
"...ประเทศไทยควรมุ่งเน้นนโยบายที่สร้างรากฐานให้ประชาชนมีศักยภาพ สร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ระยะยาว แทนที่จะมุ่ง “แจกเงิน” เพื่อหวังผลทางการเมืองในระยะสั้น..."
....................................
หมายเหตุ : บทความ เรื่อง 'ผันเงินแจกประชานิยม เป็นการลงทุนเพื่ออนาคต' โดย ผศ.ดร.ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ถึงเวลาหยุด “ขี่ช้างจับตั๊กแตน” หรือ “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ”
เพราะการใช้งบประมาณขนาดใหญ่ไปกับนโยบายที่ให้ผลระยะสั้นและไม่ยั่งยืน เปรียบเสมือน “ขี่ช้างจับตั๊กแตน” หรือ “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” ไม่เพียงสิ้นเปลืองทรัพยากร แต่ยังอาจเบียดบังงบลงทุนที่จำเป็นต่ออนาคต
ประเทศไทยควรมุ่งเน้นนโยบายที่สร้างรากฐานให้ประชาชนมีศักยภาพ สร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ระยะยาว แทนที่จะมุ่ง “แจกเงิน” เพื่อหวังผลทางการเมืองในระยะสั้น
นโยบายแจกเงินของรัฐบาลชินวัตรในรูปแบบ "แจกเงินเฟส 3" มูลค่า 27,000 ล้านบาท สำหรับเยาวชนอายุ 16–20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคน ก็ชัดเจนว่า เยาวชนกลุ่มนี้ จะเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในปี 2570 โดยมีอายุถึงเกณฑ์ 18 ปี
รายงาน Thailand Economic Monitor December 2023 ของธนาคารโลกได้วิเคราะห์ว่าโครงการแจกเงินดิจิทัล คิดเป็นงบประมาณ 2.7% ของ GDP จะช่วยเศรษฐกิจขยายตัว 0.5-1.0% ของ GDP
ดังนั้น เราจึงสามารถสรุปได้ว่า เป็นการใช้งบประมาณที่ไม่คุ้มค่า เพราะใช้งบประมาณขนาด 2.7% ของ GDP มีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจขนาด 0.5-1.0% ของ GDP จึงไม่น่าประหลาดใจที่เราไม่ได้เห็นพายุหมุนทางเศรษฐกิจจากการแจกเงินสองรอบที่ผ่านมา ซึ่งใช้ไปแล้วเกือบ 2 แสนล้านบาท
ในขณะที่กลุ่มทุนค้าปลีกต่างรับอานิสงส์ เพราะรายได้และกำไรของบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่น CPALL เจ้าของร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ที่มี 15,245 สาขา ในปี 2567 มีรายได้รวม 987,794 ล้านบาท กำไร 25,346 ล้านบาท (กำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.1 จาก 15,000 ล้านบาทในปีก่อนหน้า)
ดังนั้น จึงมีแนวโน้มว่าประชาชนส่วนใหญ่จะนำไปใช้ในร้านสะดวกซื้อ ทำให้เงินไหลกลับสู่กระเป๋าของกลุ่มทุนมากกว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนอย่างแท้จริง
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อบกพร่องด้านข้อมูล ทำให้เกิดช่องโหว่เชิงระบบ กล่าวคือ การแจกเงินในอดีตเคยประสบปัญหาเรื่องความแม่นยำของฐานข้อมูล เช่น การสุ่มตรวจโดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) พบว่าผู้เสียชีวิตบางรายยังคงใช้สิทธิ์รับสวัสดิการ ทำให้เกิดข้อสงสัยเรื่องความโปร่งใสและประสิทธิภาพของนโยบาย
ดังนั้น คำถามพื้นฐานสำหรับคนไทยทุกคนที่ร่วมกันจ่ายภาษีรายได้และภาษีการบริโภคต่าง ๆ คือ ประเทศไทยควรจะใช้งบประมาณอย่างไรให้คุ้มค่ากว่า? คำตอบ คือ ถ้าเราสามารถนำเงินส่วนหนึ่งมาจัดสรรใหม่ เช่น (ก) พัฒนาทักษะแรงงานและระบบการศึกษา, (ข) ยกระดับธุรกิจ SMEs ในชุมชน, หรือ (ค) ลงทุนด้านวิจัย พัฒนา และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล
ก็จะสามารถสร้าง “รายได้ใหม่ให้กับประชาชนและให้กับรัฐในที่สุด” ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับนโยบายที่อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่ปี 2544
แน่นอนว่า คนไทยยังไม่ลืมบทเรียนในอดีต เพราะประวัติศาสตร์การใช้นโยบายประชานิยมอย่าง “โครงการจำนำข้าว” แสดงให้เห็นว่า หากขาดความรอบคอบและการตรวจสอบที่เข้มงวด อาจนำไปสู่การทุจริตเชิงโครงสร้างที่ก่อความเสียหายมหาศาลต่อประเทศ ตามรายงานโครงการวิจัยเรื่อง “การทุจริตกรณีการศึกษา: โครงการรับจำนำข้าวทุกเม็ด”ของ TDRI ได้ระบุไว้ในบทคัดย่อของรายงานวิจัยว่า “เป็นการถลุงทรัพยากรแท้จริงของประเทศ และส่งผลเสียต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ”
เพราะแทนที่จะมุ่งลงทุนพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนและปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐาน แต่นโยบายประชานิยมจะทำให้ประเทศชาติและประชาชนยิ่งอ่อนแรงเปราะบางลง
สรุป คือ การลงทุนพัฒนาทักษะแรงงาน ยกระดับ SMEs และใช้ลงทุนวิจัยพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ น่าจะเป็นประโยชน์ในระยะยาวมากกว่า เหมือนเอาเงินที่มีอยู่อย่างจำกัดไปซื้อเบ็ดมาแจกและสอนให้หาปลาต่อไป แทนที่ไปซื้อปลามาแจกให้บริโภคครั้งเดียว
อย่างไรก็ดี แม้ว่ารัฐบาลประกาศชะลอการแจกเงินและทบทวนการใช้งบ 1.57 แสนล้านบาทแล้ว
แต่เราไม่สามารถเชื่อถือและไว้วางใจนักการเมืองประเภทวนเวียนกระทรวงเกรดเอ โดยเฉพาะทิศทางการผันงบประมาณจำนวนมากกำลังจะมุ่งไปในโครงการประเภทก่อสร้าง
ดังนั้น ภาคประชาชนและภาครัฐควรที่จะช่วยกันเฝ้าระวัง และหากมีข้อมูลการทุจริต ก็สามารถเปิดโปงผ่าน Facebook เพจ “ปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน” และเพจ “CSI LA” หรือ เว็บไซต์ “ACT Ai” เป็นต้น

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา