) ต่อไป
ทั้งนี้ ให้ส่งรายงาน เอกสารหลักฐาน พร้อมความเห็นไปยังผู้มีอำนาจแต่งตั้งหรือถอดถอน เพื่อดำเนินการทางวินัยไปตามหน้าที่และอำนาจกับนายพีระพงศ์ เจริญพันธุวงศ์ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 64 ด้วย และให้แจ้งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหาย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 82 วรรคสอง
@ ทุจริตเงินค่าจัดซื้อชุดเครื่องแบบนักเรียน เมื่อปี พ.ศ. 2555
ข้อเท็จจริงโดยสรุปจากการไต่สวนเบื้องต้น ปรากฏว่า นายพีระพงศ์ เจริญพันธุวงศ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนสตึก แจกคูปองแทนการจ่ายเงินสดให้นักเรียนนำไปแลกเครื่องแบบนักเรียนกับร้านใดร้านหนึ่งใน 4 ร้าน โดยชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น แจกคูปองสีเหลือง จำนวนเงิน 450 บาท ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายแจกคูปองสีน้ำเงิน จำนวนเงิน 500 บาท เมื่อนักเรียนไปแลกชุดนักเรียนเรียบร้อยแล้ว ทางร้านจะรวบรวมคูปองพร้อมใบเสร็จรับเงินมาขึ้นเงินสดกับทางโรงเรียน ซึ่งปรากฏหลักฐานว่าโรงเรียนสตึกจ่ายเงินให้ทางร้านเพียง 70% หักไว้ 30% และไม่นำเงินส่วนลดที่ได้จากร้านค้ามาเป็นรายได้สถานศึกษา และกระทำการปลอมเอกสารสมุดรับ – จ่ายเงินสวัสดิการของโรงเรียนสตึกหลังจากมีเรื่องร้องเรียนขึ้นมาแล้ว ทำให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการขึ้น
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติว่า การกระทำของนายพีระพงศ์ เจริญพันธุวงศ์ ผู้ถูกกล่าวหา มูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 และมาตรา 161 และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172)
สำหรับการดำเนินการทางวินัยกับนายพีระพงศ์ เจริญพันธุวงศ์ ผู้ถูกกล่าวหา นั้น สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดบุรีรัมย์ ได้มีคำสั่งลงโทษไล่นายพีระพงศ์ เจริญพันธุวงศ์ ออกจากราชการในการกระทำผิดนี้ เหมาะสมแก่การกระทำความผิดแล้ว แต่เนื่องจากนายพีระพงศ์ เจริญพันธุวงศ์ ผู้ถูกกล่าวหา ได้ลาออกจากราชการแล้วเกินสามปี จึงไม่สามารถลงโทษทางวินัยได้ ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2562 มาตรา 102
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีกับนายพีระพงศ์ เจริญพันธุวงศ์ ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) ต่อไป
ทั้งนี้ ให้แจ้งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้ชดใช้ค่าเสียหายต่อไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 82 วรรคสอง
อย่างไรก็ดี การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่สิ้นสุด ผู้ถูกกล่าวหา ยังมีสิทธิ์ต่อสู้คดีในชั้นศาลเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้อีก
