"...วัวเคยขาม้าเคยขี่ พออ่านสำนวนนี้ ผมพยายามนึกความหมายด้วยตนเอง แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ต้องขอเฉลย จึงทราบว่า เป็นสำนวนเก่าที่สังคมไทยนำเอาสัตว์เลี้ยงที่ใช้แรงงานมาผูกเป็นทำนองพูดในการสื่อความ วัวใช้ไถนาและเทียมเกวียน เช่นเดียวกับม้า แต่ม้านั้นสามารถใช้เป็นยานพาหนะสำหรับขี่ได้อีกด้วย เพราะมีความอดทนและคล่องแคล่ว ในสมัยโบราณเป็นสัตว์ที่ใช้ในการทำสงครามคู่กับช้าง..."
วันเสาร์ที่ผ่านมา ผม น้องชาย และครอบครัวพากันไปเยี่ยมบ้านเก่าที่นครปฐม ไปกราบไหว้พ่อแม่ นึกถึงพระคุณของท่าน และแม้ว่าท่านได้ล่วงลับไปแล้ว แต่บ้านนครปฐมยังคงสภาพเดิมตั้งแต่พวกเราจำความได้มีความเป็นระเบียบ สะอาดสะอ้าน ทุกอย่างถูกจัดไว้เป็นที่เป็นทาง ถือเป็น “นุ่มนนท์ ยูนิเวอร์ซิตี้” ที่พ่อแม่ได้ใช้เป็นสถานที่ฟูมฟักเราให้เป็นเราจนถึงทุกวันนี้ ก่อนกลับผมแวะไปส่องหนังสือในตู้หนังสือที่แม่ได้สะสมไว้ ซึ่งแม่เก็บหนังสือที่มีคุณค่าทางจิตใจไว้เพียง 2 ตู้ ผมสะดุดตาไปเห็นหนังสือเรื่อง “สุดสนาม สำนวนไทย” เขียนโดยศาสตราภิชานล้อม เพ็งแก้ว แตกต่างจากหนังสือเล่มอื่น ๆ เพราะส่วนใหญ่จะโยงใยในแง่ประวัติศาสตร์จึงนำหนังสือเล่มนี้กลับมาอ่านที่บ้านเพื่อระลึกถึงพ่อแม่ไปในตัว
เมื่อผมได้รับทราบประวัติของท่านผู้เขียน ศาสตราภิชานล้อม เพ็งแก้ว ผมจึงไม่ประหลาดใจว่าทำไมแม่จึงได้เก็บรักษาหนังสือเล่มนี้ไว้ ด้วยศาสตราภิชานล้อม เพ็งแก้ว เป็นคนพัทลุง คนบ้านเดียวกับแม่ และแม้ท่านจะขึ้นมาปักหลักสร้างชื่อเสียงที่จังหวัดเพชรบุรี แต่ท่านถือเป็นผู้มีความรู้ความสามารถลึกซึ้งด้านภาษา วรรณคดี ประวัติศาสตร์และภูมิปัญญาในหลายแขนง ได้สร้างผลงานด้านภาษาและวรรณกรรมไทยไว้มากกว่าร้อยเรื่อง ผลงานที่สำคัญได้แก่ พระรถนิราศ พจนานุกรมฉบับมติชนและภาษาสยาม สำนวนไทย ได้รับการยกย่องให้เป็นเกตุทัต ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ในปี 2548 และได้รับเกียรติภูมิปัญญาศิลปศาสตรดุษฎีกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ในปี 2550
หนังสือ “สุดสนาม สำนวนไทย” ถูกจัดทำขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกในวาระครบรอบอายุ 85 ปีของผู้เขียนในปี 2564 รวบรวมสำนวนไทยมาอธิบายให้ผู้อ่านได้เข้าใจอย่างง่าย ๆ โดยหยิบยกเอาตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมในสังคมไทยมาเปรียบเปรยกับความหมายในสำนวนซึ่งส่วนมากจะเป็นนามธรรม จนไม่เหลือช่องว่างให้ต้องมีการอธิบายเพิ่มเติมได้อีก
อาจารย์จรูญ หยูทอง ผู้เขียนคำนิยมหนังสือเล่มนี้ ได้ให้ความหมายของสำนวนว่าคือถ้อยคำหรือข้อความที่กล่าวสืบต่อกันมาช้านานแล้ว มีความหมายไม่ตรงกับตัวหนังสือหรือมีความหมายอื่นแฝงอยู่
จะเป็นการพูดเชิงเปรียบเทียบและมักจะไม่แปลความหมายตรง ๆ เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ มีการนำมาเรียงร้อยด้วยคำใหม่ในเชิงสั่งสอนเป็นคติสอนใจหรือเปรียบเทียบ จึงเกิดเป็นสำนวนไทย1/
หนังสือเล่มนี้ มีสำนวนไทยที่เรามักจะคุ้นหูและถูกนำมาใช้ตลอดเวลา เช่น ตัดหางปล่อยวัด ปลาหมอตายเพราะปาก หนอนบ่อนไส้ หรือข้าวใหม่ปลามัน แต่ก็มีสำนวนไทยที่ไม่คุ้นอยู่บ้าง ซึ่งผมขอยก 2 สำนวนที่น่าสนใจคือ กุ้งฝอยตกปลากะพง และ วัวเคยขาม้าเคยขี่ สำหรับสำนวน “กุ้งฝอยตกปลากะพง” ผมอ่านแวบแรกนึกไม่ออกว่า กุ้งฝอยกับปลากะพงเกี่ยวโยงกันอย่างไร เพราะกุ้งฝอยเป็นกุ้งขนาดเล็ก นิยมนำมาชุบแป้งทอดกรอบกินกับน้ำจิ้ม ในขณะที่ปลากะพง เป็นปลาน้ำกร่อย มีหลายชนิด ตั้งแต่กะพงขาว กะพงแดง นำไปนึ่งหรือทอด ถือเป็นอาหารคนละแนวกับกุ้งฝอย แต่เมื่อศาสตราภิชานล้อม เพ็งแก้ว เฉลยว่า ในสมัยก่อนชาวประมงจับปลากะพงโดยใช้เบ็ดตก และเหยื่อที่ใช้คือ กุ้งฝอย จึงเกิดสำนวน “กุ้งฝอยตกปลากะพง” หมายถึงลงทุนน้อยแต่ได้ผลมาก ตัวอย่างของสำนวนนี้สะท้อนกับสังคมไทยในยุคนี้ เช่น การเลี้ยงดูปูเสื่อ จัดเลี้ยงรับรอง หรือจัดหาของชอบให้กับเจ้าหน้าที่ เพื่อที่เจ้าหน้าที่จะได้ดูแลตนเองและผู้ใกล้ชิดในอนาคต ถือเป็นการเสียกุ้งฝอยเพื่อเอาปลากะพง ซึ่งไม่ได้ต่างกับคอร์รัปชันที่เจ้าหน้าที่เรียกร้องขอส่วนแบ่งแบบตรง ๆ2/
วัวเคยขาม้าเคยขี่ พออ่านสำนวนนี้ ผมพยายามนึกความหมายด้วยตนเอง แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ต้องขอเฉลย จึงทราบว่า เป็นสำนวนเก่าที่สังคมไทยนำเอาสัตว์เลี้ยงที่ใช้แรงงานมาผูกเป็นทำนองพูดในการสื่อความ วัวใช้ไถนาและเทียมเกวียน เช่นเดียวกับม้า แต่ม้านั้นสามารถใช้เป็นยานพาหนะสำหรับขี่ได้อีกด้วย เพราะมีความอดทนและคล่องแคล่ว ในสมัยโบราณเป็นสัตว์ที่ใช้ในการทำสงครามคู่กับช้าง
คำว่า “เคยขา” มาจากการใช้แรงงาน คือไถนาและเทียมเกวียนซึ่งมักใช้วัวคู่ เป็นขานอกกับขาใน วัวทั้งคู่จึงรู้ทางกันดี และผู้ใช้มักกำหนดแน่นอนว่า ตัวใดเป็นขานอก ตัวใดเป็นขาใน เมื่อร้องสั่งวัวก็เข้าใจ ส่วน “ม้าเคยขี่” หมายถึงคนขี่ทราบดีว่าจะกระตุ้นให้ม้าหันซ้ายหันขวา หรือซอยย่ำอยู่กับที่ทำอย่างไร หรือจะสะบัดบังเหียนอย่างไร หรือจะบังคับอย่างไรเพื่อให้ได้ท่วงท่าที่สง่างาม
ดังนั้น สำนวน “วัวเคยขาม้าเคยขี่” จึงหมายถึง การที่คนสองคนคุ้นเคยกันมาอย่างดี รู้ทีกัน เข้าใจท่วงทำนองของกันและกัน หากจำเพาะลงไปที่บุคคลก็ส่องความว่าเคยเป็นสามีภรรยากัน
มาก่อน3/
หนังสือเรื่อง “สุดสนาม สำนวนไทย” ยังมีสำนวนไทยที่น่าสนใจอีกมาก ทำให้ผมได้รับทราบถึงเสนาะเสน่ห์ของสำนวนไทย และทำให้เห็นคุณค่า พร้อมการอนุรักษ์รักษาภาษาไทยไว้สืบต่อไป
แม้ศาสตราภิชานล้อม เพ็งแก้ว ได้จากโลกนี้ไปเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2567 ด้วยวัย 87 ปี แต่ผลงานของท่านได้รับการยอมรับมากมาย ถือเป็นปูชนียบุคคลด้านภาษาไทยอย่างแท้จริง
รณดล นุ่มนนท์
แหล่งที่มา:
1/ ศาสตราภิชานล้อม เพ็งแก้ว “สุดสนาม สำนวนไทย” สำนักพิมพ์พื้นภูมิเพชร พิมพ์ครั้งแรก ธันวาคม 2564 หน้า 11-17
2/ ศาสตราภิชานล้อม เพ็งแก้ว “สุดสนาม สำนวนไทย” หน้า 123-126
3/ ศาสตราภิชานล้อม เพ็งแก้ว “สุดสนาม สำนวนไทย” หน้า 142-144