
เผยความคืบหน้าคดีกล่าวหา ว่าที่ร้อยตรี อภิสัคค์ พรหมสวาสดิ์ อดีตรองอธิบดีอัยการ การบังคับคดี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง อัยการพิเศษฝ่าย เรียกรับเงิน 5 แสน ช่วยเหลือชาวจีนคดีใช้พาสปอร์ตปลอม ล่าสุด ศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี -พวก 1 ราย โดน 1 ปี 4 เดือน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำพิพากษาตัดสินลงโทษ ว่าที่ร้อยตรี อภิสัคค์ พรหมสวาสดิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอัยการพิเศษฝ่าย สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 4 (ยานนาวา) สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) จำเลยที่ 1 และ นางสาวธัญญา เต็มชำนาญ จำเลยที่ 2 จำคุกคนละ 2 ปี แต่ นางสาวธัญญา ได้ลดโทษเหลือ 1 ปี 4 เดือน ในคดีเรียกรับเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือทางคดีผู้ต้องหาชาวจีน ซึ่งใช้หนังสือเดินทางปลอมในการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร จำนวน 500,000 บาท หลังถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดทางอาญา และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัย ไปยัง อัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจ และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อดำเนินการทางวินัย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) (2) และมาตรา 98 ตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา
โดยศาลฯ พิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า แม้คดีจะไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ว่าที่ร้อยตรี อภิสัคค์ พรหมสวาสดิ์ จำเลยที่ 1 และไม่ว่าจำเลยที่ 1 จะไปติดต่อพูดคุยกับเจ้าพนักงานตำรวจหรือพนักงานอัยการจริงหรือไม่ ถือว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาแสดงออกให้ญาติผู้ต้องหาที่ถูกเรียกรับเงินเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ติดต่อกับเจ้าพนักงานตำรวจและพนักงานอัยการที่เกี่ยวข้องกับคดีแสดงว่าเงิน 500,000 บาท เป็นเงินให้เพื่อตอบแทนในการที่จะจูงใจเจ้าพนักงานโดยวิธีอันทุจริต กฎหมายให้กระทำการหรือไม่กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณแก่ผู้ที่ถูกดำเนินคดีไม่ว่าจำเลยทั้งสองจะตั้งใจไปติดต่อกับพนักงานอัยการหรือตำรวจจริงหรือไม่หรือเป็นเพียงการให้น่าเชื่อถือว่าได้ช่วยเหลือคดีแล้ว
เมื่อที่ร้อยตรี อภิสัคค์ พรหมสวาสดิ์ จำเลยที่ 1 และ นางสาวธัญญา เต็มชำนาญ จำเลยที่ 2 ร่วมกันเรียกเงินตามที่เรียกดังกล่าวแล้ว จึงเป็นความผิดตามฟ้อง
พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 143 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2565 มาตรา 175 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทแต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 143 เพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90
จำคุกคนละ 2 ปี
อย่างไรก็ดี คำให้การในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาของ นางสาวธัญญา จำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์ลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือ จำคุก 1 ปี 4 เดือน
สำนักข่าวอิศรา รายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับคดีนี้ ป.ป.ช.ไต่สวนพบว่า ระหว่างวันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 – 29 มกราคม 2563 นางสาวธัญญา เต็มชำนาญ ได้ติดต่อกับญาติของผู้ต้องหาชาวจีนซึ่งถูกดำเนินคดีในความผิดฐานปลอมหนังสือเดินทางและใช้หนังสือเดินทางปลอมของสถานีตำรวจภูธรท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และนัดหมายให้พบกับว่าที่ร้อยตรี อภิสัคค์ พรหมสวาสดิ์ อัยการพิเศษฝ่าย สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 4 (ยานนาวา) สำนักงานอัยการสูงสุด ว่าที่ร้อยตรี อภิสัคค์ พรหมสวาสดิ์ ได้อ้างกับญาติของผู้ต้องหาว่าสามารถช่วยเหลือทางคดีได้ และเรียกรับเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายจำนวน 500,000 บาท ญาติของผู้ต้องหาได้หลงเชื่อและจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้ว่าที่ร้อยตรี อภิสัคค์ พรหมสวาสดิ์ ผ่านนางสาวธัญญา เต็มชำนาญ การกระทำของว่าที่ร้อยตรี อภิสัคค์ พรหมสวาสดิ์ กับพวก จึงเป็นการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เพื่อเป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจเจ้าพนักงานของรัฐ โดยวิธีอันทุจริต หรือผิดกฎหมาย เพื่อให้กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณแก่ผู้ต้องหา

ขณะที่ ว่าที่ร้อยตรี อภิสัคค์ เคยชี้แจงกับสำนักข่าวอิศราว่า "เรื่องนี้มีความเป็นมาจากการที่เราจัดงานทำบุญที่บ้านเมตตา เราไม่รู้ว่าใครไปร่วมงานบุญที่ว่านี้บ้าง เพราะมีคนมาร่วมกันเยอะ คนจีนที่ว่านี้เขาก็มาร่วมด้วย แต่เราก็ดูไม่ออกว่าใครเป็นใคร ใครเป็นคนจีนหรือว่าใครเป็นคนไทยบ้าง และเราก็ไม่รู้ว่าใครจะเอาเราไปอ้างบ้าง"
"แต่สุดท้ายเราก็เห็นว่ากรณีการจ่ายเงิน เขามีหลักฐานว่ามีการลงบันทึกประจำวันกันแล้ว เวลาเขา(ฝ่ายผู้ต้องหา) ทำงานต่อสู้คดีมีการจ้างทนายความกันก็มีการคืนเงินกันเรียบร้อย แต่ก็มีกระบวนการพยายามมาพาดพิงไปถึงสำนักงานอัยการเรา ซึ่งเราไม่เกี่ยวข้อง" ว่าที่ร้อยตรี อภิสัคค์ ระบุ
ว่าที่ร้อยตรี อภิสัคค์ ยังระบุด้วยว่า "บันทึกประจำวันนี้เป็นการบันทึกตั้งแต่ปี 2563 แล้ว และการมีบันทึกประจำวันดังกล่าวก็มาจากอีกฝั่งที่มีการไปแจ้งความว่ามีการรับเงินค่าทนายความมาแล้ว แต่งานไม่สำเร็จ ทำไม่ได้ตามเป้าหมายก็มีการคืนเงินกันแล้ว"
ว่าที่ร้อยตรี อภิสัคค์ กล่าวอีกว่า "เราก็มาดูกันว่ามันก็มีเอกสารอันนี้อยู่ (บันทึกประจำวัน) ก็สงสัยว่าทำไมเขาไม่เอามาพิจารณา"
เมื่อถามถึงรายละเอียดเรื่องเงิน 5 แสนบาท รองอธิบดีอัยการกล่าวย้ำว่า "ไม่ทราบจริงๆ รู้แค่ว่ามีการจ้างทนายความ ทำงานไม่สำเร็จแล้วก็มีการคืนเงินค่าทนายความแล้วก็ลงบันทึกประจำวันเท่านั้นเอง"
อย่างไรก็ดี คดีนี้ยังไม่สิ้นสุด จำเลยทั้งสอง มีสิทธิ์ต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลที่สูงกว่านี้อีกได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) ได้มีมติลงโทษไล่ ว่าที่ร้อยตรี อภิสัคค์ ออกจากราชการแล้ว
สำหรับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 ระบุว่า ผู้ใดเรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจหรือได้จูงใจเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาลโดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมายหรือโดยอิทธิพลของตนให้กระทำการ หรือไม่กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อ่านเรื่องประกอบ

- ป.ป.ช.ชี้มูลรองอธิบดีอัยการ เรียกสินบน 5 แสน ช่วยคดีใช้พาสปอร์ตปลอม - แจ้งมติ อสส.แล้ว
- โดน 2 คน! ล้วงมติ ป.ป.ช.ชี้มูลรองอธิบดีอัยการ เรียกสินบน 5 แสน ช่วยคดีใช้พาสปอร์ตปลอม
- เปิดตัวรองอธิบดีอัยการ ป.ป.ช.ชี้มูลคดีเรียกสินบน 5 แสน ยันไม่เกี่ยวข้อง มีกระบวนการพาดพิง
- เอ็กซ์คลูซีฟ : ข้อกล่าวหารองอธิบดีอัยการ-พวก คดีสินบน 5 แสน ช่วยชาวจีน-คืนเงินไปแล้ว
