
"...ประเทศไทยมีหน่วยงานรับผิดชอบด้าน การสร้างถนน การจราจร รวมทั้งมีคณะกรรมการ คณะทำงานและหน่วยงานเกี่ยวกับอุบัติภัยทางถนนมากมาย แต่กลับไม่สามารถผลักดันให้เกิด ความปลอดภัย การขัดเกลามารยาทของผู้ขับรถ รวมทั้งให้ความมั่นใจต่อผู้คนขณะเดินทางบนถนนได้และมักแก้ปัญหาด้านความปลอดภัยบนถนนกันแบบสะเปะสะปะ จากประสบการณ์ที่พบและรายงานอุบัติเหตุที่ทำให้ผู้คนต้องบาดเจ็บล้มตายบนถนนตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาของเมืองไทยหากไม่นับพฤติกรรมของคนขับรถและสภาพรถแล้วน่าเชื่อว่า โรคตายคาถนนส่วนหนึ่งเกิดจากความบกพร่องทางวิศวกรรม เช่น การออกแบบถนน การขาดความระมัดระวังระหว่างการสร้างถนน รวมถึงปัจจัยอื่นๆภายใต้ระบบนิเวศของถนนซึ่งได้ส่งผลกระทบมากมายต่อชีวิตคนไทย ผู้เกี่ยวข้องในงานสร้างถนนรวมทั้งนักการเมืองที่กำกับดูแลจึงควรมีส่วนรับผิดชอบต่อการสูญเสียทั้งปวงจากอุบัติเหตุทางถนนและต้องประเมินจุดอ่อนของผลงานการสร้างถนนเมื่อเกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้งว่า ความบกพร่องของถนนน่าจะเป็นปัจจัยของการทำให้เกิดโรคตายคาถนนมากน้อยเพียงใดโดยไม่โยนบาปให้คนขับรถหรือคนเดินถนนแต่ฝ่ายเดียว..."
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเองในฐานะผู้ใช้รถใช้ถนนซึ่งไม่มีความรู้ด้านวิศวกรรมจราจร แต่เป็นความเห็นและข้อสังเกตที่ได้จากประสบการณ์การใช้รถใช้ถนนและการเดินทางบนถนนสายต่างๆเท่านั้น
ข่าวอุบัติเหตุบนถนนหลังเทศกาลสงกรานต์คงไม่มีข่าวไหนที่สื่อและผู้คนให้ความสนใจมากเท่าข่าวลูกชายอดีตนักการเมืองท้องถิ่นในจังหวัดปทุมธานีขับรถปาดหน้ารถกระบะบนทางมอเตอร์เวย์และเกิดการเฉี่ยวชนทำให้มีผู้บาดเจ็บจนกลายเป็นข่าวใหญ่ มีการขุดคุ้ยประวัติตลอดจนพฤติกรรมในอดีตของลูกชายนักการเมืองคนนั้น ลามไปถึงพี่ชายซึ่งเป็น สส.มาแฉกันอย่างละเอียดยิบและขยายความจนกลายเป็นประเด็นการเมือง เป็นข่าวให้เล่นอยู่หลายวัน จนลืมสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุและกลายเป็นเวทีแสดงพลังของบรรดาคนดังบนโลกโซเชียล กลบรายงานข่าวอุบัติเหตุ จำนวนศพและจำนวนผู้บาดเจ็บที่เพิ่งเกิดขึ้นจากเทศกาลสงกรานต์ไปจนหมด
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นใครจะถูกหรือผิดเป็นเรื่องที่ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย แต่น่าแปลกที่การเกิดเหตุคราวนี้เป็นอุบัติเหตุทางการจราจรที่ผู้คนให้ความสนใจล้นหลาม อย่างน้อยที่สุดควรมีการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมจราจรออกมาพูดถึงลักษณะทางกายภาพของถนนที่นำไปสู่การเกิดเหตุ แทนที่จะเล่นแต่ข่าวดราม่าทางคุณธรรมและตัวบุคคลกันหมด ซึ่งถ้าดูคลิปที่เผยแพร่ทั่วไปและจากภาพตั้งแต่ก่อนเกิดการเหตุปาดหน้าเอาคืนจะเห็นว่าถนนที่ออกจากด่านเก็บเงินเป็นช่องทาง M-Flow มุ่งหน้าไปบางปะอินจะถูกบีบช่องทางให้แคบลง ทางในลักษณะดังกล่าวอาจเกิดความเสี่ยงต่อการเฉี่ยวชนของรถทั้งช่องทางขวาสุดและช่องทางถัดมาได้ เพราะช่องทางขวาสุดมีแบริเออร์คอนกรีต วางเฉียงอยู่ตามแนวถนน มีความเป็นไปได้ที่รถช่องทางขวาสุดอาจต้องหลบซ้ายเล็กน้อยโดยสัญชาตญาณ ขณะที่ช่องทางถัดมาเป็นช่องทางตีเส้นเฉียงออกทางซ้าย มีโอกาสที่รถช่องทางนี้จะตัดเข้ามาเบียดกับรถช่องทางขวาได้ง่ายหากไม่ระมัดระวัง(เช่นรถกระบะคันสีดำที่เกิดเหตุ) รวมทั้งช่องทางซ้ายสุดเป็นทางบังคับที่ทำให้รถต้องเบี่ยงเข้ามาในช่องขวาซึ่งเป็นลักษณะของทางแคบที่รถต้องเปลี่ยนช่องทางด้วยความจำเป็น
เคยมีผลการศึกษายืนยันว่า เกือบ 10 เปอร์เซ็นต์ของการเกิดอุบัติเหตุ เกิดจากการเปลี่ยนช่องทางของรถ ดังนั้นแนวโน้มที่ผู้ขับรถจะเปลี่ยนช่องทางไม่ว่าจะเกิดจากการตัดสินใจของคนขับรถเองหรือถูกบังคับโดยลักษณะของถนนดังในภาพจึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ไม่มากก็น้อย (1)
โรคตายคาถนน โรคที่ยังไม่เคยทุเลา
เมื่อปลายปี 2565 สำนักข่าวอิศราเคยนำเสนอบทความเรื่อง “โรคตายคาถนน ทำคนไทยอายุสั้นลง” ซึ่งเป็นความจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในแต่ละวันทำให้คนไทยต้องตายก่อนวัยอันควร เป็นการตายก่อนแก่หรือบาดเจ็บจนถึงขั้นพิการซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นในวงจรชีวิตของมนุษย์ รวมทั้งสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากถึงหลักล้านล้านบาทในช่วงเวลา 5 ปี(2560-2564) (2)
หลังจากปี 2565 เป็นต้นมาประเทศไทยยังอยู่ในวังวนของการเกิดอุบัติเหตุใหญ่ทางถนนซ้ำแล้วซ้ำเล่าและหลายครั้งเป็นอุบัติเหตุที่ทำให้สูญเสียชีวิตผู้คนไปจำนวนมาก โดยเฉพาะถนนสองสายที่ถูกพูดถีงมากที่สุดเมื่อเกิดอุบัติเหตุใหญ่ซึ่งได้แก่ ถนนพระราม 2 และถนน 304 ช่วงลงเขาบริเวณ ศาลปู่โทน จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งตลอดสิบปีที่ผ่านมา มีอุบัติเหตุใหญ่ถึง 20 ครั้งและมีผู้เสียชีวิตมากถึง 60 คน จึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่า นอกจากสภาพรถและความผิดพลาดของคนขับเองแล้ว ปัญหาอาจเกิดจากการออกแบบถนนที่ไม่รองรับการใช้งานของรถบางประเภทโดยเฉพาะกับรถขนาดใหญ่ เช่น รถบัสสองชั้นและรถบรรทุกบางประเภท แต่แทนที่จะคิดหามาตรการป้องกันแต่เนิ่นๆ กลับทอดเวลามานานนับสิบๆปีจนเกิดอุบัติเหตุนับครั้งไม่ถ้วนและเมื่อเกิดอุบัติเหตุคราวใดคนขับรถหรือตัวรถมักกลายเป็นแพะรับบาปก่อนเสมอ แม้กระทั่งการขับปาดหน้ากันบนมอเตอร์เวย์จนเกิดอุบัติเหตุที่เพิ่งเป็นข่าวก็ยังไม่มีผู้ออกมาอธิบายถึงข้อบกพร่องทางกายภาพของถนน แต่คนขับรถทั้งสองคันถูกปรับไปแล้วทั้งคู่คนละ 4,000 บาท ข้อหาขับรถโดยประมาท
ถนนพระราม 2 แม้ว่าจะอยู่กันคนละทิศกับถนนสาย 304 และลักษณะของถนนเป็นที่ราบ มีทางยกระดับอยู่ด้านบน แต่ถนนสายนี้กลายเป็นเส้นทางที่ลือชื่อในเรื่องของการเกิดอุบัติเหตุไม่แพ้กัน เพราะมีเหตุเจ็บตายเกิดขึ้นแทบไม่เว้นแต่ละเดือนจากการก่อสร้างถนนและเหตุอื่นๆ จากข้อมูลของกรมทางหลวงพบว่า ในช่วง พ.ศ. 2561-2566 ถนนสายนี้เกิดอุบัติเหตุมากถึง 2,504 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 142 รายและผู้บาดเจ็บ 1,441 ราย ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัย รวมทั้งจากการก่อสร้างถนนเอง (3) ยังไม่นับถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นหลังจากปี 2566 จนถึงปัจจุบันซึ่งหลายครั้งเป็นอุบัติเหตุใหญ่
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนถนนพระราม 2 สร้างความหวาดกลัวและทำให้ผู้ใช้ถนนขาดความเชื่อมั่นในความปลอดภัยเมื่อคิดจะเดินทางผ่านถนนสายนี้ คนจำนวนหนึ่งจึงยอมที่จะอ้อมไปใช้ถนนเพชรเกษมผ่านราชบุรีแทน แม้ว่าจะเสียเวลาและค่าน้ำมันรถเพิ่มขึ้นก็ตามและเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 เกิดเหตุบนถนนพระราม 2 อีกครั้ง เมื่อก้อนปูนจากสะพานต่างระดับเข้าเมืองมหาชัย หล่นลงมาใส่กระจกหน้ารถยนต์กระบะ บนถนนพระราม 2 ขาออกกรุงเทพฯและกระแทกเข้ามาที่หน้าท้องของชายคนขับรถจนได้รับบาดเจ็บตับฉีกและมีเลือดออกในช่องท้องและยังเผชิญเคราะห์ซ้ำกรรมซัดจากการให้เลือดผิดกรุ๊ปเมื่อนำตัวเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลและในที่สุดผู้ประสบเหตุก็เสียชีวิต ทั้งที่เป็นคนใช้ถนนธรรมดาๆคนหนึ่งและล่าสุดเกิดเหตุลวดสลิงก่อสร้าง ทางยกระดับ บนถนนพระราม 2 หล่นฟาดใส่รถรถบรรทุกพ่วงและรถกระบะประชาชนเสียหายอีก
อุบัติเหตุใหญ่ที่เกิดขึ้นซ้ำซากทั้งบนถนนพระราม 2 และถนนสาย 304 ได้สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินแก่ผู้ใช้รถใช้ถนนตลอดมาและถือเป็นเหตุผิดปกติ ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากตัวผู้ขับขี่รถเอง จากสภาพรถและจากปัจจัยที่เกิดจากการก่อสร้างถนน จากการศึกษาถึงกรณีอุบัติเหตุรถชนจนมีผู้เสียชีวิตในประเทศสวีเดนพบว่า มากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของการตายจากอุบัติเหตุทางถนนเกิดจาก ความบกพร่องทางวิศวกรรม(Enginering deficiency) (4) ซึ่งเป็นเหตุที่ไม่ได้เกิดจากความประมาทของตัวบุคคล
ความบกพร่องทางวิศวกรรมจึงเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของโรคตายคาถนน แต่สาเหตุดังกล่าวมักไม่ค่อยถูกหยิบยกมาพูดถึงกัน อาจเป็นเพราะว่าถนนและองค์ประกอบของถนนเป็นวัตถุที่อยู่กับที่ไม่มีการเคลื่อนไหว (Passive) หากไม่มีใครไปใช้งานก็คงไม่เกิดอุบัติเหตุใดๆ ความผิดของคนใช้รถใช้ถนนซึ่งมองเห็นได้ง่ายกว่าจึงมักตกเป็นจำเลยเสมอ ทั้งที่หากวิเคราะห์ในเชิงลึกแล้วสาเหตุของการเจ็บตายอาจเกิดจากความบกพร่องของตัวถนนเอง รวมทั้งความบกพร่องของระบบนิเวศของถนนที่แฝงอยู่โดยไม่มีใครสังเกต ตรวจสอบหรือให้ความสนใจจนนำไปสู่เกิดอุบัติเหตุเมื่อมีผู้ไปใช้ถนน
“เลี้ยวซ้ายผ่านตลอด” บ่มเพาะนิสัย เร่งรีบ-หัวร้อน ?
เมื่อสักสามสิบกว่าปีก่อน แยกลำสาลี เป็นที่รู้กันดีว่า มีรถติดมากจนขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในทางแยกที่รถติดที่สุดของกรุงเทพฯ วันหนึ่งผู้เขียนสังเกตว่า มีป้ายสีฟ้าตัวหนังสือสีขาวเขียนว่า “เลี้ยวซ้ายผ่านตลอด” มาติดตั้งไว้ที่แยกลำสาลีมุมถนนฝั่งขาเข้าถนนรามคำแหงและบริเวณนั้นมีทางม้าลายที่คนข้ามไปมาตลอดเวลา ผู้เขียนจึงได้มีการสอบถามนายตำรวจใหญ่ที่ดูแลการจราจรในกรุงเทพฯเวลานั้นทางโทรศัพท์ผ่านรายการวิทยุของนักข่าวชื่อดังว่า ท่านจะมีมาตรการสร้างความปลอดภัยให้กับคนเดินถนนอย่างไร จากป้ายเลี้ยวซ้ายผ่านตลอด เพราะอย่างน้อยที่สุดต้องมีคำเตือนกำกับว่าหยุดให้คนข้ามก่อนรถจะเลี้ยวซ้ายที่ทางม้าลายเพราะตอนนั้นเป็นป้ายใหม่ที่ทำให้คนขับรถเข้าใจว่าเลี้ยวได้โดยไม่ต้องหยุด คำตอบที่ได้รับจากนายตำรวจท่านนั้นคือ ให้ผู้ขับขี่รถและคนเดินถนนระมัดระวังกันเอง ซึ่งเป็นคำตอบแบบกำปั้นทุบดินที่ถูกต้องที่สุด แต่ไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยใดๆให้กับคนข้ามถนนได้เลยจากรถเลี้ยวซ้ายที่มักไม่ยอมหยุด
จริงอยู่การเลี้ยวซ้ายผ่านตลอดนั้นโดยปกติแล้วทำไม่ได้ รถเลี้ยวซ้ายต้องระวังรถทางขวาและหยุดให้คนข้ามถนน แต่ในทางปฎิบัติผู้ขับรถมักเข้าใจผิดคิดว่าเลี้ยวได้โดยไม่ต้องรอเพราะป้ายสื่อความหมายเช่นนั้น ป้ายบอกทางที่มีความกำกวมจนต้องนำมาตีความเช่นนี้จึงเป็นความไม่สมดุลระหว่างความปลอดภัยของคนข้ามถนนกับป้ายบอกทางสำหรับรถซึ่งไม่ควรนำมาใช้สื่อความหมายบนท้องถนนและควรยกเลิกไป คำว่า “เลี้ยวซ้ายผ่านตลอด” ก็ดีหรือ “เลี้ยวซ้ายผ่านตลอด ระวังรถทางขวา” ซึ่งยังพบเห็นอยู่ทั่วไปก็ดี จึงไม่อาจตีความเป็นอย่างอื่นได้นอกจากผู้ออกแบบถนนหรือผู้กำหนดเครื่องหมายป้ายจราจรให้ความสำคัญกับรถมากกว่าคนข้ามถนน
แม้ภายหลังถนนบางสายจะมีป้ายเตือน “หยุดให้คนข้ามก่อนเลี้ยว” (เช่น แยกลาดพร้าว 101 ตัดถนนลาดพร้าวและอาจมีอีกหลายๆถนน) แต่ก็คงไม่อาจเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนได้ เพราะคนขับรถเคยชินกับคำว่า “เลี้ยวซ้ายผ่านตลอด” มานาน เพราะถูกฝึกมาให้ได้สิทธิในการเป็นเจ้าของทางเมื่อเลี้ยวซ้ายโดยไม่รู้จักการหยุดรอ เพราะคิดว่าเป็นทางของตัวเองและขาดการระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยของคนข้ามถนนไป
เลี้ยวซ้ายไม่หยุด สุดอันตราย
พฤติกรรมการเลี้ยวรถโดยไม่หยุดรอมักทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างคนข้ามถนนซึ่งได้สัญญาณรูปคนไฟเขียวหรือทางสะดวกให้ข้ามถนนกับรถเลี้ยวซ้ายที่ไม่ยอมหยุดซึ่งอาจเทียบได้กับเหตุการ์ที่เรียกว่า Permissive phasing ซึ่งเป็นจังหวะที่ทั้งคนข้ามถนนและรถเผชิญหน้าในช่วงเวลาเดียวกันซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อคนข้ามถนนและพบเห็นได้ทั่วไปบนถนนประเทศไทย เพราะรถส่วนใหญ่ไม่ยอมหยุดเมื่อเลี้ยวขณะที่คนรอข้ามถนนกำลังได้รับสัญญาณให้ข้าม
คนข้ามถนนจึงต้องเผชิญความลำบากอยู่ทุกนาทีเมื่อข้ามถนนที่ทางแยกของถนนในประเทศไทย ลักษณะของการปะทะกันระหว่างคนกับรถ จึงเป็นจุดปะทะที่อันตราย เพราะคนข้ามถนนส่วนใหญ่รวมทั้งคนต่างชาติมักคิดว่าพวกเขาได้รับสัญญาณปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์สำหรับการข้ามถนน แต่ในทางปฏิบัติมีโอกาสที่จะถูกรถชนจากพฤติกรรมรถเลี้ยวซ้ายที่ไม่ยอมหยุดรอได้ โดยเฉพาะจากรถมอเตอร์ไซค์และตู้ส่งของที่แข่งกันทำรอบโดยไม่สนใจกฎกติกาใดๆ
จากการศึกษาพบว่า 4-7 เปอร์เซ็นต์ของผู้ขับรถมักไม่มองคนเดินข้ามถนนขณะเลี้ยวรถ (4) (ตัวเลขอาจผันแปรตามลักษณะของการจราจรและพฤติกรรมของการขับขี่รถของแต่ละประเทศ) อุบัติเหตุจากการถูกชนที่จุดเลี้ยวรถในเมืองไทยมีมากน้อยเพียงใดไม่ทราบได้ แต่จากสถิติของสหรัฐอเมริกาพบว่าการเสียชีวิตของคนเดินเท้า 1 ใน 3 คนในรัฐแคลิฟอร์เนีย เกิดจากการชนคนขณะรถเลี้ยว ซึ่งนับว่ามีจำนวนไม่น้อยทีเดียว(4)
หากเมื่อเกือบสี่สิบปีก่อนเราไม่นำคำว่า เลี้ยวซ้ายผ่านตลอด มาใช้ แต่ใช้ป้ายเตือนให้ระวังคนข้ามถนนแทนก่อนเลี้ยว แบบที่ทำกันในภายหลัง เราอาจเห็นผู้คนมีพฤติกรรมการขับขี่รถที่ระมัดระวังคนข้ามถนนมากขึ้นและลดความเร่งรีบและความหัวร้อนลงกว่าเดิมก็เป็นได้
“ช่องทางซ้ายผ่านตลอด” เสี่ยงอุบัติเหตุ
ไม่ต่างจากคำว่า “เลี้ยวซ้ายผ่านตลอด” คนไทยยังมักเห็นข้อยกเว้นหลายๆอย่างเพื่อแก้ปัญหารถติดแต่สร้างความเสี่ยงทั้งต่อคนขับรถและคนเดินถนน เป็นต้นว่า “ช่องซ้ายสุดผ่านตลอด” ที่มักพบในหลายถนนซึ่งมีทั้งแบบตลอดเวลาและแบบกำหนดเวลาและบางแห่งถูกยกเลิกในภายหลังและนำป้าย “ช่องซ้ายต้องหยุดรอสัญญาณไฟ” มาติดตั้งไว้แทน ทั้งๆที่ตามกฎหมายแล้วรถทุกคันต้องหยุดรอสัญญาณไฟที่ทางแยกไม่มีข้อยกเว้นไม่ว่าจะอยู่ในช่องทางใดก็ตาม แต่เรายกเว้นกันจนเคยชินจนต้องมาตั้งป้ายห้ามกันในภายหลัง
สิ่งเหล่านี้จึงเป็นผลจากการใช้ตรรกะแปลกๆฉีกกติกาเพื่อแก้ปัญหาการจราจรติดขัดหรืออำนวยความสะดวก จนเกิดปัญหาด้านความปลอดภัยของคนขับรถและคนเดินถนนตามมา ที่สำคัญคือสร้างนิสัยติดความสะดวกโดยลืมกฎเกณฑ์ด้านความปลอดภัยไป ในบางสถานการณ์เราจึงต้องยอมสละความสะดวกบ้างหรือยอมเสียเวลาบ้างเพื่อความปลอดภัย
ความอันตรายของ “ช่องซ้ายผ่านตลอด”ในถนนหลายสายซึ่งเป็นสามแยกตัวที ที่คนขับไม่เคยชินเส้นทางอาจขับพุ่งเลยไปชนกับรถจากช่องทางตรงซ้ายสุดซึ่งมักมีรถวิ่งโดยไม่หยุดรอ โดยเฉพาะช่องทางซ้ายที่ทางแยกบางเส้นทางดูเหมือนเป็นจุดวัดใจ เช่นไม่มีป้ายเตือนหรือสัญญาณใดๆทำให้รถบางคันในช่องซ้ายสุดลังเลและหยุดรอ แต่รถบางคันวิ่งตรงไปโดยไม่หยุดหรือชะลอจนอาจชนกับรถอีกด้านที่ได้สัญญาณไฟเขียวและกำลังกำลังเลี้ยวได้ (ตัวอย่างสามแยกนิมิตใหม่ขาเข้าเลี้ยวขวาตัดกับถนนสุวินทวงศ์ขาเข้า ช่องทางซ้ายสุด) การอนุโลมให้ช่องทางซ้ายผ่านตลอดจึงควรมีความชัดเจน ไม่ได้เหมาะกับทุกสภาพถนนและควรเผื่อความเสี่ยงไว้สำหรับคนที่ไม่ชินเส้นทางด้วย
จุดกลับรถหรือจุดเสี่ยงตาย ?
อีกหนึ่งปัญหาใหญ่ของคนใช้รถใช้ถนนเมืองไทยที่ต้องเผชิญความเสี่ยงเจ็บเสี่ยงตายอยู่ทุกนาทีคือจุดกลับรถบนถนนที่ไม่มีสัญญาณไฟ แต่อาศัยจังหวะและความเมตตาของคนขับรถทางตรงชะลอและหยุดรถให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดกลับรถร่วมแบบเผชิญหน้าที่เป็นจุดกลับรถร่วมกันของรถฝั่งขาเข้าและขาออกซึ่งเป็นจุดกลับรถที่อันตรายที่สุด เพราะเป็นจุดกลับรถที่อับสายตาไม่สามารถจะมองเห็นรถที่มาในทางตรงได้ เพราะรถด้านตรงข้ามที่รอจะกลับรถเหมือนกันบังสายตาไว้หมด (รถของผู้เขียนเคยประสบอุบัติเหตุจากการถูกชนจากรถทางตรงบริเวณจุดกลับรถลักษณะนี้มาแล้วบนถนนดอนเมือง-ลำลูกกา)

ผู้ออกแบบถนนคงทราบถึงปัญหาจุดกลับรถประเภทนี้ดีและแก้ปัญหาอับสายตาด้วยการนำกระจกนูน(Convex mirror) มาติดไว้บริเวณริมถนนด้านซ้ายของจุดกลับรถบางแห่ง แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะกระจกมีขนาดเล็ก หลอกตาทำให้กะระยะและความเร็วของรถทางตรงไม่ถูก และหากถนนนั้นมีความกว้างผู้ขับขี่มักมองไม่เห็นหรือไม่ได้สังเกตเพราะมัวจดจ่ออยู่กับถนนและชะเง้อมองรถข้างหน้า ภาพที่เห็นในกระจกนูนที่ติดตั้งไว้ตามจุดกลับรถจึงเป็นภาพที่หลอกสายตาที่ผู้เชี่ยวชาญเรียกว่า การสูญเสียคุณภาพการมองเห็น (Impoverished visual scene) เพราะขนาดของรถยนต์ถูกย่อส่วนลงด้วยคุณสมบัติของกระจกนูน(1) จนไม่สามารถคำนวณระยะของรถที่วิ่งเข้ามาหาตัวเองได้
กระจกประเภทนี้จึงไม่เหมาะกับการใช้งานกับจุดกลับรถบนถนนที่รถใช้ความเร็วสูง ถนนกว้างและมีปริมาณรถมาก แต่เหมาะกับการใช้ในซอยเล็กๆที่มีทางแยกมากกว่า การนำกระจกมาติดไว้ตรงที่กลับรถบนถนนบางสายจึงเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุที่แทบจะไม่ได้ผลอะไรเลย
วัฒนธรรมย้อนศร มักง่ายหรือไม่มีทางเลือก
แม้ว่ารถมอเตอร์ไซค์จะมีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตของคนไทยจำนวนมากและประเทศไทยมีรถมอเตอร์ไซค์จำนวนหลายล้านคันแต่น่าแปลกตรงที่ว่าเราไม่ได้ใส่ใจต่อการบริหารจัดการต่อการสัญจรของมอเตอร์ไซค์อย่างจริงจัง การขาดการบริหารจัดการการใช้มอเตอร์ไซค์อย่างเป็นระบบทั้งการจัดเส้นทางจราจรเฉพาะสำหรับมอเตอร์ไซค์ การบังคับใช้กฎหมาย ที่ไม่เคยทำกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะและปล่อยให้กลายเป็นดินพอกหางหมูมาตลอดหลายปีจนกลายเป็นความเคยชินและแหล่งของโรคตายคาถนนอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น เมืองไทยจึงกลายเป็นเมืองสะดวกแต่ไร้ระเบียบซึ่งไม่ได้ส่งผลดีต่อภาพลักษณ์และความปลอดภัยของคนไทยเลย ในบางประเทศมีการห้ามมอเตอร์ไซค์เข้าพื้นที่บางพื้นที่ ถนนบางสายของประเทศมาเลเซียจัดให้มีช่องทางมอเตอร์ไซค์ไว้เฉพาะไม่ให้มาปะปนกับรถยนต์เพื่อลดปัญหาการเกิดอุบัติเหตุและปัญหาจราจร แต่เมืองไทยยังทำไม่ได้หรือไม่คิดจะทำและหากยิ่งปล่อยไว้นานยิ่งจัดการยากขึ้น
การขาดการบริหารจัดการ การขาดความตั้งใจในการบังคับใช้กฎหมาย ร่วมกับพฤติกรรมการประมาทของผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ จึงอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งเสริมธรรมเนียมมักง่าย เช่น การขับรถย้อนทาง การไม่สวมหมวกนิรภัย การไม่มีใบขับขี่ และการขับรถที่มีความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถนนขนาดใหญ่ เช่น ถนนวิภาวดีรังสิต ถนนสายเอเชีย รังสิต-บางปะอิน ถนนบางนาตราด ถนนเพชรเกษม ถนนมิตรภาพ ถนนสุขุมวิท ถนนพระราม 2 ฯลฯ รวมทั้งถนนที่มีขนาดใหญ่อื่นๆที่ขยายถนนกว้างออกไปเรื่อยๆเพื่อรองรับปริมาณรถตามวิธีที่เคยทำ จนแยกชุมชนออกเป็นสองฟาก ไม่มีทางข้ามหรือทางลอดถนนสำหรับคนเดินถนนที่เพียงพอและไม่มีการจัดทางวิ่งเฉพาะหรือทางกลับรถที่สะดวกพอสำหรับรถมอเตอร์ไซค์เอาไว้ ทำให้ผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์รู้สึกว่าตัวเองสัญจรไปมาลำบากจนไม่มีทางเลือกอื่นและใช้สัญชาตญาณความมักง่ายทำผิดกฎจราจรกันเป็นปกติโดยไม่มีใครคิดจัดการแก้ไข การที่คนไทยถูกมองว่าเป็น คนไร้วินัย มักง่าย เห็นแก่ความสะดวกแลกกับการบาดเจ็บล้มตาย จึงเป็นคำถามสำคัญว่า เกิดจากพฤติกรรมของคนเหล่านั้นเองหรือไม่มีทางเลือกเพราะรัฐขาดการบริหารจัดการที่ดีกันแน่
เคยมีผู้กล่าวไว้ว่า “ความผิดที่ปล่อยไว้นานจนเกินไป ความผิดนั้นก็จะกลายเป็นธรรมเนียมไป” (Some things are worng, but it they’re wrong long enough, they become tradition) ความผิดทางจราจรในเมืองไทยหลายต่อหลายกรณีจึงกลายเป็นธรรมเนียมไปโดยปริยายเพราะความไม่เอาเรื่องเอาราวของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองนั่นเอง
ทางม้าลายกับโรคตายคาถนน
ช่วงปี พ.ศ. 2520 ประเทศไทยโดยเฉพาะใน กรุงเทพฯ มีการรณรงค์ให้คนไทยข้ามทางม้าลายและสะพานลอยเพื่อความปลอดภัยและฝึกระเบียบวินัยอยู่บ่อยๆหากฝ่าฝืนจะถูกจับและปรับทันที ในช่วงเวลานั้น คณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ (กปอ.) สำนักนายกรัฐมนตรีได้ทำสื่อโฆษณารณรงค์ให้คนข้ามทางม้าลายและสะพานลอยมี คุณสรพงษ์ ชาตรี พระเอก ผู้ล่วงลับไปแล้วเป็นพรีเซนเตอร์ ในสปอร์ตเป็นภาพ คุณสรพงษ์ซึ่งเพิ่งเข้ากรุงเทพฯวันแรกหอบของพะรุงพะรัง ข้ามถนนตัดหน้ารถจนเกือบถูกรถชนและถูกตำหนิจากคนขับรถ เมื่อเขากลายมาเป็นคนขับรถเองในตอนหลังเขาได้พูดเตือนสติคนไทยยุคนั้นไว้ว่า
“ผมเกือบจะไม่ได้เป็น สรพงษ์ ชาตรี เหมือนอย่างทุกวันนี้แล้วครับ ถ้าพลาดพลั้งถูกรถชนตายภายในวันแรกที่เข้ากรุง โปรดข้ามถนนตรงทางม้าลาย หรือสะพานลอย จะปลอดภัยทั้งตัวท่านและสบายใจคนที่เขาใช้รถ ทุกคนจะปลอดภัย ถ้าร่วมใจรักษากฎ” (5)(6)
หลายปีผ่านไปคนไทยส่วนใหญ่รู้หน้าที่และเชื่อมั่นในความปลอดภัยของทางม้าลาย เราจึงไม่เห็นการรณรงค์ให้คนข้ามทางม้าลายเหมือนเมื่อเกือบห้าสิบปีที่แล้วอีกต่อไป แต่ภาครัฐเองกลับล้มเหลวในการปกป้องชีวิตของผู้คนจากการข้ามถนนให้ปลอดภัยบนทางม้าลาย เพราะคนไทยรวมถึงคนต่างชาติเอาชีวิตมาทิ้งบนทางม้าลายเสียมากต่อมากเป็นข่าวให้เห็นอยู่บ่อยๆ
คำพูดที่คุณสรพงษ์พูดเอาไว้เมื่อเกือบ 50 ปีก่อนว่า ข้ามถนนที่ทางม้าลายจะปลอดภัย จึงเป็นเรื่องที่ยังห่างไกลจากความเป็นจริงสำหรับเมืองไทย ทางม้าลายจึงเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคตายคาถนนแห่งหนึ่ง ความล้มเหลวของการใช้ทางม้าลายเกิดยังขึ้นในบางประเทศเพราะหน่วยงานรัฐไม่สามารถปกป้องชีวิตผู้คนจากโรคตายคาถนนและบาดเจ็บบนทางม้าลายได้ หนึ่งในมาตรการที่หน่วยงานรัฐบางแห่งใช้แก้ปัญหาอุบัติเหตุบนทางม้าลายคือ การกำจัดทางม้าลายออกไปจากถนน ดีกว่าปล่อยให้ผู้คนบาดเจ็บหรือตายคาทางม้าลายที่หน่วยงานรัฐเป็นผู้จัดทำ
หากใครเคยเดินทางไปเมืองโฮโนลูลูในรัฐฮาวายของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของโลกจะเห็นว่าเมืองนี้คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินกันขวักไขว่ทั้งเวลากลางวันและยามค่ำคืนทั้งตามชายหาดและตามถนน หนึ่งในปัญหาของโฮโนโนลูลูคือปัญหาการจราจรโดยเฉพาะการข้ามถนนของนักท่องเที่ยวและคนทั่วไปและหน่วยงานรัฐเองยอมรับว่าไม่สามารถทำให้คนเดินถนนปลอดภัยบนทางม้าลายได้ ทางการโฮโนลูลูจึงแก้ปัญหาด้วยการใช้วิธีกำจัดทางม้าลายออกไปจากถนน เท่าที่ทราบทางม้าลายในโฮโนลูลูถูกยกเลิกไปแล้ว 45 แห่ง เพราะหน่วยงานรัฐเองก็เกรงว่าตัวเองจะมีความผิดเพราะจัดให้มีทางม้าลายแต่ไม่สามารถปกป้องชีวิตคนข้ามถนนบนทางม้าลายได้(4)
นักการเมืองกับโรคตายคาถนน
คงจำกันได้ว่าในยุคหนึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เสนอให้เพิ่มความเร็วรถยนต์จาก 90 กม./ชม. เป็น 120 กม./ชม.ในถนนบางสาย นโยบายการเพิ่มความเร็วรถยนต์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมถูกโต้แย้งด้วยบทความทางวิชาการจากข้อมูลการสืบสวนอุบัติเหตุเชิงลึกที่ศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทยได้ทำการศึกษามาในหลายกรณีอุบัติเหตุ โดยมีข้อมูลแสดงให้เห็นว่าถ้าผู้ขับขี่ขับรถแล้วชนที่ขณะความเร็วเพียงแค่ 100 กม.ต่อชม. โอกาสเสียชีวิตนั้นสูงถึง 100% หรือถ้าเป็นมอเตอร์ไซค์ แล้วมีการชนที่ความเร็วเพียง 80 กม.ต่อชม. โอกาสเสียชีวิตนั้นก็สูงถึง 100% เช่นเดียวกัน เรียกได้ว่าถ้ารถยนต์ชนที่ 100 กม.ต่อชม. หรือมอเตอร์ไซค์ชนที่ 80 กม.ต่อชม. โอกาสรอดชีวิตแทบไม่มี(7)
บทความเดียวกันได้ให้ข้อมูลว่า ความเร็วที่ใช้ในการออกแบบทางหลวงในปัจจุบันใช้ความเร็วในการออกแบบอยู่ที่ 90-110 กม.ต่อชม. (7) แม้ว่าจะมีข้อมูลยืนยันถึงอันตรายของความเร็วของรถ แต่นโยบายของรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมย่อมเหนือกว่าเหตุผลใดๆเสมอ ดังนั้นอุบัติเหตุแต่ละครั้ง เราจึงไม่อาจโทษผู้ขับขี่รถยนต์แต่เพียงฝ่ายเดียวได้ เพราะทั้งสภาพถนนและนโยบายจากแนวคิดของนักการเมืองก็มีส่วนทำให้โรคตายคาถนนยังคงเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงนโยบายแอบแฝงอื่นๆที่นักการเมืองเข้ามาหาผลประโยชน์ ทั้งจากข้อครหาที่นักการเมืองไปกว้านซื้อที่ดินไว้ล่วงหน้าเพื่อเก็งกำไรจากการสร้างถนน การใช้อิทธิพลทางการเมืองผลักดันให้บริษัทของตัวเองหรือพวกพ้องได้รับงานก่อสร้างถนน การจัดซื้อวัสดุในการสร้างถนนจากบริษัทในเครือข่ายของตัวเอง เป็นต้น
คำถาม - ข้อสงสัย ต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนเมืองไทย
ทุกครั้งที่มีอุบัติเหตุใหญ่เกิดขึ้น ผู้คนมักไม่ค่อยให้ความสำคัญต่อลักษณะทางกายภาพของถนนที่อาจเกิดจากความบกพร่องของการออกแบบถนนหรือสภาพแวดล้อมที่น่าจะทำให้เกิดอุบัติเหตุ เพราะขาดความรู้พอที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์งานในวิชาชีพเฉพาะ เช่น งานวิศกรรมจราจร งานวิศวกรรมโยธาและงานสาขาที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ และหากมีความเห็นใดๆต่อข้อบกพร่องของงานดังกล่าวก็อาจถูกโต้แย้งด้วยข้อมูลเชิงวิชาการและมาตรฐานที่ผู้ออกแบบและผู้สร้างถนนซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีความรู้มากที่สุดเกี่ยวกับถนนนำมาใช้อ้างอิง ซึ่งผู้เขียนเองให้ความเคารพต่อวิชาชีพของท่านเหล่านั้น
ผู้เขียนเข้าใจดีว่าการสร้างถนนแต่ละเส้นทางไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะแต่ละขั้นตอนต้องอาศัยผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ในวิชาชีพเฉพาะทางและต้องใช้เวลานานนับปีกว่าจะสำเร็จและถนนในประเทศไทยถือว่าอยู่ในขั้นดีและไปได้ทั่วถึงไม่แพ้ใครจนได้รับคำชมเชยจากเพื่อนร่วมงานชาวฟินแลนด์ของผู้เขียนเมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้วว่า ประเทศไทยมีโครงข่ายถนนที่ดีไม่แพ้ประเทศของเขาและโครงข่ายถนนของเราได้พัฒนาดีขึ้นตามลำดับ
อย่างไรก็ตามอุบัติเหตุและความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเป็นเงาตามตัวควบคู่กับการพัฒนาถนนหนทางและหลายต่อหลายเหตุการณ์เป็นอุบัติเหตุใหญ่ซ้ำซากที่ไม่มีคำอธิบายสาเหตุที่แน่ชัดต่อสาธารณะจนทำให้ผู้คนขาดความมั่นใจต่อการใช้ถนนบางเส้นทาง รวมทั้งความไม่ปลอดภัยทั้งปวงต่อคนเดินถนน จึงทำให้ผู้เขียนเกิดความสงสัยและมีข้อสังเกตในฐานะ ผู้ใช้รถ ผู้เดินถนน ผู้เคยประสบอุบัติเหตุและเสี่ยงภัยบนท้องถนนร่วมกับผู้อื่น ดังนี้
-เป็นไปได้หรือไม่ที่ ผู้ออกแบบถนนและผู้บำรุงรักษาถนนให้ความสำคัญกับ จำนวนรถ ความคับคั่งของการจราจรและความเร็วรถ มากกว่าความปลอดภัยและความสะดวกของคนเดินถนน
-เป็นไปได้หรือไม่ที่ การออกแบบถนนไม่ได้นำปัจจัยเกี่ยวกับ “คน” เข้าไปอยู่ในโจทย์ของการออกแบบถนน
-เป็นไปได้หรือไม่ที่ ผู้สร้างถนนให้ความสำคัญกับความเร่งด่วนของงานสร้างถนนมากกว่าความเรียบร้อยและมาตรฐานความปลอดภัยบนถนน
-เป็นไปได้หรือไม่ที่ ผู้ออกแบบถนนให้ความสำคัญต่อ รูปแบบ ความสวยงามและความง่ายของการสร้างถนนมากกว่าความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนน
-เป็นไปได้หรือไม่ว่าผู้ออกแบบถนนถือหลักประหยัดงบประมาณมากกว่าหลักความปลอดภัยของคนขับรถและคนข้ามถนน
-เป็นไปได้หรือไม่ที่ ผู้ออกแบบถนนใช้มาตรฐานและความรู้ทางวิศวกรรมที่ปฏิบัติต่อๆกันมาโดยไม่ได้พิจารณาถึงสภาพแวดล้อมในแต่ละพื้นที่ซึ่งเปลี่ยนไปจากอดีตและสภาพแวดล้อมของถนนแต่ละสายซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
-เป็นไปได้หรือไม่ที่ ผู้ออกแบบถนนไม่ได้มีการประเมินความเสี่ยงของถนนที่ตัวเองออกแบบไว้หลังจากเปิดใช้งานหรือหลังจากมีการขยายส่วนต่างๆของถนนเพิ่มเติมและประเมินความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนต่ำเกินไป
-เป็นไปได้หรือไม่ที่ ผู้กำหนดนโยบาย ผู้วางแผน ผู้ออกแบบและผู้สร้างถนนไม่ได้ใส่ใจต่อข้อเสนอแนะที่องค์กรและคณะทำงานด้านความปลอดภัยทางถนนต่างๆหรือแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญในหน่วยงานตัวเองที่ให้ข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะไว้
-เป็นไปได้หรือไม่ที่ การควบคุมการสร้างถนนไม่มีความเข้มงวด ปล่อยให้ผู้รับเหมาทำงานกันอย่างอิสระจนบ่อยครั้งทำให้เกิดอุบัติเหตุหรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
-เป็นไปได้หรือไม่ที่การประสานงานระหว่างผู้เกี่ยวข้องในโครงข่ายถนนและโครงข่ายป้องกันอุบัติเหตุไม่มีประสิทธิภาพมากเพียงพอ
-เป็นไปได้หรือไม่ว่า การออกแบบและการสร้างถนนบางเส้นทาง เป็นไปตามใบสั่งของนักการเมืองโดยมองปัจจัยความปลอดภัยเป็นเรื่องรอง
ประเทศไทยมีหน่วยงานรับผิดชอบด้าน การสร้างถนน การจราจร รวมทั้งมีคณะกรรมการ คณะทำงานและหน่วยงานเกี่ยวกับอุบัติภัยทางถนนมากมาย แต่กลับไม่สามารถผลักดันให้เกิด ความปลอดภัย การขัดเกลามารยาทของผู้ขับรถ รวมทั้งให้ความมั่นใจต่อผู้คนขณะเดินทางบนถนนได้และมักแก้ปัญหาด้านความปลอดภัยบนถนนกันแบบสะเปะสะปะ จากประสบการณ์ที่พบและรายงานอุบัติเหตุที่ทำให้ผู้คนต้องบาดเจ็บล้มตายบนถนนตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาของเมืองไทยหากไม่นับพฤติกรรมของคนขับรถและสภาพรถแล้วน่าเชื่อว่า โรคตายคาถนนส่วนหนึ่งเกิดจากความบกพร่องทางวิศวกรรม เช่น การออกแบบถนน การขาดความระมัดระวังระหว่างการสร้างถนน รวมถึงปัจจัยอื่นๆภายใต้ระบบนิเวศของถนนซึ่งได้ส่งผลกระทบมากมายต่อชีวิตคนไทย ผู้เกี่ยวข้องในงานสร้างถนนรวมทั้งนักการเมืองที่กำกับดูแลจึงควรมีส่วนรับผิดชอบต่อการสูญเสียทั้งปวงจากอุบัติเหตุทางถนนและต้องประเมินจุดอ่อนของผลงานการสร้างถนนเมื่อเกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้งว่า ความบกพร่องของถนนน่าจะเป็นปัจจัยของการทำให้เกิดโรคตายคาถนนมากน้อยเพียงใดโดยไม่โยนบาปให้คนขับรถหรือคนเดินถนนแต่ฝ่ายเดียว
อ้างอิง
1.Traffic โดย Tom Vanderbilt
2.https://www.isranews.org/article/isranews-scoop/114433-isranews-news-34.html
3.https://www.thaipbs.or.th/news/content/350265
4.Killed by a Traffic Engineer โดย Wes Marshall
5.https://plus.thairath.co.th/topic/politics&society/101006
6.www.youtube.com/watch?v=PPZbcuaPk6U
7.https://www.isranews.org/article/isranews-article/79021-speed.html
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก https://www.bangkokbiznews.com

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา