
"...จำเลยเป็นเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ควบคุมงานก่อสร้าง แต่จำเลยกลับเรียกและรับเงินจากผู้เสียหายไป 4 ครั้ง รวมเป็นเงิน 120,000 บาท โดยไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย พฤติการณ์แห่งคดีจึงนับว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรง ในชั้นพิจารณาจำเลยยังให้การปฏิเสธโดยไม่ได้แสดงการสำนึกต่อความผิด..."
ไม่ปรับและไม่รอการลงโทษ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น
คือ บทสรุปคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ที่พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 2 ในคดีกล่าวหา นายสาธิต สันหมุด เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายช่างชลประทาน ปฏิบัติงานสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดกลางที่ 9 กรมชลประทาน เรียกรับเงินจากผู้รับเหมางานก่อสร้างระบบส่งน้ำฝั่งขวาโครงการระบบส่งน้ำคลองพระสะทึง ตำบลวังใหม่ อำเภอวังสมบูรณ์ จังหวัดสระแก้ว ซึ่งถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149, 147, 157 ประกอบมาตรา 90, 91 และ ตาม พ.ร.ป.ป.ป.ช.พ.ศ. 2561 มาตรา 172, 173 ประกอบ ป.อ.มาตรา 90,91
จากเดิมที่มีคำพิพากษาว่า นายสาธิต จำเลยมีความผิดตามกฎหมาย กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตาม ป.อ. ม.91 รวม 4 กระทง ให้ลงโทษจำคุก กระทงละ 5 ปีและปรับกระทงละ 120,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตาม ป.อ. ม.78 คงจำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน และปรับกระทงละ 80,000 บาท รวมจำคุก 12 ปี 16 เดือน และปรับ 320,000 บาท
ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนและเพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตนเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ มีกำหนด 3 ปี ตาม ป.อ.ม.56 หากไม่ชชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ. ม.29 , 30 คำขออื่น นอกจากนี้ให้ยก
แก้เป็น
ไม่ปรับและไม่รอการลงโทษ
ตามที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำมาเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบไปแล้ว

ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบยืนยันคำพิพากษาคดีนี้ของศาลอุทธรณ์ พบข้อมูลสำคัญเพิ่มเติมดังต่อไปนี้
หนึ่ง : อาศัยอำนาจหน้าที่เรียกเงินผู้รับเหมา
ในช่วงเกิดเหตุ นายสาธิต มีตำแหน่งเป็น นายช่างชลประทาน ปฏิบัติงาน ฝ่ายก่อสร้างที่ 1 สำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดกลางที่ 9 กองพัฒนาแหล่งน้ำขนาดกลาง ได้รับอนุมัติเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2561 ให้เป็นผู้ควบคุมงานงานจ้างก่อสร้างระบบส่งน้ำฝั่งขวา โครงการระบบส่งน้ำคลองพระสะทึง ตำบลวังใหม่ อำเภอวังสมบูรณ์ จังหวัดสระแก้ว
งานโครงการฯ นี้ มีกำหนดก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน 990 วัน วงเงินงบประมาณ 295 ล้านบาท บริษัท S. (สงวนชื่อ) เป็นคู่สัญญา
จำเลย ได่อาศัยอำนาจหน้าที่เป็นผู้ควบคุมงานมีหน้าที่ตรวจและควบคุมงานให้เป็นไปตามแบบรูปรายการ เรียกรับเงินจากผู้รับเหมา
โดยเมื่อผู้เสียหายส่งมอบงานตามงวดงาน จำเลยจะแจ้งให้แก้ไขเนื้องานตลอด และในระหว่างนั้นจำเลยจะพูดคุยให้ผู้เสียหายจ่ายเงินเป็นรายเดือน ๆ ละ 40,000 ถึง 50,000 บาท เพื่อเป็นค่าดูแลและอำนวยความสะดวก ให้ผ่านงานง่ายขึ้น
สอง : เรียกรับ 4 ครั้ง ยอดรวม 1.2 แสน
ผู้เสียหายจ่ายเงินให้จำเลย 4 ครั้ง
- ครั้งที่ 1 โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารจำนวน 10,000 บาท
- ครั้ง 2 โอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร จำนวน 50,000 บาท
- ครั้งที่ 3 โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารจำนวน 10,000 บาท
- ส่วนครั้งที่ 4 ผู้เสียหายส่งมอบเงินให้จำเลย 50,000 บาท ด้วยวิธีการนำเงินสดให้ลูกจ้างของผู้เสียหายนำไปมอบให้จำเลยที่บริเวณสีแยกทุ่งกบินทร์ ตำบลวังใหม่ อำเภอวังสมบูรณ์ จังหวัดสระแก้ว
รวมเป็นเงินที่จำเลยเรียกและได้รับไปจากผู้เสียหายทั้งสิ้น 120,000 บาท
สาม: ไม่อาจถือได้ว่าทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์
ในการพิจารณาคดีนี้ อัยการในฐานะโจทก์ (ฟ้องคดีแทน ป.ป.ช.) อุทธรณ์ว่า จำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด เท่ากับไม่ได้สำนึกในการกระทำความผิดของตน
ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยเบิกความว่าได้รับเงิน 70,000 จากผู้เสียหายซึ่งเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาและมีเหตุบรรเทาโทษนั้น
โจทก์เห็นว่าจำเลยยอมรับว่ารับเงินดังกล่าว เพราะประสงค์จะต่อสู้ว่าเป็นค่าจ้างที่จำเลยกับผู้เกี่ยวข้องอีกราย เขียนแบบก่อสร้างให้กับผู้เสียหาย
แท้จริงแล้วไม่ใช่เป็นการยอมรับ
หากแต่จำเลยต้องการต่อสู้และนำสืบในทางปฏิเสธว่า เงินดังกล่าว เป็นค่าเขียนแบบ
และศาลชั้นต้นพิเคราะห์พยานหลักฐานในคดีนี้แล้วรับฟังไปโดยปราศจากความสงสัยว่า จำเลยได้เรียกและรับเงินจากผู้เสียหาย 4 ครั้ง รวมเป็นเงิน 120,000 บาท
แม้จำเลยจะไม่ให้การดังกล่าว พยานหลักฐานก็เพียงพอยืนยันได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องจริง
กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่า ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้และไม่อาจถือเป็นเหตุบรรเทาโทษ ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 การที่ศาลชั้นต้นลดโทษให้จำเลยและรอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 3 ปี จึงเป็นการไม่ชอบด้วย
พฤติการณ์แห่งคดีและกฎหมายนั้น เห็นว่า องค์ประกอบความผิดในการเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นได้ ย่อมถือเป็นข้อสำคัญในคดีนี้
การที่จำเลยนำสืบยอมรับว่าได้รับเงินจากผู้เสียหายไว้จริง ไม่ว่าเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ก็ถือได้ว่ามีเหตุอื่นมีลักษณะทำนองเดียวกันกับการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา และศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจเห็นสมควรลดโทษที่จะลงให้แก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 แต่ที่โจทก์ขอให้ไม่รอการลงโทษจำคุกของจำเลยนั้น
เห็นว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ควบคุมงานก่อสร้างแต่จำเลยกลับเรียกและรับเงินจากผู้เสียหายไป 4 ครั้ง รวมเป็นเงิน 120,000 บาท โดยไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย
พฤติการณ์แห่งคดีจึงนับว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรง
ในชั้นพิจารณาจำเลยยังให้การปฏิเสธโดยไม่ได้แสดงการสำนึกต่อความผิด
กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลย ที่ศาลชั้นต้น ใช้ดุลพินิจรอการลงโทษแก่จำเลยนั้น ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน เมื่อไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยแล้ว เห็นสุมควรไม่ลงโทษปรับจำเลยอีก
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ปรับ และรอการลงโทษ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
************
อนึ่งเกี่ยวกับคดีนี้ สำนักข่าวอิศรา รายงานไปแล้วว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการประชุมเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 มีมติเห็นชอบในการที่อัยการสูงสุด (อสส.) จะไม่ฏีกาคำพิพากษา
อย่างไรก็ดี คดีนี้ยังไม่สิ้นสุด จำเลย มีสิทธิ์ต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลที่สูงกว่านี้อีกได้
แต่ไม่ว่าบทสรุปสุดท้ายผลการต่อสู้คดีจะออกมาเป็นอย่างไร
คดีนี้นับเป็นอุทาหรณ์สอนใจ เจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ให้เดินย้ำซ้ำรอยเอาเป็นเยี่ยงอย่างในอนาคตอีกต่อไป
