
"...อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าประเทศใดจะเริ่มการเปิดกาสิโนหรือสถานบันเทิงครบวงจรก็ตาม ประเทศนั้นต้องเริ่มด้วยการกำหนดนโยบายก่อนเสมอ หากไม่เรียกว่า “นโยบายการพนัน” (gambling policy) ก็เรียกว่า “นโยบายการเล่นเกม” (gaming policy) สาเหตุที่ต้องเขียนเป็นนโยบายที่เป็นตัวหนังสือออกมาก่อน ก็เพราะว่าจะได้มีหลักฐานของการอภิปรายและถกเถียงกันอย่างมีเหตุมีผล โดยเฉพาะการนำไปศึกษาความเป็นไปได้ (feasibility study) ก่อนที่จะออกเป็นกฎหมายอย่างเป็นทางการ..."
โจทย์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับ “กาสิโนไทย” ขณะนี้มี 3 ข้อ ได้แก่
ข้อแรก ระหว่าง “กาสิโน” กับ “สถานบันเทิงครบวงจร” อะไรเกิดก่อนกัน?
ข้อที่สอง บริษัทกาสิโนเอาเงินมาลงทุนเป็นแสน ๆ ล้านบาท เขาได้อะไรตอบแทนและด้วยวิธีการใด?
ข้อที่สาม การอ้างสัดส่วนของรายรับระหว่าง “กาสิโน” กับ “สถานบันเทิงครบวงจร” เราควรอ้างตัวเลขใด? ระหว่างขั้นเริ่มต้น กับขั้นเจริญเติบโตแล้ว?
คำตอบของโจทย์ข้างต้น ดูได้จากลาส เวกัส ของรัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา แล้วค่อยมาดูสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ดูไบและไซปรัส
เมื่อ ค.ศ. 1931 รัฐเนวาด้า ตัดสินใจให้เปิดกาสิโน สาเหตุของการเปิดของเขามี 3 ประการ ประการแรก เหมืองทองเขาขุดมาจนหมดแล้ว ประการที่สอง เศรษฐกิจของรัฐเหลือแต่การทำฟาร์มกับปศุสัตว์ และประการที่สาม ขณะนั้นเศรษฐกิจโลกเกิดตกต่ำครั้งใหญ่
รัฐเนวาด้าจึงเห็นว่าการเปิดกาสิโนเป็นหนทางเดียวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของเขา เขามีนโยบายเก็บภาษีต่ำมากเพียง 6.5% ของรายรับรวมของการพนัน (gross gaming revenues หรือ GGR)
—หมายเหตุ ควรเข้าใจไว้ด้วยว่าคำว่า “การเล่นเกม” (gaming) ของเขาหมายถึง “การพนัน” (gambling) มาตั้งแต่ทศวรรษ 1930 แล้ว
สาเหตุที่รัฐเนวาด้าเก็บภาษีต่ำมาก เพราะเขาต้องการให้เกิดการลงทุนและการสร้างงาน โดยให้มีตลาดการพนันที่มีการแข่งขันกัน
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าประเทศใดจะเริ่มการเปิดกาสิโนหรือสถานบันเทิงครบวงจรก็ตาม ประเทศนั้นต้องเริ่มด้วยการกำหนดนโยบายก่อนเสมอ หากไม่เรียกว่า “นโยบายการพนัน” (gambling policy) ก็เรียกว่า “นโยบายการเล่นเกม” (gaming policy)
สาเหตุที่ต้องเขียนเป็นนโยบายที่เป็นตัวหนังสือออกมาก่อน ก็เพราะว่าจะได้มีหลักฐานของการอภิปรายและถกเถียงกันอย่างมีเหตุมีผล โดยเฉพาะการนำไปศึกษาความเป็นไปได้ (feasibility study) ก่อนที่จะออกเป็นกฎหมายอย่างเป็นทางการ
ถ้าไม่มีนโยบาย การออกกฎหมายก็กระทำไปโดยไม่มีกรอบแนวคิดเชิงนโยบาย ยิ่งเมื่อกำหนดว่าให้ไปหาบริษัทลงทุนก่อนแล้วค่อยกลับมาศึกษาความเป็นไปได้ทีหลัง ก็เท่ากับเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับการลงทุน จึงดูเหมือนเอาประโยชน์ของบริษัทลงทุนเป็นตัวตั้งมากกว่าผลประโยชน์ของประเทศ
ดังที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย ราวกับว่าเจ้าหน้าที่บริษัทกำกับบทให้รัฐบาลเล่นทุกขั้นตอน!!
สำหรับรัฐเนวาด้า เขียนนโยบายการพนันขณะนั้นว่า “อุตสาหกรรมการพนันเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญอย่างยิ่งยวดต่อเศรษฐกิจของรัฐและการจัดสวัสดิการทั่วไปให้กับผู้อยู่อาศัย” เพราะเขาไม่มีทางเลือกทางอื่นดังที่กล่าวมาแล้ว
สิ่งที่รัฐเนวาด้าตั้งเป้าหมายเอาไว้มี 3 ด้าน ได้แก่ (1) การท่องเที่ยว (2) การลงทุน และ (3) การจ้างงาน
ข้อมูลตั้งแต่เริ่มเปิดบ่อนการพนันเมื่อ ค.ศ. 1931 จนถึง ค.ศ. 2014 เวลาผ่านไปประมาณแปดสิบกว่าปี รัฐเนวาด้าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ปรากฏว่า กาสิโนมีรายรับรวม 61.2 พันล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา กาสิโนที่มีรายได้เกินหนึ่งพันล้านเหรียญขึ้นไปมี 270 แห่ง และมีการจ้างงานทั้งหมดประมาณ 170,000 คน บริเวณแหล่งที่ตั้งกาสิโนของลาสเวกัสที่มีชื่อเรียกว่า “Las Vegas Strip” มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวปีละประมาณ 40 ล้านคน
แต่ความสำเร็จของรัฐเนวด้า เริ่มต้นมาจากบ่อนกาสิโนก่อน แล้วค่อยแตกตัว (diversified) ไปสู่ธุรกิจอื่น
บรรดาสวนสนุก ร้านขายของ ภัตตาคาร ร้านสปา บาร์ ไนท์คลับ สถานพักผ่อน เช่น สนามกอล์ฟ สระว่ายน้ำ คอร์ตเทนนิส โรงภาพยนตร์ สถานที่ท่องเที่ยวดูการถ่ายทำภาพยนตร์ สวนสัตว์ สวนน้ำและสถานบันเทิงอื่น ๆ ไม่ได้เกิดขึ้นมาก่อนบ่อนกาสิโน--ทั้งหมดล้วนเกิดทีหลังกาสิโน
เหตุผลเพราะบ่อนกาสิโนต้องเกิดก่อนและต้องอยู่รอดก่อน แล้วสถานบันเทิงอื่นจึงเกิดตามมา ส่วนกรณีที่สิงคโปร์นั้นเป็นกรณีที่มาลอกเลียนแบบไปจากลาส เวกัส โดยนำเอาไปลงทุนพร้อมกันทั้งบ่อนกาสิโนและสถานบันเทิง แต่สิงคโปร์มีข้อยกเว้นจากการเป็นตลาดการท่องเที่ยวขนาดใหญ่
คำถามต่อมา อะไรเป็นตัวกำหนดความอยู่รอดของกาสิโน? กาสิโนไม่ได้เหมือนธุรกิจอื่นที่เปิดให้แข่งขันกันอย่างเสรี แต่กาสิโนจะอยู่รอดได้ ต้องอาศัยอำนาจรัฐ
กาสิโนจึงต้องการการค้ำประกันจากรัฐเพื่อกำหนดให้มีการผูกขาดหรือมีผู้ขายน้อยรายก่อน
กรณีของเนวาด้ามีการพนันที่ผิดกฎหมายอยู่ก่อนแล้ว บ่อนกาสิโนจะอยู่รอดได้ รัฐต้องไปจับพวกผิดกฎหมายให้เขาก่อน—พูดง่าย ๆ ว่าไปกวาดต้อนการพนันที่ผิดกฎหมายให้มาเข้าบ่อนกาสิโนที่ถูกกฎหมายให้ได้ก่อน
จนกระทั่งเมื่อสามารถควบคุมการพนันที่ผิดกฎหมายได้ ตลาดการพนันหรือ supply การพนันก็จำกัดลง ตลาดกาสิโนจะอยู่รอดได้ต้องเริ่มจากการมีผู้ขายผูกขาดหรือผู้ขายน้อยราย
เมื่อตลาดการพนันเริ่มจากผู้ขายน้อยราย ตอนเริ่มต้นกำไรจะสูงมาก หรือเรียกว่า “รายรับรวมของตลาดการพนันตอนเริ่มต้นสูงขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าอัตราความเติบโตของเศรษฐกิจโดยทั่วไป” ซึ่งวัดจาก “Gross Gaming Revenue” หรือ ค่า GGR
ถ้าหากปัจจัยอื่น ๆ อยู่คงที่ อัตราผลตอบแทนของการลงทุนจากการมีเจ้าของบ่อนกาสิโนน้อยรายจะมากกว่าอัตราผลตอบแทนของตลาดสินค้าและบริการอย่างอื่น อันนี้นี่เอง คือ แรงจูงใจหลักของบริษัทกาสิโน
เมื่อบริษัทกาสิโนได้กำไรมาก ๆ แล้ว เขาจึงเริ่มขยายธุรกิจของเขาออกไปสู่สินค้าอื่นที่ไม่ใช่การพนัน (nongaming amenities) อันได้แก่ สถานบันเทิงครบวงจรต่าง ๆ ที่กล่าวแล้ว
ดังนั้น ในแง่ของการลงทุนในขั้นเริ่มต้น อัตราผลตอบแทนการลงทุนของบริษัทพนันจึงสูงกว่าอัตราเฉลี่ย จึงเกิดความเป็นไปได้ของการแตกตัวไปสู่ธุรกิจอื่น เรียกว่า “diversified leisure economic engine is feasible” เพราะว่าทุนเริ่มมีมากพอสมควรแล้วประการหนึ่ง และตลาดการท่องเที่ยวเริ่มใหญ่ขึ้นแล้ว อีกประการหนึ่ง แม้ว่าอัตราผลตอบแทนของธุรกิจอื่นจะต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนของกาสิโนก็ตาม
ส่วนกรณีที่นักลงทุนเอาเงินมาลงทุนทีเดียวทั้งบ่อนกาสิโนและสถานบันเทิงแบบสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ดูไบหรือไซปรัสนั้นเป็นข้อยกเว้นที่มีแรงจูงใจจากการมีตลาดการท่องเที่ยวขนาดใหญ่และผลประโยชน์ตอบแทนอื่นที่รัฐบาลค้ำประกัน อีกทั้งขึ้นอยู่กับขนาดของการลงทุนด้วย
ตัวอย่างเช่น สิงคโปร์ลงทุนขั้นแรกทั้งสองแห่งแห่งละ 3.8 และ 3.6 พันล้านเหรียญ (ประมาณแสนล้านบาทเศษ) ตามลำดับ ส่วนญี่ปุ่นลงทุน 8.9 พันล้านเหรียญ (ประมาณเกือบสามแสนล้านบาทเศษ) ดูไบน่าจะ 3 พันกว่าล้านเหรียญ ส่วนไซปรัสลงทุน 660 ล้านเหรียญหรือประมาณสองสามหมื่นล้านบาท
พอตลาดท่องเที่ยวโตมาก เช่น กรณีของสิงคโปร์ เขาก็ขยายการลงทุนออกไปอีก เช่น ที่มารีนา เบย์ แซนด์ ตอนนี้เพิ่มการลงทุนไปสามครั้ง ตัวเลขปัจจุบันขยายออกไปถึง 10 กว่าพันล้านเหรียญหรือประมาณสี่แสนล้านบาท นอกจากนั้นต้องดูผลประโยชน์อื่นประกอบ เช่น กรณีของญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมากเหมือนสิงคโปร์ แม้ว่ารัฐบาลล็อคสเป็คว่าจะเก็บภาษีจากตัวเลขประมาณการนักท่องเที่ยวเท่ากับช่วงก่อนมีโควิด บริษัทก็ยังกล้ามาลงทุน ส่วนกรณีไซปรัสเป็นอาคาร 12 ชั้นเป็นที่พัก โรงแรมและที่พักผ่อนอื่น ๆ ซึ่งเป็นแหล่งระบายของตลาดการพนันในตุรกีที่ถูกรัฐบาลสั่งปิด หรือกรณีดูไบเป็นเกาะเทียมเหมาะกับการท่องเที่ยวเหมือนญี่ปุ่น เป็นต้น
วงจรชีวิตของตลาดการพนัน เมื่อตลาดการพนันเจริญเติบโตเต็มที่ ก็จะเข้าถึงจุดอิ่มตัว (mature phase) หลังจากนั้นจะมีคู่แข่งเพิ่มมากขึ้น อัตราผลตอบแทนของการพนันจะลดลง บริษัทต้องหันไปพึ่งรายได้จาก non-gaming มากขึ้นแต่ธุรกิจนี้ต้องอาศัยการขยายตัวของตลาดการท่องเที่ยวเป็นหลัก ส่วนเมื่อตลาดการพนันอิ่มตัวบริษัทก็ต้องไปแสวงหาแหล่งลงทุนรายใหม่ในพื้นที่ใหม่เพื่อสร้างตลาดใหม่ ๆ ต่อไป ดังเช่นที่บริษัทการพนันกำลังหมายตาเอาไว้กับประเทศไทยในปัจจุบัน
จากที่ทบทวนวรรณกรรมาคร่าว ๆ พอสรุปได้ว่า
ข้อแรก บ่อนกาสิโนเกิดก่อนหรือมาก่อนสถานบันเทิงครบวงจร ดังกรณีของแหล่งการพนันลาส เวกัส รัฐเนวาด้า ส่วนกรณีสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ดูไบ และไซปรัส เป็นข้อยกเว้นที่สร้างพร้อมกัน เพราะเขามีตลาดการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ แต่กระนั้น ระยะเริ่มต้นก็ยังต้องพึ่งรายได้จากบ่อนการพนันก่อน จนกระทั่งเมื่ออัตราผลตอบแทนของการลงทุนสูงกว่าอัตราค่าเฉลี่ยแล้ว จึงค่อยแตกตัวไปสู่สถานบันเทิงอื่นอยู่ดี
ดังนั้น บ่อนกาสิโนก็ต้องเกิดก่อนและต้องอยู่รอดก่อนเสมอ สถานบันเทิงอื่น ๆ จึงค่อย ๆ เกิดตามมา โดยมีเงื่อนไขจากรายได้จากการท่องเที่ยว
บ่อนกาสิโนจึงสำคัญกว่าสถานบันเทิงครบวงจร เป็นเสมือน “ไข่แดง” ของสถานบันเทิงครบวงจร
ข้อที่สอง การที่บริษัทกาสิโนเอาเงินมาลงทุนนั้น สิ่งที่เขาต้องการเพื่อความอยู่รอดของเขา คือ การคุ้มครองจากรัฐ รัฐต้องไปไล่จับการพนันผิดกฎหมายให้เขา เพื่อกวาดต้อนนักพนันมาเข้าบ่อนการพนันถูกกฎหมายเสียก่อน และรัฐต้องรับประกันว่าตลาดกาสิโนในประเทศนั้นเป็นตลาดผู้ขายน้อยราย เพื่อให้เขามีส่วนผูกขาดและได้กำไรมากที่สุด
ข้อที่สาม ตัวเลขอ้างอิงที่เป็นรายรับรวมของกาสิโนควรอ้างอิงตัวเลขไหน คำตอบก็คือ รัฐต้องอ้างตัวเลขตามตามห้วงเวลาและสถานการณ์ของการลงทุนจริง วงจรชีวิตของกาสิโนประกอบด้วยขั้นเริ่มต้น ขั้นเติบโต และขั้นสุกงอมเต็มที่ และขั้นถดถอยหรือขั้นที่มีคู่แข่งเพิ่มขันและอุปสงค์ของตลาดการพนันลดลง
ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่ได้เริ่มสร้างบ่อนกาสิโนเลย หากเราไปอ้างตัวเลขของบ่อนกาสิโนอื่นที่เขาอยู่ในขั้นเติบโตและขั้นสุกงอมแล้วก็ไม่น่าจะเป็นตัวเลขที่เป็นจริง
เช่น บางสื่ออ้างตัวเลขว่าบางประเทศมีรายได้จากกาสิโนเพียงประมาณ 30% อันเป็นตัวเลขตอนที่กาสิโนเขาเติบโตเต็มที่แล้ว ซึ่งเป็นไปไม่ได้สำหรับประเทศไทยที่หากจะมีบ่อนกาสิโน--ก็เพียงอยู่ในขั้นเริ่มต้น
อย่างไรก็ตาม เท่าที่เถียงกันมามาทั้งหมดนั้น รัฐบาลไทยยังไม่ยอมประกาศนโยบายการพนันของประเทศไทยออกมา จึงไม่มีกระดาษสักแผ่นให้เป็นจุดเริ่มต้นของการถกเถียงกันทางวิชาการ รวมทั้งยังไม่ได้ทำการศึกษาความเป็นไปได้ (feasibility study) และนำเอาตัวเลข cost และ benefit มาถกเถียงกัน
รัฐบาลเล่นใช้วิธีโต้วาที –ระดมคนพูดเก่ง ๆ ออกมาพูดด้านดีด้านเดียว—แบบนี้ก็เถียงกันตาย!!
บทความโดย :
เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา