
เผยเบื้องหลัง! ปฏิบัติการรวมตัว อดีตรอง ผอ.ท่าอากาศยานภูเก็ต คดีเอื้อจัดจ้างตกแต่งสวนหย่อมสุวรรณภูมิ 7.1 ล้าน ป.ป.ช.เป็นโจทก์ฟ้องเอง หลังอัยการเห็นแย้งสำนวน ส่งหมายเรียกรายงานตัวฟ้องคดีไม่ได้ เหตุหายตัวออกจากบ้านไม่ทราบปลายทาง เลยขอออกหมายจับ ก่อนสืบพบไปญี่ปุ่น ดักรอช่วงเดินทางกลับก่อนเข้าจับกุม คาด่าน ตม.
จากกรณีปรากฏข่าวเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสืบสวนปราบปรามกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 ดำเนินการจับกุมตัวนายมนัส (ขอสงวนนามสกุล) บุคคลตามหมายจับของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ที่ จ.54/2568 ลงวันที่ 17 กันยายน 2568 ที่ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ขาเข้า) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากเมื่อครั้งนายมนัส ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการส่วนเครื่องกล (ระดับ 8) ฝ่ายไฟฟ้าและเครื่องกลท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษเพื่อดำเนินการหาผู้รับจ้างงานประดับตกแต่งและดูแลไม้ประดับภายในพื้นที่อาคารเทียบเครื่องบิน C, E, F, G ชั้น 4 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ วงเงิน 7,189,105.80 บาท แต่กลับเอื้ออำนวยให้นิติบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติได้รับการคัดเลือก ส่งผลให้บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เสียประโยชน์จากการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม

ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้รับการเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมว่า คดีนี้ ป.ป.ช.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีเองต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 หลังจากที่ฝ่ายอัยการมีความเห็นแย้งในสำนวนไม่ฟ้องคดีให้ โดย ป.ป.ช.ได้มีหนังสือแจ้งให้ นายมนัส มารายงานตัวเพื่อส่งฟ้องดำเนินคดีต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ในวันที่ 17 ก.ย.2567 ที่ผ่านมา แต่ไม่สามารถส่งหนังสือดังกล่าวตามที่อยู่ภูมิลำเนาของ นายมนัส ได้ เนื่องจากไม่พบผู้อยู่อาศัยในบ้าน
ขณะที่จากการสืบหาข้อมูลได้รับทราบว่า นายมนัส ได้ออกจากบ้านไปก่อนที่จะมีการส่งหนังสือแจ้งดังกล่าว โดยไม่ทราบปลายทาง เมื่อตรวจสอบข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทราบว่า นายมนัส ได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 ก.ย.2568 และยังไม่มีข้อมูลการเดินทางกลับเข้าประเทศไทย
พนักงานไต่สวน ในฐานะผู้ว่าคดี จึงได้ยื่นคำร้องขอหมายจับ นายมนัส ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 และศาลฯ อนุมัติออกหมายจับเมื่อวันที่ 17 ก.ย.2568
ต่อมา เจ้าหน้าที่สำนักสืบสวนฯ ได้สืบทราบว่านายมนัส บุคคลตามหมายจับ จะเดินทางกลับเข้าประเทศไทยด้วยสายการบิน Bangkok Airways เที่ยวบิน PG 4170 จากท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ ถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ วันที่ 26 กันยายน 2568 เวลา 04.40 น. จึงได้ประสานงานกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสืบสวนปราบปรามกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 วางแผนเข้าจับกุมตัว
เมื่อนายมนัส เดินทางกลับเข้ามาประเทศไทยตามวันเวลาดังกล่าว เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. และเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ได้ร่วมกันจับกุม ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ขาเข้า) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยแสดงหมายจับและแจ้งข้อกล่าวหาพร้อมสิทธิตามกฎหมายให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ หลังจากนั้นได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 มาตรา 22 และมาตรา 23 ก่อนนำตัวไปทำบันทึกการจับกุมที่สถานีตำรวจภูธรท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และควบคุมตัวส่งสำนักคดี สำนักงานป.ป.ช. เพื่อฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ต่อไป


สำหรับข้อมูล นายมนัสฯ ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการส่วนเครื่องกล (ระดับ 8) ฝ่ายไฟฟ้าและเครื่องกล ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายไฟฟ้าและเครื่องกล ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษเพื่อดำเนินการหาผู้รับจ้างงานประดับตกแต่งและดูแลไม้ประดับภายในพื้นที่อาคารเทียบเครื่องบิน C, E, F, G ชั้น 4 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ วงเงิน 7,189,105.80 บาท ก่อนที่จะย้ายไปดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการท่าอากาศยานภูเก็ต สายปฏิบัติการและบำรุงรักษา และเกษียณอายุราชการในเวลาต่อมา
ส่วนข้อกล่าวหาในคดีนี้ ของ นายมนัสฯ ถูกระบุว่า กระทำความผิดฐาน “เป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต” ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 และฐาน “เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐกระทำความผิดหรือมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมเพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใด” ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 จากการแเอื้ออำนวยให้นิติบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติได้รับการคัดเลือก ได้รับงาน ส่งผลให้บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เสียประโยชน์จากการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม
อย่างไรก็ดี คดีนี้ ศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาชี้ขาด นายมนัสฯ ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด
