"...ผมเลยชวนให้คนกลุ่มนี้ มาตรวจหา antibody กันครับ ซึ่ง การตรวจ ก็มีชุดตรวจ antibody test kid ขาย ซึ่งใช้การเจาะเลือดปลายนิ้วตรวจ ไม่ใช่การ swab แยงจมูก ครับ (ชุดตรวจพวกนี้ ไม่ใช่ ATK นะครับ ATK ตรวจหา antigen แต่เราจะตรวจ antibody) ที่ชวนให้ตรวจ antibody จะได้รู้ว่า เหตุผลข้อ 2 ที่แต่ละคนเชื่อว่าวัคซีน ที่เคยฉีดแล้ว มีภูมิคุ้มกัน พอให้ไม่ติดโรค หรือ ป่วยหนักได้ไหม ถ้า ภูมิยังสูงอยู่ ก็ไม่ต้องฉีดครับ ความเชื่อของแต่ละท่านถูกต้อง แต่ ถ้าภูมิต่ำมาก ก็อยากชวนให้พิจารณากันใหม่ เพราะ เหตุผล เหลือข้อเดียวแล้ว คือ กลัวผลเสียจากการฉีดวัคซีน ก็ลองมาพิจารณา ว่าผลเสียจากวัคซีน กับผลเสียจากการติดเชื้อ (เพราะไม่มีภูมิแล้ว) อันไหนจะมากกว่ากัน ...ผู้ที่ไม่อยากฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น จะได้มีข้อมูลในการตัดสินใจได้มากขึ้นครับ..."
การเลือกใช้เครื่องมือที่ใช้สำหรับสถานการณ์ ต่างกัน มีความสำคัญมาก ...
ยุคแรกที่ Covid19 อู่ฮั่น การ lock down เป็นเครื่องมือที่เหมาะมาก เพราะ เราไม่รู้จักมัน และมีคนตาย ในสัดส่วนที่สูงมาก เมื่อเทียบกับโรคระบาดทั่วไปที่เรารู้จัก
ยุคสายพันธุ์ อังกฤษ ใหม่ๆ เรารู้ว่า lock down ไม่ไหวแล้ว การให้คนอยู่ รพ ก็มีที่ไม่พอ Hospitel จึงเป็นทางออกที่เหมาะสมในยุคนั้น ช่วยให้เราควบคุมโรคได้ดีขึ้น และ การเริ่มทดลองวัคซีน ดูเป็นทางออก ร่วมกับ การใช้ยา Favipiravir ทำให้เราผ่านจุดนั้นมาได้
พอถึง Delta ซึ่งระบาดอย่างรวดเร็ว การรอตรวจ RT PCR ในรพ หรือ ห้อง LAB ทำไม่ทันแน่นอน เพราะติดง่ายติดเร็วมาก ATK จึงเป็นทางออก และ ด้วยมีคนที่อาการน้อยเยอะขึ้น การเข้า Hospitel สำหรับคนจำนวนมากก็ไม่ไหว Community isolation และ Home isolation จึงเริ่มเข้ามาเป็นตัวช่วย ผ่อนให้ รพ ไม่หนักมาก และ การรับผู้ป่วยทั่วไปที่ไม่เป็น Covid19 ก็สามารถทำได้ หลังจากที่ทั้งอั้น ทั้งเลื่อนมาเกือบ 2 ปี ... ในยุคนี้ แพทย์แนะนำให้ตรวจ ATK ซึ่งเป็น antigen test kits แต่ไม่แนะนำให้ตรวจหา antibodies ซึ่งถึงแม้จะมีชุดตรวจออกมาเหมือนกัน ระยะแรกคนทั่วไปมีความสับสนแล็กน้อย แต่ ตอนนี้ ทุกคนรู้ว่า ควรตรวจ antigen ไม่ใช่ antibody เพราะ จะรู้ได้ว่าใครติดเชื้อ ซึ่งการตรวจ antibody ไม่สามารถบอกได้ว่าใครติดเชื้อ
ยุค Omicron ที่ระบาดเร็วกว่า delta อีก แต่อาการน้อยมาก และ มีคนได้รับวัคซีน อย่างน้อย 1 เข็มมากกว่า 70% จึงทำให้สบายใจได้ระดับหนึ่ง ว่า ถึงติดเชื้อก็ไม่ป่วยหนัก ทำให้ ลืมเรื่อง lock down ไปได้เลย และ การรักษา ส่วนใหญ่ ก็จะเป็น home isolation หรือ self isolation ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล หรือ hospital ซึ่ง เก็บ หอผู้ป่วย Covid19 ของ รพ ไว้สำหรับคนที่มีอาการหนัก เพราะ คนส่วนใหญ่ ป่วยแล้วก็หายได้เอง ใน 1-2 สัปดาห์ ไม่ต้องมา รพ แค่ระวังไม่ให้แพร่เชื้อไปคนอื่นเท่านั้น
ในยุค Omicron นี้ กลุ่มคนที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือ กลุ่ม 608 ที่ยังฉีดวัคซีนไม่ครบ หรือ ไม่ได้เข็มกระตุ้น เพราะจากสถิติในช่วงของการระบาดรอบนี้ คนที่ป่วยหนัก หรือ ตาย คือคนในกลุ่ม 608 ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน หรือ ฉีดไม่ครบ หรือ ไม่ได้ฉีดกระตุ้น ... เราจึงเห็น รัฐบาล และ สื่อ ออกมา รณรงค์ มากมายให้พาคนกลุ่มนี้ ไปฉีดวัคซีน ... แต่ ก็ยังได้ผลน้อย เหตุผลหรือครับ ...
เหตุที่คนไม่ยอมฉีดวัคซ๊น เข็มกระตุ้น น่าจะมีเหตุใหญ่ๆ 2 ประการ 1)กลัวผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน(ซึ่งเข้าใจได้ มีข่าวจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง มาให้ได้ยิน และกลายเป็นภาพจำว่า ฉีดวัคซีน อาจจะเสียชีวิตหรือพิการ ) 2) คิดว่า ที่ฉีดไปแล้ว 2 เข็ม ก็มีภูมิแล้ว ถ้าเพิ่มความระวังตัวอีกหน่อย น่าจะไม่เป็นอะไร ... และ เป็นการเสริมกันของ เหตุผล 2 ข้อนี้ ทำให้ รู้สึกว่า ไม่ต้องฉีดวัคซีน เข็มกระตุ้นก็ได้
ผมเลยชวนให้คนกลุ่มนี้ มาตรวจหา antibody กันครับ ซึ่ง การตรวจ ก็มีชุดตรวจ antibody test kid ขาย ซึ่งใช้การเจาะเลือดปลายนิ้วตรวจ ไม่ใช่การ swab แยงจมูก ครับ (ชุดตรวจพวกนี้ ไม่ใช่ ATK นะครับ ATK ตรวจหา antigen แต่เราจะตรวจ antibody) ที่ชวนให้ตรวจ antibody จะได้รู้ว่า เหตุผลข้อ 2 ที่แต่ละคนเชื่อว่าวัคซีน ที่เคยฉีดแล้ว มีภูมิคุ้มกัน พอให้ไม่ติดโรค หรือ ป่วยหนักได้ไหม ถ้า ภูมิยังสูงอยู่ ก็ไม่ต้องฉีดครับ ความเชื่อของแต่ละท่านถูกต้อง แต่ ถ้าภูมิต่ำมาก ก็อยากชวนให้พิจารณากันใหม่ เพราะ เหตุผล เหลือข้อเดียวแล้ว คือ กลัวผลเสียจากการฉีดวัคซีน ก็ลองมาพิจารณา ว่าผลเสียจากวัคซีน กับผลเสียจากการติดเชื้อ (เพราะไม่มีภูมิแล้ว) อันไหนจะมากกว่ากัน ...ผู้ที่ไม่อยากฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น จะได้มีข้อมูลในการตัดสินใจได้มากขึ้นครับ
ชวน ผู้ที่ไม่อยากฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ตรวจภูมิ หา antibody กันครับ ถ้ามีภูมิคุ้มกันสูง ก็ไม่ต้องฉีดวัคซีนครับ
ที่มา : https://www.facebook.com/102927826723871/posts/1677026889313949/?d=n