
"...ผู้เขียนคิดว่าจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดคือคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อตอนที่พรรคเพือไทยมีดำริที่จะทำนโยบายรับจำนำข้าวที่ฝืนกลไกตลาดอย่างชัดแจ้งและไม่สามารถหาเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ที่มีน้ำหนักเพียงพอมาสนับสนุนได้เลย หน่วยงานทางวิชาการของ ป.ป.ช. ในขณะนั้นก็ทำงานในเชิงรุกโดยให้ทุนนักวิชาการจากหลายมหาวิทยาลัยช่วนกันทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างละเอียด จนได้ผลออกมาว่า โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลในขณะนั้น ไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จได้ แต่จะสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศอย่างมาก คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติให้ส่งหนังสือ “เตือน” อย่างเป็นทางการไปยังนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีถึง 2 ครั้งให้ยุติโครงการดังกล่าวตั้งแต่ก่อนที่จะมีการประกาศใช้นโยบายและระหว่างการดำเนินนโยบาย ทั้งนี้ก็เพื่อให้หลีกเลี่ยงความเสียหายและการป้องกันการทุจริตในรูปแบบต่างๆของโครงการ แต่ก็ไม่เป็นผล ในเมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นจริง และมีการทุจริตอย่างมากเกิดขึ้นจริง คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะทำการไต่สวนเอาผิดกับนักการเมืองและข้าราชการผู้เกี่ยวข้อง จนนำไปสู่การถูกจำคุกของนักการเมือง ข้าราชการ และเอกชนที่เกี่ยวข้องหลายคน ซึ่งเป็นที่ทราบกันดี..."
เป็นที่ทราบกันดีว่า การจัดตั้งรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 เป็นไปด้วยความยากลำบาก และนโยบายต่างๆที่พรรคเพื่อไทยได้สัญญากับประชาชนไว้เมื่อตอนหาเสียงก็มีทีท่าว่าจะทำไม่ได้ หรือจะยังไม่ทำ แต่นโยบายหนึ่งที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ยืนยันหรือรับรองอย่างแข็งขันภายหลังได้ตั้งรัฐบาลได้สำเร็จแล้วว่าทำได้และต้องทำ ก็คือนโยบายแจกเงินดิจิทอลจำนวน 10,000 บาทให้คนไทยที่มีอายุตั้งเต่ 16 ปีขึ้นไป ให้ใช้ในรัศมี 4 ก.ม. จากที่อยู่อาศัยภายในเวลา 6 เดือน โดยขณะนี้ รัฐบาลยังไม่มีรายละเอียดว่าจะหาเงินมาจากไหน แต่ได้ระบุว่าจะไม่เอามาจากงบประมาณตามปกติ และจะไม่ขึ้นภาษีเพื่อการดังกล่าว
เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากตัวนายกรัฐมนตรีและบุคคลที่เกี่ยวข้องในพรรคเพื่อไทย แล้วมีผู้สนับสนุนความถูกต้องเหมาะสมในทางเศรษฐศาสตร์น้อยมาก แม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลเอง ก็ไม่มีพรรคไหนแสดงตัวสนับสนุนนโยบายนี้ของพรรคเพื่อไทยอย่างออกหน้าออกตา
ในบรรดานักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ซึ่งมีความเป็นกลางและมิได้มีส่วนได้เสียกับพรรคเพื่อไทยหรือรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ส่วนใหญ่จะเห็นพ้องต้องกันเกือบจะเป็นเอกฉันท์ว่าโครงการแจกเงินหนึ่งหมื่นบาทของพรรคเพื่อไทยเป็นโครงการที่ไม่ควรสนับสนุนเพราะได้ไม่คุ้มเสีย
ผู้เขียนได้ลองสืบค้นดูตามข่าวต่างๆในสื่ออินเตอร์เนตในระยะหลายเดือนที่ผ่านมา ได้เห็นชื่อนักเศรษฐศาสตร์มืออาชีพที่เป็นนักวิชาการที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับอย่ในกลุ่มนี้ อาทิเช่น ดร. กิริฎา เภาพิจิตร และ ดร. นณรัฏ พิศลยบุตร แห่งสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ดร. สันติธาร เสถียรไทย กรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ดร. วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ดร. อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น
แต่ที่มีน้ำหนักมากที่สุดเห็นจะไม่มีใครเกินความเห็นของ ดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนปัจจุบัน ที่ได้แสดงความเห็นออกมาต่อสาธารณชนอย่างชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับนโยบายการแจกเงินหนึ่งหมื่นบาทของพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้
ผู้เขียนเองในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ที่เคยสอนวิชาเศรษฐศาสตร์การคลังและการพัฒนามาตั้งแต่เมื่อปี 2520 แต่ถึงแม้จะไม่ได้สอนมาเกือบ 20 ปีแล้ว ก็เชื่อว่าหลักเศรษฐศาสตร์ที่ตัวเองเคยรู้และร่ำเรียนมาคงไม่ได้เปลี่ยนไปจนกระทั่งว่าจะทำให้ความเข้าใจในเรื่องนี้จะผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง
ผู้เขียนคงต้องพูดอย่างตรงไปตรงมาเช่นเดียวกันว่า ยังหาเหตุผลไม่ได้เลยถึงประโยชน์สุทธิ (net gains) ที่จะเกิดขึ้นแก่ประเทศในการดำเนินนโยบายนี้ของพรรคเพื่อไทย ภาวะเศรษฐกิจไทยในขณะนี้มิได้ต้องการการกระตุ้นเหมือนสมัยเกิดโควิด-19 เมื่อ3 ปีก่อน
ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็ได้ก่อหนี้สาธารณะมาจนชนเพดานร้อยละ 60 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ หรือ จีดีพี ซี่งจะเป็นภาระให้แก่คนรุ่นหลังอีกเป็นเวลานาน
จริงอยู่ ไม่มีทฤษฎีไหนบอกว่าเพดานหนี้สาธารณะของประเทศจะต้องอยู่ไม่เกินระดับนี้ อันที่จะจริงจะเป็นหนี้ให้เกินร้อยละร้อยของจีดีพีก็ยังได้ เหมือนอย่างที่เราเห็นในญี่ป่น แต่ต้นทุน (costs) ของหนี้สาธารณะที่สูงมากๆก็มีมหาศาล และอาจไม่คุ้มกับผลประโยชน์ (benefits) ที่เกิดขึ้นไม่ว่าในระยะสั้นหรือระยะยาว และยังมีความเสี่ยงในทางการคลัง การเงิน และในทางเศรษฐกิจด้านอื่นๆอีกมาก จนไม่อาจจะเข้าใขได้ว่าพรรคเพื่อไทยจะทำเรื่องนี้ไปทำไม?
แต่ถ้าจะมองว่านโยบายนี้มาจากความคิดของ ดร. ทักษิณ ชินวัตร ที่คนไทยส่วนใหญ่เชื่อว่าคือเจ้าของตัวจริงของพรรคเพื่อไทยแล้วละก็ อาจจะพอเข้าใจได้ เพราะ ดร. ทักษิณ ชอบเสี่ยงแบบนี้มาตั้งแต่สมัยเป็นนายกฯพรรคไทยรักไทย นโยบายหลายอย่างล้มเหลวหรือได้ผลไม่คุ้มค่า
แต่มีนโยบายหนึ่งที่ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง คือ นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค จนทำให้กลบเกลื่อนความล้มเหลวหรือความไม่คุ้มค่าของนโยบายอื่นได้ทั้งหมด
ทั้งนี้ ยังไม่นับความล้มเหลวที่สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศอย่างแสนสาหัสอย่างเช่นนโยบายรับจำนำข้าวของปี 2554 และอาจจะรวมถึงโครงการบริหารจัดการน้ำ 2 แสนล้าน และโครงการรถไฟความเร็วสูง 2 ล้านล้านบาทด้วยก็ได้ แต่โชคดีที่โครงการเหล่านี้ถูกศาลระงับไว้ก่อน
ดร. ทักษิณคงอยากจะกู้ชื่อเสียงและความนิยมในหมู่คนไทยกลับมาจากนโยบายแจกเงิน 10,000 บาทนี้โดยอาจไม่สนใจว่าผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจของประเทศจะเป็นเช่นใด หรือหากมิได้เป็นเช่นนั้น ก็คงจะคิดว่ามีความคุ้มค่าที่จะเสี่ยง (อีกแล้ว!)
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้เขียนเลยคิดว่าต้องให้ระบบกระบวนการยุติธรรมของประเทศเป็นตัวหยุดยั้งนโยบายที่มีความเสี่ยงที่สูงมากของพรรคเพื่อไทยนี้ให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขอให้องค์กรอิสระต่างๆ อาทิ ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน คณะกรรมการ ป.ป.ช. สำนักอัยการสูงสุด ศาลคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ และ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นองค์กรหลักในการดำเนินการดังกล่าว วิธีการจะทำอย่างไร?
ผู้เขียนคิดว่าจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดคือคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อตอนที่พรรคเพือไทยมีดำริที่จะทำนโยบายรับจำนำข้าวที่ฝืนกลไกตลาดอย่างชัดแจ้งและไม่สามารถหาเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ที่มีน้ำหนักเพียงพอมาสนับสนุนได้เลย
หน่วยงานทางวิชาการของ ป.ป.ช. ในขณะนั้นก็ทำงานในเชิงรุกโดยให้ทุนนักวิชาการจากหลายมหาวิทยาลัยช่วนกันทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างละเอียด จนได้ผลออกมาว่า โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลในขณะนั้น ไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จได้ แต่จะสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศอย่างมาก
คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติให้ส่งหนังสือ “เตือน” อย่างเป็นทางการไปยังนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีถึง 2 ครั้งให้ยุติโครงการดังกล่าวตั้งแต่ก่อนที่จะมีการประกาศใช้นโยบายและระหว่างการดำเนินนโยบาย ทั้งนี้ก็เพื่อให้หลีกเลี่ยงความเสียหายและการป้องกันการทุจริตในรูปแบบต่างๆของโครงการ แต่ก็ไม่เป็นผล
ในเมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นจริง และมีการทุจริตอย่างมากเกิดขึ้นจริง คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะทำการไต่สวนเอาผิดกับนักการเมืองและข้าราชการผู้เกี่ยวข้อง จนนำไปสู่การถูกจำคุกของนักการเมือง ข้าราชการ และเอกชนที่เกี่ยวข้องหลายคน ซึ่งเป็นที่ทราบกันดี
คณะกรรมการ ป.ป.ช. สามารถมีบทบาทในเชิงรุกเช่นนี้ได้อีกครั้งหนี่งในโครงการแจกเงินหนึ่งหมื่นบาทนี้ โดยใช้เหตุผลว่าการดำเนินโครงการของรัฐบาลในครั้งนี้เป็นการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา คือการปฏิบัติหน้าที่หรือการละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือโดยทุจริต ความผิดที่ว่านึ้คือความผิดต่อมาตรา 6, 7, และ 9 ของ พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยทั้งสามมาตราได้ระบุไว้ชัดเจนดังนึ้
มาตรา 6 รัฐต้องดําเนินนโยบายการคลัง การจัดทํางบประมาณ การจัดหารายได้ การใช้จ่าย การบริหารการเงินการคลัง และการก่อหนี้ อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใสและตรวจสอบได้ ทั้งนี้ ตามหลักการรักษาเสถียรภาพและการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และหลักความเป็นธรรมในสังคม และต้องรักษาวินัยการเงินการคลังตามที่บัญญัติในพระราชบัญญัตินี้และตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
มาตรา 7 การกู้เงิน การลงทุน การตรากฎหมาย การออกกฎ หรือการดําเนินการใด ๆ ของรัฐที่มีผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ ต้องพิจารณาความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐด้วย
มาตรา 9 คณะรัฐมนตรีต้องรักษาวินัยในกิจการที่เกี่ยวกับเงินแผ่นดินตามพระราชบัญญัตินี้ อย่างเคร่งครัด ในการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวกับนโยบายการคลัง การจัดทํางบประมาณ การจัดหารายได้ การใช้จ่าย การบริหารการเงินการคลัง และการก่อหนี้ คณะรัฐมนตรีต้องพิจารณาประโยชน์ที่รัฐหรือ ประชาชนจะได้รับ ความคุ้มค่า และภาระการเงินการคลังที่เกิดขึ้นแก่รัฐ รวมถึงความเสี่ยงและ ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐอย่างรอบคอบ คณะรัฐมนตรีต้องไม่บริหารราชการแผ่นดินโดยมุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองที่อาจก่อให้เกิด ความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนในระยะยาว
จะเห็นได้ชัดเจนในวรรคสุดท้ายของมาตรา 9 ว่า กฎหมายฉบับนี้เจาะจงที่จะป้องกันการใช้นโยบายประชานิยมที่มีความเสี่ยงสูงอย่างเช่นนโยบายแจกเงินหนึ่งหมื่นบาทในครั้งนี้
จริงอยู่ รัฐบาลอาจจะอ้างความชอบธรรมของการใช้นโยบายหรือทำโครงการนี้ตามหลัก “การกระทำทางรัฐบาล” (Act of Government) ตามหลักลัทธิการแบ่งแยกอำนาจในระบอบประชาธิปไตยที่ไม่อนุญาตให้ฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายตุลาการ (หรือกึ่งตุลาการ) เข้ามาแทรกแซงการดำเนินนโยบายของฝ่ายบริหาร (เหมือนกับตอนทำนโยบายรับจำนำข้าวก็เช่นเดียวกัน) [1]
แต่ถ้ารัฐบาลทำผิดกฎหมายที่มีอยู่แล้ว ก็ย่อมอยู่ในอำนาจขององค์กรกึ่งตุลาการและตุลาการ เช่น ป.ป.ช. และศาลยุติธรรมที่จะเข้ามาแทรกแซงได้ ถ้าหากผลของการไต่สวนพบว่าการกระทำครั้งนี้มีความผิดแล้วส่งฟ้องศาลและศาลเห็นด้วย คนที่จะถูกลงโทษคงไม่ใช่ตัวนายกฯ คนเดียว แต่อาจจะหมายถึงคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ รวมทั้งข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำตัวเป็น “เจ้ากี้ เจ้าการ” คอยช่วยรัฐบาลทำนโยบายนี้ เหมือนกับที่เราเคยเห็นในโครงการรับจำนำข้าวก็เป็นได้ แต่ถ้า ป.ป.ช. ไต่สวนแล้วเห็นว่าไม่ผิด รัฐบาลก็รอดต้วไป
แน่นอนว่าในการต่อสู้กันในเรื่องนี้ จะมีการใช้หลักเกณฑ์หรือวาทกรรมทางกฎหมายที่จะเบี่ยงเบนข้อเท็จจริงในทำนองเลี่ยงบาลีหรือศรีธนนชัย เช่น การอ้างว่าเงินดิจิทัลนี้ไม่ใช่หรือไม่เหมือนเงินตราตามพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องอยู่ในอาณัติการควบคุมของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือการใช้เงินนอกงบประมาณหรือการกู้จากธนาคารของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจไม่เข้าข่ายเป็นการก่อหนี้สาธารณะตามความหมายในพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ตามที่กล่าวถึงแล้วข้างต้น
เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความผิดตามกฎหมายนี้ เช่นเดียวกัน ในการถกเถียงทางกฎหมายนั้น ประเด็นเหล่านี้อาจจะชนะได้ แต่ในทางเศรษฐศาสตร์ซึ่งเน้นถึงผลหรือสาระ (substance) มากกว่ารูปแบบ (form) ของนโยบายหรือการกระทำ ประเด็นเหล่านี้เป็นการเบี่ยงเบนความสนใจในประเด็นหลัก (diversion of main issues) มากกว่า
ผู้เขียนทราบว่าในขณะนี้ในสำนักงาน ป.ป.ช. เองก็มีสำนักเฝ้าติดตามการกระทำของรัฐที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือการทุจริตอยู่ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีบุคลากรที่เชี่ยวชาญทางเศรษฐศาสตร์พอที่จะศึกษาวิเคราะห์เรื่องนี้เหมือนกับในอดีตหรือไม่ เพราะฉะนั้น หากมีผู้ร้องเรียนจากภายนอกเข้ามา และ ป,ป,ช. สามารถขอความช่วยเหลือจากนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกมาช่วยในการไต่สวนได้ การทำงานในเรื่องนี้อย่างมีประสิทธิภาพก็จะเป็นไปได้มากขึ้น
โดยสรุปแล้ว ถึงแม้ตัวนายกฯและพรรคเพื่อไทยจะแถลงอย่างแข็งขันว่าโครงการเกิดแน่ภายในวันที่ 1 ก.พ. ศกหน้านี้ แต่สภาพเหตุการณ์และความเป็นไปได้ตามที่ผู้เขียนได้กล่าวถึงแล้วข้างต้นอาจจะทำให้โครงการนี้เป็นหมันหรือแท้งเสียก่อนก็ได้ หรือถ้ารัฐบาลจะยอม “ลุยไฟ” ทำโครงการนี้ต่อไป พวกเราชาวบ้านก็คงจะทำอะไรไม่ได้นอกจากคอยเฝ้าดูว่าการต่อสู้กันในครั้งนี้จะลงเอยอย่างไรในที่สุด
[1] แต่ในขณะนั้น พรบ นี้ยังไม่เกิด แต่คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ นิด้า ก็เห็นว่าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลในขณะนั้นผิดมาตรา 84 (1) ของรัฐธรรมนูญปี 2550 จึงได้ร่วมกับนักวิชาการจากหลายแห่งกว่าร้อยคน เข้าชื่อกันเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญยับยั้งโครงการดังกล่าว แต่ทำไม่สำเร็จเพราะไม่เป็นไปตามขั้นตอนการยื่นคำร้องตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญในขณะนั้น
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก https://www.freepik.com

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา