
"...การจัดการปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา จึงมีความสำคัญที่ท้าทายและเป็นโอกาส ของ กระทรวงศึกษาธิการที่ดูแลรับผิดชอบสุขภาพนักเรียน จะมีบทบาทโดยตรง เชิญชวนผู้บริหารสถานศึกษา และ ครูบาอาจารย์ในโรงเรียนมาร่วมกันขับเคลื่อนสถานศึกษาต่อสู้กับปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าที่กำลังขยายตัวทำลายสุขภาพนักเรียน..."
วันที่ 31 พฤษภาคมนี้ เป็นวันงดสูบบุหรี่โลก (World No Tobacco Day) เป็นที่น่ายินดีว่า ในปี พ.ศ. 2568 นี้ การดำเนินของรัฐบาลในการจัดการปัญหาบุหรี่ไฟฟ้ากำลังเป็นไปอย่างเข้มข้นและจริงจัง หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีบทบาทดำเนินการบังคับใช้กฎหมายในการปราบปรามจับกุมแหล่งจำหน่าย มีความสำคัญยิ่ง อย่างไรก็ตาม ยังมีหน่วยงานอื่นของรัฐที่สามารถแสดงบทบาทในมิติอื่นที่สำคัญ
สถานศึกษา เป็น พื้นที่ยุทธศาสตร์ อีกแห่งหนึ่งในสมรภูมิต่อสู้กับปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า เนื่องจากเด็กและเยาวชนในโรงเรียนได้กลายเป็นเป้าหมายและเป็นเหยื่อของสินค้าอันตราย สร้างความเจ็บป่วยรุนแรง ต้องเข้าโรงพยาบาล ต้องเยียวยาอีกหลายเดือน ปรากฎชัดตามที่เป็นข่าว และปัจจุบันนี้ได้มีผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าเจ็บป่วยจนเสียชีวิต
การจัดการปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา จึงมีความสำคัญที่ท้าทายและเป็นโอกาส ของ กระทรวงศึกษาธิการที่ดูแลรับผิดชอบสุขภาพนักเรียน จะมีบทบาทโดยตรง เชิญชวนผู้บริหารสถานศึกษา และ ครูบาอาจารย์ในโรงเรียนมาร่วมกันขับเคลื่อนสถานศึกษาต่อสู้กับปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าที่กำลังขยายตัวทำลายสุขภาพนักเรียน
ในการดำเนินการของบรรดาหน่วยงานรัฐ ในเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า เป็นที่น่าชื่นชมยินดีอย่างยิ่งที่ กระทรวงศึกษาธิการ นำโดย พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการฯ ได้ดำเนินการเร่งเครื่องแก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษาอย่างเข้มข้นในปี 2568 ขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการทั้งเชิงนโยบายและภาคสนาม ร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานท้องถิ่น ป้องกันนักเรียนจากภัยร้ายบุหรี่ไฟฟ้าให้ได้อย่างแท้จริง
ในการดำเนินการ ของกระทรวงฯ ตามที่ปรากฎในสื่อสารมวลชน มีขั้นตอนสำคัญ 4 ขั้นตอน ประกอบด้วย การแจ้งหน่วยงานภายใต้กระทรวงให้ทราบแผนจัดการปัญหา 3 ระยะ, การประกาศมาตรการเขตปลอดบุหรี่ไฟฟ้า-ครูแบบอย่าง, การจัดเวทีวิชาการนำโดยส่วนกลาง และ การขับเคลื่อนจริงในพื้นที่จังหวัดต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม
แผนจัดการปัญหา: ระยะสั้น กลาง ยาว
แผนบูรณาการของกระทรวงฯ แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 ระยะ
• ระยะสั้น – ดำเนินการเร่งด่วน เช่น กำหนดเขตปลอดบุหรี่ไฟฟ้า พัฒนาเนื้อหาหลักสูตร และอบรมครู
• ระยะกลาง – ขับเคลื่อนผ่านกลไกนักเรียน เช่น “เพื่อนเตือนเพื่อน” และสร้างแกนนำเยาวชน
• ระยะยาว – มุ่งปลูกฝังค่านิยม ปรับปรุงกฎหมาย และเสริมบทบาทครูในการเป็นต้นแบบ
มาตรการเข้ม: เขตปลอดบุหรี่ไฟฟ้า – ครูต้องเป็นแบบอย่าง
กระทรวงฯ ออกประกาศชัดเจน เมื่อ 10 มีนาคม 2568 ให้สถานศึกษาทุกแห่งเป็นเขตปลอดบุหรี่ไฟฟ้า พร้อมย้ำให้ผู้บริหาร ครู และบุคลากรทุกคน ห้ามยุ่งเกี่ยวโดยเด็ดขาด หากฝ่าฝืนจะถูกลงโทษทางวินัย เพื่อคงภาพลักษณ์ของครูในฐานะ “ต้นแบบของเด็ก”
เวทีวิชาการส่วนกลางหนุนเสริม
6 พฤษภาคม 2568 – มีการจัดประชุมเสวนาวิชาการระดับชาติ ณ กระทรวงศึกษาธิการ โดยมีรัฐมนตรีฯ เป็นประธาน และผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ กว่า 220 คน เข้าร่วม เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางป้องกันบุหรี่ไฟฟ้าอย่างรอบด้าน
การขับเคลื่อนจริงในระดับพื้นที่ เช่น
• อุบลราชธานี
ผู้ว่าราชการจังหวัด พร้อมผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษา ร่วมประชุมกำหนดแนวทางป้องกันและควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า เน้นให้ทุกโรงเรียนเป็นเขตปลอดบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง โดยมีการสอดส่องพฤติกรรมเด็กอย่างใกล้ชิด
• สุพรรณบุรี
รองผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมมอบนโยบาย “นักเรียนปลอดภัย ห่างไกลบุหรี่ไฟฟ้าและยาเสพติด” พร้อมย้ำให้ทุกสถานศึกษาจัดกิจกรรมเฝ้าระวังเชิงรุก และให้ครู บุคลากร ผู้บริหารทุกคนทำหน้าที่อย่างเข้มข้นในการป้องกันพฤติกรรมเสี่ยง
• นครศรีธรรมราช
ประกาศเสียงดังชัดว่า “บุหรี่ไฟฟ้าต้องไม่มีในโรงเรียน!” โดยให้ครูและผู้บริหารทุกระดับคอยดูแลเด็กใกล้ชิด พร้อมส่งเสริมบทบาทความเป็นต้นแบบ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมสุ่มเสี่ยง และร่วมสร้างค่านิยมที่ถูกต้องในโรงเรียน
• ชลบุรี
ศึกษาธิการจังหวัดลงนาม MOU กับเครือข่ายสถานศึกษา เพื่อสร้างความร่วมมือระยะยาวในการต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้า ผ่านการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ตั้งเป้าให้สถานศึกษาในจังหวัดเป็นโมเดลของความปลอดภัยและคุณธรรม
จึงเห็นได้ว่า มาตรการของกระทรวงศึกษาธิการในปี 2568 จึงไม่ใช่แค่บนกระดาษ แต่คือการ “ลงมือทำ” อย่างเป็นระบบและมีเป้าหมายชัดเจน เพื่อปกป้องอนาคตของเยาวชนไทยจากพิษภัยบุหรี่ไฟฟ้า สร้างสังคมการเรียนรู้ที่ปลอดภัยและยั่งยืนอย่างแท้จริง
วิทยา กุลสมบูรณ์
9 พฤษภาคม 2568
มูลนิธิเภสัชชนบท

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา