
จบบริบูรณ์! องค์คณะฯศาลฎีกา ไม่รับคำร้องไว้พิจารณา คดี‘อนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์’ อดีต สส.มุกดาหาร พรรคเพื่อไทย เรียกรับเงิน 5 ล้าน อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาลแลกผ่านงบฯ เหตุดำเนินกระบวนพิจารณาต่อหน้าจําเลยไปแล้ว ไม่มีเหตุที่จะขอให้รื้อฟื้นขึ้นใหม่ หลังอ้างมีพยานหลักฐานข้อเท็จจริงในสาระสำคัญ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงาน เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งไม่รับคําร้องของจําเลยไว้พิจารณา ในคดีที่ นายอนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์ อดีต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)มุกดาหาร พรรคเพื่อไทย ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษา จําคุก 6 ปี และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดไป กรณี นายอนุรักษ์ ในฐานะกรรมาธิการพิจารณาร่างงบประมาณ พ.ศ. 2564 เรียกรับเงิน 5 ล้านบาท จากนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ ขณะดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล แลกไม่ตัดงบฯกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ต่อมาศาลฎีกาโดยองค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์พิพากษายืน ล่าสุดนายอนุรักษ์ จำเลยยื่นคําร้องและแก้คําร้องว่า มีพยานหลักฐานใหม่และข้อเท็จจริงที่อาจเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญของคําพิพากษาได้ ขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ และขอให้ส่งข้อโต้แย้งของจําเลยที่ว่า มาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 3, 5, 25, 26, 29, 188, 195, 212, 213 หรือไม่ และมาตรา 46 วรรคสามแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 3, 5, 26, 27, 29, 212, 213 หรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า การขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่มีได้เฉพาะกรณีที่ศาลประทับรับฟ้องไว้พิจารณาตามมาตรา 27 ซึ่งไม่ปรากฏตัวผู้ถูกกล่าวหาต่อหน้าศาลในวันฟ้องคดีต่อศาล และศาลส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้จําเลยทราบโดยชอบแล้วแต่จําเลยไม่มาศาล ศาลออกหมายจับจําเลยแต่ไม่สามารถจับจําเลยได้ภายในสามเดือนนับแต่ออกหมายจับ เมื่อศาลดำเนินกระบวนพิจารณาคดีโดยไม่ได้กระทำต่อหน้าจําเลยตามมาตรา 28 และมีคําพิพากษาว่าจําเลยกระทำความผิด ถ้าภายหลังจําเลยมีพยานหลักฐานใหม่ที่อาจทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ จําเลยจะมาแสดงตนต่อศาลและยื่นคําร้องต่อศาลเพื่อขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ได้ตามมาตรา 29 วรรคหนึ่ง
แต่ข้อเท็จจริงคดีนี้ในวันที่โจทก์ยื่นฟ้อง จําเลยมาศาลตามสํานวนคดีหมายเลขดำที่หมายจับจําเลยตามสำเนารายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 23 มิถุนายน 2565 จึงไม่เข้ากรณีตามมาตรา 28 วรรคหนึ่งและวรรคสอง เมื่อการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาต่อหน้าจําเลย จึงไม่มีเหตุที่จะขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ตามมาตรา 29 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 และไม่จําต้องส่งข้อโต้แย้งของจําเลยไปยังศาลรัฐธรรมนูญตามขอ จึงมีคำสั่งไม่รับคําร้องของจําเลยไว้พิจารณา
ถือว่าปิดฉากคดีนี้
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org นำคำสั่งของศาลฎีกามารายรายละเอียด
@เปิดคำพิพากษาละเอียด
คดีหมายเลขดำที่ รฟ 1/2568 คดีหมายเลขแดงที่ รฟ 1/2568 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง วันที่ 26 กันยายน 2568 ระหว่าง อัยการสูงสุด โจทย์ นายอนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์ จำเลย
เรื่อง ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ชั้นขอรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่)
@ ก่อนหน้าโดนจำคุก 6 ปี ตัดสิทธิสมัครเลือกตั้งตลอดชีวิต
คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 173 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 การกระทำของจําเลย เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 องค์คณะผู้พิพากษา มีมติเสียงข้างมาก ลงโทษจําคุก 6 ปี กับให้จําเลยพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่ 19 เมษายน 2565 ซึ่งเป็นวันที่ศาลมีคำสั่งให้จําเลยหยุดปฏิบัติหน้าที่ในคดีนี้ และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของจําเลยตลอดไป โดยไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตลอดไป และไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ตามมาตรา 81 วรรคหนึ่งและวรรคสอง
จําเลยอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา
ศาลฎีกาโดยองค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์พิพากษายืน
@ขอรื้อฟื้นคดี อ้างมีพยานหลักฐานใหม่
จําเลยยื่นคําร้องและแก้คําร้องว่า จําเลยมีพยานหลักฐานใหม่และข้อเท็จจริงที่อาจเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญของคําพิพากษาได้ ขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 29 และขอให้ส่งข้อโต้แย้งของจําเลยที่ว่า มาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 3, 5, 25, 26, 29, 188, 195, 212, 213 หรือไม่ และมาตรา 46 วรรคสามแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 3, 5, 26, 27, 29, 212, 213 หรือไม่

@ อนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์
@องค์คณะฯชี้กระบวนพิจารณาต่อหน้าจำเลยไปแล้ว ไม่มีเหตุที่จะขอให้รื้อฟื้นคดี
องค์คณะผู้พิพากษาพิจารณาคําร้องและเอกสารท้ายคําร้องแล้วเห็นว่า ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 29 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในคดีที่ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาตามมาตรา 29 และมีคําพิพากษาว่าจําเลยกระทำความผิด ถ้าภายหลังจําเลยมีพยานหลักฐานใหม่ที่อาจทำให้ ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ จําเลยจะมาแสดงตนต่อศาลและยื่นคําร้องต่อศาลเพื่อขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ได้ แต่ต้องยื่นเสียภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ศาลมีคําพิพากษา และให้ศาลมีอำนาจสั่งรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ได้ตามที่เห็นสมควร คำสั่งของศาลในกรณีเช่นนี้ให้เป็นที่สุด มาตรา 28 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในกรณีที่ศาลประทับรับฟ้องไว้ตามมาตรา 27 และศาลได้ส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้จําเลยทราบโดยชอบแล้วแต่จําเลยไม่มาศาล ให้ศาลออกหมายจับจําเลยและให้ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการติดตามหรือจับกุมจําเลยรายงานผลการติดตามจับกุมเป็นระยะตามที่ศาลกำหนด วรรคสอง บัญญัติว่า นกรณีที่ได้ออกหมายจับจําเลยและได้มีการดำเนินการตาม วรรคหนึ่งแล้ว แต่ไม่สามารถจับจําเลยได้ภายในสามเดือนนับแต่ออกหมายจับ ให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีได้โดยไม่ต้องกระทำต่อหน้าจําเลย และมาตรา 27 บัญญัติว่า ในการยื่นฟ้องคดีต่อศาล ให้อัยการสูงสุดหรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. แจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหามาศาลในวันฟ้องคดี ในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่มาศาลและอัยการสูงสุดหรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหลักฐานแสดงต่อศาลว่าได้เคยมีการออกหมายจับผู้ถูกกล่าวหาแล้วแต่ยังไม่ได้ตัวมา หรือเหตุที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่มาศาลเกิดจากการประวิงคดี หรือไม่มาศาลตามนัดโดยไม่มีเหตุแก้ตัวอันควร ให้ศาลประทับรับฟ้องไว้พิจารณาได้ แม้จะไม่ปรากฏผู้ถูกกล่าวหาต่อหน้าศาล ดังนี้ การขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่จึงมีได้เฉพาะกรณีที่ศาลประทับรับฟ้องไว้พิจารณาตามมาตรา 27 ซึ่งไม่ปรากฏตัวผู้ถูกกล่าวหาต่อหน้าศาลในวันฟ้องคดีต่อศาล และศาลส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้จําเลยทราบโดยชอบแล้วแต่จําเลยไม่มาศาล ศาลออกหมายจับจําเลยแต่ไม่สามารถจับจําเลยได้ภายในสามเดือนนับแต่ออกหมายจับ เมื่อศาลดำเนินกระบวนพิจารณาคดีโดยไม่ได้กระทำต่อหน้าจําเลยตามมาตรา 28 และมีคําพิพากษาว่าจําเลยกระทำความผิด ถ้าภายหลังจําเลยมีพยานหลักฐานใหม่ที่อาจทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ จําเลยจะมาแสดงตนต่อศาลและยื่นคําร้องต่อศาลเพื่อขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ได้ตามมาตรา 29 วรรคหนึ่ง แต่ข้อเท็จจริงคดีนี้ ในวันที่โจทก์ยื่นฟ้อง จําเลยมาศาลตามสํานวนคดีหมายเลขดำที่หมายจับจําเลยตามสำเนารายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 23 มิถุนายน 2565 จึงไม่เข้ากรณีตามมาตรา 28 วรรคหนึ่งและวรรคสอง เมื่อการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาต่อหน้าจําเลย จึงไม่มีเหตุที่จะขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ตามมาตรา 29 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 และไม่จําต้องส่งข้อโต้แย้งของจําเลยไปยังศาลรัฐธรรมนูญตามขอ
จึงมีคำสั่งไม่รับคําร้องของจําเลยไว้พิจารณา

ข่าวเกี่ยวข้องก่อนหน้า :
- โทษหนัก! คุก 6 ปี 'อนุรักษ์' อดีต ส.ส.เพื่อไทยคดีเรียกเงิน5ล.-ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง
- “พรุ่งนี้ขอเงิน 5,000,000 บาท”! เปิดคำพิพากษาคดี ส.ส.‘อนุรักษ์’เรียกทรัพย์แลกไม่ตัดงบฯ
- ยืนโทษ! คุก 6 ปี 'อนุรักษ์' อดีตสส.เพื่อไทย คดีเรียกเงิน 5 ล.-เจ้าตัวทำใจได้ เป็นอุทาหรณ์
