
"...นอกจากผมได้เคยทำหนังสือร้องไปยัง ก.ต. แล้ว ผมยังเคยร้องเรื่องนี้ไปยัง ป.ป.ช. ด้วย ก็คงจะต้องติดตาม ป.ป.ช. กันต่อไปว่าเรื่องภายใน ก.ต. มาถึงขนาดนี้แล้วทาง ป.ป.ช. จะว่าอย่างไรต่อ..."
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) : จากกรณีสำนักข่าวอิศรา นำเสนอข่าวว่าเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ที่ประชุมคณะกรรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) มีวาระสำคัญในการพิจารณารายงานผลการสอบสวนข้าราชการตุลาการ จำนวน 3 รายโดยที่ประชุมมีมติให้ข้าราชการตุลาการที่ถูกสอบสวน ให้ออกจากราชการ 2 ราย ส่วนอีก 1 ราย ให้ไล่ออกจากราชการ และมีมติเอกฉันท์ให้ส่งเรื่องคณะกรรมการป่องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป
โดยผู้พิพากษารายแรก ที่ถูกลงโทษให้ออกจากราชการ เป็นกรณีแทรกแซงการเพิกถอนหมายจับ นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในคดีพัวพันกับการฟอกเงินขบวนการค้ายาเสพติดของ ‘ทุนมินลัต’ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจาก พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สารวัตร (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) กองกำกับการสืบสวน 2 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ร้องเรียนต่อกรรมการ ก.ต.รายหนึ่งว่า ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาเพื่อขอออกหมายจับนายอุปกิต ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและการฟอกเงินในวันที่ 3 ต.ค. 2565 และศาลได้อนุมัติตามคำขอแล้ว แต่ต่อมาในวันเดียวกัน ได้มีการเพิกถอนหมายจับ “โดยอ้างว่า เป็นบุคคลสำคัญ จึงเชื่อได้ว่าไม่มีพฤติการณ์หลบหนี” โดยหนังสือร้องเรียนกล่าวหารองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญารายหนึ่งแทรกแซงให้มีการเพิกถอนหมายจับ ปัจจุบันผู้พิพากษารายนี้ไปอยู่ศาลอุทธรณ์ภาค 1

นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว Rangsiman Rome - รังสิมันต์ โรม แสดงความเห็นต่อกรณีนี้ จำนวน 2 ตอนต่อเนื่อง มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ตอนแรก (อ้างอิงภาพข่าวสำนักข่าวอิศรา)
ระบุว่า จากกรณีที่คณะกรรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (กต.) มีมติให้ผู้พิพากษาที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการแทรกแซงการเพิกถอนหมายจับ สว. ทรงเอ ผมคิดว่า การทำหน้าที่ ก.ต. ถูกต้องดีแล้ว เรื่องนี้ต้องชื่นชมการทำงานของ ก.ต. จริงๆ
ถ้าใครจำกันได้ เรื่อง สว. ทรงเอ ที่ผมเคยอภิปรายเปิดโปงในสภาตั้งแต่ปี 2566 รวมถึงนำเอกสารเพิกถอนหมายจับที่อดีตรองอธิบดี นามว่า อ. (อิศรา ขอสงวนชื่อ-นามสกุล) เข้าไปเกี่ยวข้อง ส่งผลให้ สว.ทรงเอ ถูกถอนหมายจับในเวลาห่างจากการออกหมายจับไม่กี่ชั่วโมง คงจะมีการวิ่งเต้นกันน่าดู จึงกล้าถอนหมายจับ และเรียกตำรวจที่ทำคดีนี้ไปตำหนิโดยไม่ให้เกียรติใดๆ
เรื่องนี้ นอกจากผมได้เคยทำหนังสือร้องไปยัง ก.ต. แล้ว ผมยังเคยร้องเรื่องนี้ไปยัง ป.ป.ช. ด้วย ก็คงจะต้องติดตาม ป.ป.ช. กันต่อไปว่าเรื่องภายใน ก.ต. มาถึงขนาดนี้แล้วทาง ป.ป.ช. จะว่าอย่างไรต่อ อนึ่ง ต้องฝากเรื่องนี้ไปถึงบิ๊กต่าย ผบ.ตร. ว่าคดี สว. ทรงเอ ผู้พิพากษาที่เกี่ยวข้องกับการถอนหมายจับถูกให้ออกจากราชการแล้ว เมื่อไหร่ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการย้าย หรือขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ ของหน่วยตำรวจที่ทำหน้าที่จัดการ สว. ทรงเอ จะถูกดำเนินการอะไรบ้าง หรือไม่ต้องรับผิดชอบอะไรกันเลยหรือ นอกจากนี้บิ๊กต่ายไม่คิดว่าเรื่อง สว.ทรงเอ ควรค่าต้องการตั้งทีมในการขยายผลต่อเพื่อจัดการบรรดาคนอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติดตามเส้นเงินเครือข่าย สว.ทรงเอบ้างหรือครับ
ตอนสอง
ระบุว่า ต่อเนื่อง (ยาวหน่อย แต่ผมอยากให้อ่านให้จบ เพราะมันคือมุมมืดที่ทุเรศอย่างที่สุดที่เกิดขึ้นในองค์กรตำรวจไทยที่ยังไม่มีใครต้องรับผิดชอบ) จากกรณีที่คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) มีมติผู้พิพากษาที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการแทรกแซงการเพิกถอนหมายจับ สว.ทรงเอ ออกจากราชการ นั้น
ผมได้รับรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงของจเรตำรวจที่ได้ตรวจสอบเรื่องนี้ ว่ามีตำรวจนายใดบ้าง เข้าไปเกี่ยวข้องกับการวิ่งเต้นเพื่อช่วยเหลือ สว. ทรงเอ ให้รอดพ้นจากคดี
ข้อความต่อนี้ไป ผมก็อยากฝากไปถึงนายกรัฐมนตรี และบิ๊กต่าย ผบ.ตร. องค์กรตำรวจของท่านมันเละเทะอย่างไร
ตามรายงาน 67 หน้าของจเรตำรวจสมัย พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ (อันนี้ต้องชื่นชมว่าได้ทำหน้าที่ในการสร้างความกระจ่างเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา) พบว่ามีตำรวจระดับสูงหลายคนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการแทรกแซงคดีทุนมินหลัดและ สว. ทรงเอ
อันนี้ปรากฎตามรายงานของจเรนะครับ ในหน้า 2
“… พ.ต.ท. มานะพงษ์ กับพวก…ได้ทำการตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ทั้งสิ้น 4 คน… จากนั้นได้โทรศัพท์รายงาน พล.ต.ต.นพศิลป์ ทราบ ต่อมาเวลาประมาณ 10.00 น. ขณะที่กำลังซักถามพูดคุยกับนายทุน มิน หลัด ได้โทรศัพท์พูดคุยกับ พล.ต.ต. นพศิลป์ และได้รับแจ้งว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ในขณะนั้น กล่าวว่า พ.ต.ท. มานะพงษ์ฯ เข้าใจผิดว่าเครือข่ายของนายทุน มิน หลัด เป็นเครือข่ายยาเสพติดและการฟอกเงิน แต่นายทุน มิน หลัด และพวกทำธุรกิจโดยสุจริต...” => พล.ต.อ.สุวัฒน์รู้ได้อย่างไร ในเมื่อไม่ได้ทำคดีเอง?
“…พล.ต.ต.นพศิลป์ฯ ได้เรียก พ.ต.ท. มาระพงษ์ฯ ไปพบที่ห้องทำงานพร้อมพยานหลักฐาน เมื่อไปพบ พล.ต.ต.นพศิลป์ฯ ได้ยืนยันอีกครั้งว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ สั่งการให้ตรวจสอบพยานหลักฐานหนักแน่นหรือไม่...ทราบว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ สั่งการให้ พล.ต.ต.สันติฯ มาตรวจสอบพยานหลักฐาน เนื่องจากเชื่อว่า เครือข่ายของนายทุนมินหลัด ไม่ได้กระทำความผิด...”
“พ.ต.ท. มานะพงษ์ฯ ได้รับทราบจาก พ.ต.อ. กฤศณัฏฐ์ ว่า นาย ขอให้หยุดดำเนินคดีกับบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องต่อไป…จากสอบถามในภายหลัง นาย ที่ พ.ต.อ.กฤศณัฏฐ์ฯ กล่าวถึงคือ พล.ต.ต. นพศิลป์ฯ”
เอาแค่ หน้าที่ 2 ของรายงานของเจรที่สอบในเรื่องนี้ จะเห็นได้ว่า มีตัวละคร 2 คนหลักๆที่เข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้ นั่นคือ พล.ต.อ. สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข และ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ เข้ามาเกี่ยวข้อง และแปลกมากๆที่มาทำหน้าที่ช่วยรับประกันแทนผู้ต้องหาและเครือข่ายในเวลานั้น นอกจากนี้มีการใช้อำนาจในการสั่งการให้ยุติดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้องต่อไป จะมีก็เฉพาะบุคคลตามหมายจับเท่านั้นที่ให้ทำคดีต่อไปได้ นั่นหมายความว่า บุคคลที่ยังไม่ออกหมายจับ ในเวลานั้น คือ สว. ทรงเอ จะไม่ถูกดำเนินคดีนั่นเองตามความหมายของคำสั่งใช่หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ก็ถูกยืนยันผ่านการโทรไปซักถาม ของ พล.ต.ต.นพศิลป์ฯ ต่อ พ.ต.ท.มานะพงษ์ฯ ในวันที่ 18 กันยายน 2565 เวลากลางคืน ว่า เหตุใดถึงมีการซักถามพาดพิงไปถึงนาย(อิศรา ขอสงวนชื่อ-นามสกุล) “ไหนว่าเราตกลงกันแล้วว่าจะไม่ขยายผลต่อ” => แทรกแซงการทำคดีอย่างชัดเจน ใครได้ประโยชน์?
เรื่องนี้ยิ่งพัวพันไปไกล เมื่อพบว่า อาจจะมีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ สว. ทรงเอ ที่ไม่ใช่แค่ พล.ต.อ. สุวัฒน์ฯ เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงอดีตนายทหารระดับสูงของกองทัพบก ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อยู่ในเอกสารที่เป็นพยานหลักฐานที่นายทุนมินหลัดได้เซ็นรับรองเอาไว้ โดยเมื่อ พล.ต.ต.นพศิลป์ทราบเรื่องได้มีการสั่งการให้ พ.ต.ท.มานะพงษ์ฯดึงเอกสารดังกล่าวออกจากสำนวน แต่ทาง พ.ต.ท.มานะพงษ์ฯ ปฏิเสธที่จะทำตาม ทั้งนี้ “พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ ได้ให้ดำเนินการดึงเอกสารที่เกี่ยวข้องกับตนเองออก” นอกจากนี้ในเอกสารายงานของจเรหน้า 12 ยังระบุว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ ได้กล่าวต่อ พล.ต.ต.นพศิลป์ฯว่า “อะไรที่ทำให้พวกเราเดือดร้อนให้เอาออก”
“…พ.ต.ท.มานะพงษ์ฯได้ทราบจากว่าที่ พ.ต.ต. ทีปกรฯ ว่า พล.ต.อ. สุวัฒน์ฯ ได้สั่งการให้ดึงเอกสารที่เกี่ยวข้องกับคดีจำนวนประมาณ 10-20 แผ่นออกที่ห้อง ผบช.ปส. โดยภายในห้องมีเพียงแค่ 3 คน ได้แก่ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส. พล.ต.ต.นพศิลป์ฯ และว่าที่ พ.ต.ต.ทีปกรฯ...” นอกจากนี้ยังปรากฎว่า “…ขณะที่นำตัวผู้ถูกจับทั้งสี่คนไปส่งที่ห้อง ผบช.ปส. ได้พบว่านายอุปกิตฯและพวกนั่งอยู่ที่ห้องรับรองของ ผบช.ปส. อยู่ก่อนแล้ว...” และอย่างที่เราทุกคนทราบกันว่า ในภายหลังได้มีการขอออกหมายจับนายอุปกิต ซึ่งในตอนแรกศาลออกให้ แต่ในวันเดียวกันห่างกันไม่กี่ชั่วโมงก็ปรากฎว่ามีการถอนหมายจับ
โดยผู้พิพากษาที่มีบทบาทอย่างสำคัญต่อเรื่องนี้คือ นาย(อิศรา ขอสงวนชื่อ-นามสกุล) รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลอาญา และอย่างที่เราทราบกันว่าวันนี้ ก.ต. มีมติให้ผู้พิพากษาท่านนี้ออกจากราชการ
โดยรายงานฉบับนี้ของจเรได้สรุปผลการทำรายงานเอาไว้ในหน้า 59 ซึ่งเป็นประเด็นการแทรกแซงการสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานของอดีตผู้บังคับบัญชาและนายตำรวจระดับสูงของ ตร. โดยชี้ว่า คณะกรรมการฯได้ประชุมปรึกษากันอย่างละเอียดรอบคอบและเป็นธรรมแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ในประเด็นนี้ว่า กรณีเป็นที่สงสัยว่า พล.ต.ต.นพศิลป์ พล.ต.ต.ธีรเดชฯ พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ พล.ต.ท.สรายุทธฯ และว่าที่ พ.ต.ต.ทีปกรฯ กระทำผิดวินัย เห็นควรดำเนินการทางวินัยกับข้าราชการตำรวจดังกล่าวตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ต่อไป
จริงๆยังมีอีกหลายประเด็นที่ที่ชี้ให้เห็นว่ามีตำรวจอีกหลายคนที่กระทำการผิดวินัย มากไปกว่านั้น ถ้าดำเนินคดีกันอย่างตรงไปตรงมา ผมเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ความผิดทางวินัยเท่านั้น แต่ต้องมีความผิดทางอาญาตามมาด้วย และแน่นอนอายุความในคดีอายายังมีอยู่..
เรื่องนี้ สำหรับผมแล้ว มันสะท้อนถึงการทุจริตคอร์รัปชัน ที่เกิดขึ้นในองค์กรตำรวจ และองค์กรยุติธรรมอีกหลายๆองค์กร นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไม เราถึงปราบยาเสพติดไม่ได้ เราปราบทุนสีเทาไม่ได้ เพราะวันนี้ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองล้วนเป็นคนเทาๆแทบทั้งสิ้น ลองคิดดู ในรายงานของจเรชิ้นนี้ ระบุถึงขนาดว่า นับตั้งแต่ พ.ต.ท.มานะพงษ์ฯมาดำรงตำแหน่งเมื่อปี 2561-2565 มีการจับกุมผุ้กระทำความผิดยาเสพติดประมาณ 100 คน ยึดยาเสพติดอย่างยาบ้าได้ประมาณ 80 ล้านเม็ด ไอซ์ 4 ตัน ทรัพย์สินเกี่ยวเนื่องยาเสพติดประมาณ 2,000 ล้านบาท
คนที่ทำผลงานได้ขนาดนี้ กลับถูกย้าย ถูกแทรกแซงการทำงาน จนตอนนี้เครือข่าย สว. ทรงเอ ไม่ได้มีการขยายผลต่อ ใครคือ อดีต ผบ.ทบ. ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ รับเงินยาเสพติดไปใช้ในรายวันหรือไม่ ไม่มีการตรวจสอบ ไม่มีการดำเนินคดี ตำรวจดีๆ ถูกกลั่นแกล้ง ตำรวจชั่วๆกลับได้ดี เรื่องนี้อาจจะผ่านมาพอสมควรแล้ว แต่เรากลับไม่เห็นความคืบหน้าอะไรของการปัดกวาดองค์กรตำรวจเลย ตำรวจยศสูงตามรายงานของจเรยังคงโบยบินอยู่เหนือการตรวจสอบ
ผมอยากให้ท่านนายกมาจัดการเรื่องนี้ ผมอยากให้บิ๊กต่ายดำเนินการตามกฎหมาย แล้วอย่าอ้างว่าไม่รู้ เพราะ รายงานนี้ต้องอยู่ในมือของท่านแล้ว

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา