
'ก้องศักด ยอดมณี' ผู้ว่าฯ กกท. แจงสร้างศูนย์มวย 608 ล.ไม่มีปัญหา งานคืบหน้า 90 % ได้มาตรฐานปลอดภัย ทันใช้แข่งกีฬาซีเกมส์แน่ ส่วน 2 กก.ไชน่าฯ ถูกจับคดีนอมินีให้เป็นตามกระบวนการกฎหมาย กรณีค่าปรับล่าช้าเอกชนไม่ต้องควักจ่าย เพราะมีเหตุสุดวิสัยเจอสายไฟต้องให้การไฟฟ้ามารื้อถอน
สืบเนื่องจากที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้รับการร้องเรียนให้ตรวจสอบงานก่อสร้างอาคารศูนย์ฝึกกีฬามวลมาตรฐานระดับสากล วงเงิน 608 ล้านบาท ที่อยู่ในความรับผิดชอบชองการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) หลังเกิดเหตุการณ์อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ ที่สวนจตุจักรมูลค่า 2 พันล้านบาท พังถล่มลงมาจากเหตุแผ่นดินไหว เนื่องจากปรากฏชื่อ บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้รับจ้างก่อสร้างเหมือนกัน
โดยได้รับการยืนยันข้อมูลว่า แม้งานก่อสร้างอาคารศูนย์ฝึกกีฬามวยฯ จะไม่ได้มีปัญหาพังถล่มลงมาเหมือนกรณีอาคาร สตง. หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว แต่มีปัญหาการส่งมอบงานล่าช้าเหมือนกับตึกสตง. เพราะตามสัญญาจ้างงาน กำหนดให้เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2564 สิ้นสุดตามสัญญาจ้าง 16 ก.พ.2567 ซึ่งปัจจุบันระยะเวลาล่วงเลยมานานเป็นปีแล้ว แต่การก่อสร้างอาคารก็ยังไม่แล้วเสร็จ ส่งมอบงานไม่ได้ และยังมีข้อสังเกตเรื่องการเสียค่าปรับงานล่าช้าวงเงินหลักร้อยล้านบาท
ปัจจุบันผู้บริหารบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10ฯ ถูกแจ้งความดำเนินคดีกรณีตึก สตง. ถล่ม หลายคน ไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้ จะมีผลกระทบต่องานก่อสร้างอาคารศูนย์ฝึกกีฬามวย ให้ล่าช้าออกไปอีกหรือไม่

- ซ้ำรอยตึกสตง.! กิจการร่วมค้าบ.ไชน่าฯ สร้างศูนย์ฝึกมวย กกท.608 ล. ล่าช้ากว่ากำหนดปีเศษ
- ชื่อ 2 กก.บ.ไชน่าฯ คดีนอมินี หรา! โชว์สัญญาสร้างศูนย์มวย กกท. ค่าปรับล่าช้าทะลุร้อยล.
ล่าสุด นายก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการ กกท.ให้สัมภาษณ์ชี้แจงสำนักข่าวอิศรา ถึงข้อร้องเรียนปัญหาการก่อสร้างอาคารศูนย์ฝึกกีฬามวยฯ ข้างต้น ยืนยันว่า ศูนย์อาคารมวยของ กกท.นั้นสร้างเกือบจะเสร็จแล้ว ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็คงต้องว่ากันตามกฎหมายไป
"ในเรื่องสัญญาระหว่าง กกท.กับบริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10ฯ และบริษัท ไอเอสโอ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ซึ่งร่วมกันเป็นกิจการร่วมค้า ซีไอเอส ทางเราก็ดำเนินการตามสัญญาทุกอย่าง สถานะปัจจุบันก็คือเกือบจะส่งมอบได้ คาดว่าในเดือน ส.ค.ก็น่าจะเสร็จแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร สำหรับ กกท.ในขั้นตอนการก่อสร้าง ทั้งเหล็กทั้งปูน มีการส่งตรวจสอบที่ศูนย์รับรองแล้ว อย่างเหล็กก็มีการตรวจสอบยี่สิบกว่าครั้ง ต้องให้ผ่านการรับรองแล้วถึงจะเอาเข้ามาในไซต์ก่อสร้างได้ ดังนั้น ก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการก่อสร้างอะไร แม้ที่ผ่านมาในเรื่องของแผ่นดินไหวก็ไม่มีอะไรที่เสียหาย เราก็เดินไปตามสัญญา ส่วนอื่นๆก็ต้องไปว่ากันตามกฎหมาย" นายก้องศักดกล่าว
เมื่อถามย้ำว่าไม่ห่วงใช่หรือไม่ ถ้าหากว่าผู้บริหารบริษัทถูกดำเนินคดีว่าเป็นนอมินีต่างด้าว นายก้องศักด กล่าวว่า "เราดูตามสัญญาว่ารัฐเสียประโยชน์หรือไม่ ต้องรักษาประโยชน์ของรัฐว่ามีการทำงานตามสัญญาไหม การก่อสร้างถูกต้องตามมาตรฐานหรือไม่ ซึ่งเรามีวิศวกรควบคุมงานที่ดูแลใกล้ชิดในส่วนนี้ ส่วนเรื่องอื่นคงต้องว่ากันไปตามกฎหมาย"
“สิ่งที่เราต้องการคือของที่ได้มาตรฐาน ตึกที่ได้มาตรฐานมีความปลอดภัย และทันที่จะใช้ในซีเกมส์” นายก้องศักดกล่าวย้ำ
ส่วนประเด็นเรื่องการเรียกค่าปรับงานก่อสร้างที่ล่าช้านั้น นายก้องศักด กล่าวว่า "สาเหตุของความล่าช้านั้นก็คือว่า เมื่อกระบวนการก่อสร้างได้ดำเนินไปพบว่า มีสายไฟขนาดใหญ่ที่ต้องรื้อถอนออก ในพื้นที่บริเวณใต้ตึก ดังนั้น ก็เลยต้องมีการประสานงานการไฟฟ้าให้มารื้อถอนออก มันก็เลยเป็นเหตุทำให้ต้องมีการขอขยายสัญญา ดังนั้น จึงไม่มีค่าปรับเพราะว่าเป็นเรื่องสุดวิสัย ไม่ได้เป็นความผิดของผู้รับเหมา อีกทั้งการรื้อถอนสายไฟออกนั้นมันเป็นสิ่งที่บริษัททำเองไม่ได้ กกท.ต้องเป็นผู้ดำเนินการ ก็เลยเป็นเหตุของความล่าช้า"
เมื่อถามย้ำว่าเหตุผลที่ชี้แจงมานั้นเข้าข่ายพอจะให้ละเว้นค่าปรับได้หรือไม่ นายก้องศักด กล่าวว่า "ไม่แน่ใจว่ามีความล่าช้าไปกี่ครั้งและมีการชี้แจงเหตุผลอย่างไรบ้าง เพราะว่ามีคนที่เขารับผิดชอบคือฝ่ายวิศกรรมกีฬาที่ติดตามว่าความล่าช้าจากเหตุอะไร ถ้าไม่ใช่ความผิดของเขาเราก็ไม่ได้ไปปรับทางเขา ซึ่งส่วนตัวเข้าใจว่ามีการปรับเงินไปบ้างแล้ว แต่ไม่แน่ใจในจำนวนเงินที่ปรับว่าปรับไปเท่าไร แต่ขอย้ำว่าในส่วนของ กกท.นั้นก็คงต้องทำให้การก่อสร้างเป็นไปตามไทม์ไลน์ ซึ่งเดือนสิงหาคม หรือกันยายนจะต้องเสร็จเพื่อให้ทดสอบสนามทันการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ (ซีเกมส์ครั้งถัดไปจัดวันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม 2568 – วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม 2568 ที่จังหวัดกรุงเทพ-สงขลา-ชลบุรี)
เมื่อถามว่าการรื้อถอนสายไฟนั้นใช้เวลานานเท่าไร นายก้องศักด กล่าวว่า ประมาณร้อยกว่าวัน น่าจะเกือบสองร้อยวัน ก็ล่าช้าไปสองร้อยวัน แต่ตอนนี้การก่อสร้างก็ประมาณ 90%ได้แล้ว
