
สเตฟานี นักศึกษาวิทยาลัยต้องเจอกับฝันร้ายที่รุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงมุ่งหน้ากลับบ้านเพื่อตามหาคน ๆ หนึ่งที่อาจสามารถทำลายวงจรนี้และช่วยครอบครัวของเธอจากการตายอันน่าสยดสยองที่รอพวกเขาอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หายหน้ากันไปนานถึง 14 ปี กับแฟรนไชส์ภาพยนตร์ ที่ทำให้ใครหลายๆคนมีอาการ กลัวมันไปซะทุกอย่าง ตั้งแต่ ขึ้นรถ ลงเรือ เครื่องบิน หรือแม้กระทั่ง นั่งเฉยๆอยู่ในบ้าน ก็ไม่อาจพ้นจากควายตายอันน่าสยดสยองและเกินกว่าจะจินตนาการได้ ( ยกเว้นแค่ตัวละครจากภาค 2 ) ชื่อนั้นคือ Final Destination หรือในบ้านเราจะรู้จักกันในชื่อ “ 7 ต้องตาย โกงความตาย ” ภาพยนตร์ที่ทำให้ใครหลายๆคนเกิดความวิตกกังวล ไม่กล้าจะออกไปใช้ชีวิต ด้วยการนำเสนอความน่ากลัวของ สิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน ที่สามารถฆ่าเราได้ จนกลายเป็นหนังที่ใครหลายๆคนไม่คิดที่จะกลับไปดูอีกแล้ว กลับมาในภาคใหม่นี้ Final Destination จะพาคุณไปดูจุดกำเนิดและอาจจะเป็นบทสรุปของเรื่องราวที่แสนยาวนาน

ในปี 1969 ไอริส แคมป์เบลล์และคู่หมั้นของเธอได้เข้าร่วมงานเปิดตัวของ "Skyview" หอคอยร้านอาหารสูงระฟ้า ไอริสมีนิมิตเห็นการระเบิดที่ทำให้หอคอยถล่มและคร่าชีวิตผู้คนทั้งหมด เธอจึงเตือนผู้คนให้หนีออกไปทันเวลา
ในปัจจุบัน สเตฟานี เลวิส นักศึกษาวิทยาลัยที่ประสบกับฝันร้ายซ้ำๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ถล่มของหอคอย เมื่อเธอค้นพบว่าฝันเหล่านี้เกี่ยวข้องกับคุณย่าของเธอ ไอริส เธอจึงกลับบ้านเพื่อหาคำตอบ และพบว่าไอริสได้ขัดขวางการออกแบบของความตายโดยการช่วยชีวิตผู้คนจากเหตุการณ์ถล่ม ทำให้ความตายเริ่มตามล่าครอบครัวของเธอทีละคน

จุดเด่นของ Final Destination Bloodlines คือน่าจะเป็นภาคแรกที่ให้เวลาเราอยู่กับตัวละครจนเกิดความผูกพันพอสมควร นั้นทำให้เหล่าตัวละครใน Final Destination Bloodlines ดูมีชีวิตชีวากว่าภาคไหนๆ ไม่ใช่แค่เพียงการใส่ปมให้ตัวละครหลักแต่ยังใส่ผมเล็กๆน้อยๆให้ทุกตัวละคร ทำให้เหล่าตัวละครรองเป็นได้มากกว่าแค่ตัวละครที่มาตายไปเรื่อยๆแบบภาคเก่าๆ เคมีของเหล่าตัวละครที่แค่คุยกันก็ยังสามารถทำให้หนังมันไปต่อเรื่อยๆได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีการฆ่าตัวละครแบบภาคเก่าๆ จนบางที เกิดอารมณ์ที่ค่อนข้างจะแคร์ตัวละครพอสมควร ทำให้การสูญเสียค่อนข้างจะมีความหมายมากขึ้นมาพอสมควร จึงค่อนข้างจะครบรสมากกว่าภาคเก่าๆ

ในเรื่องของงานสร้างฉากตายที่เป็นจุดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ สำหรับภาคนี้ ก็คงเรียกได้ว่าคงมาตรฐานไว้ได้แบบภาคเดิมๆ ( ยกเว้นภาคที่ 4 ) ที่เด่นขึ้นมาคือ ในภาคนี้มีความพยายามแหกขนมธรรมเนียมที่ผ่านมาของ แฟรนไชส์ Final Destination จากตัวละครเอกของเราจะสามารถทราบเหตุล่วงหน้าจากนิมิตถึงเรื่องความตายได้ เป็นไม่สามารถทราบได้ว่าจะตายเมื่อไหร่ วิธีไหน อย่างไร จึงทำให้ได้รสชาติใหม่ที่ออกมาไม่ซ้ำกับของเก่าเลย แต่ก็ยังคงกลิ่นความตายแบบเก่าๆ ด้วยธรรมชาติและความประมาทไว้เช่นเดิม บวกกับตัวละครหลายๆตัวหยอกล้อกับความตาย แต่ก็คล้ายกับธีมของเรื่องที่ความตายอาจไม่ชอบให้คนมาแทรกแซงมาก จึงทำให้หลายๆครั้ง คนดูอาจคาดเดาไม่ได้ว่าตัวละครเหล่านี้จะตายอย่างไร

ข้อเสียของหนังเรื่องนี้ข้อใหญ่ๆเลย อาจจะเป็นเรื่องความต่อเนื่องทางอารมณ์ของเรื่องราวในช่วงต้นเรื่อง ที่เรื่องราวทั้งหมดของเรื่องนั้นมีความยาวถึง 3 ช่วงอายุคน แต่ตอนต้นเรื่องที่เล่าเรื่องของตัวละครรุ่นย่านั้นกลับเล่าดีเกินไปจนทำให้หลังจากจบช่วงต้นเรื่องที่จะกลายมาเป็นรุ่นหลานกลับรู้สึกปรับตัวไม่ทันขึ้นมากับการมาของตัวละครใหม่ ทำให้ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะเริ่มปรับตัวได้ และปัญหาต่อมาคือเรื่องของเวลาที่น้อยเกินไป ส่งผลให้หลายๆตัวละครอาจมีบทไม่มากเท่าที่ควร

สำหรับเรื่องที่น่าสนใจของ Final Destination Bloodlines คงเป็นทั้งเรื่องเศร้าและน่ายินดี เพราะนักแสดงเจ้าประจำอย่าง Tony Todd เจ้าของเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพผู้ลึกลับ ที่ออกมามีบทเกือบทุกภาค กลับมาเล่นในบทเดิมและยังจะได้ทราบถึงที่มาของตัวละครสุดลึกลับคนนี้ แต่ที่น่าเศร้าคือนี่เป็นภาคสุดท้ายแล้วที่เขาจะออก เนื่องจากเจ้าตัวได้เสียชีวิตเมื่อพฤศจิกายนปีที่แล้ว จึงเป็นเหมือนดั่งบทสั่งลาที่มีฉากที่อาจทำให้แฟนๆประทับใจอย่างแน่นอน ผู้กำกับของ Final Destination Bloodlines ได้ออกมาพูดว่า อยากที่จะให้ Tony Todd ได้เอ่ยคำลา โยนบทหนังทิ้งไปเลย และ อยากที่จะพูดอะไรกับแฟนคลับ? ทั้งหมดนี้มันคือเรื่องเกี่ยวกับอะไรกันแน่ ชีวิตมันคืออะไรกันแน่? ซึ่งในหนังเขาได้พูดออกมาว่า
"ชีวิตมีคุณค่า สนุกสนานไปกับทุกช่วงเวลาเถอะ เพราะเราไม่สามารถทราบได้ว่าจุดจบของเรา จะมาถึงเมื่อไหร่"
ถึงแม้ว่าหนังเรื่องนี้อาจจะมีบาดแผลบ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่านี่เป็นอาจจะเป็นภาคที่ทุกๆคนสนุกครบรส ทั้งหวาดเสียว ตลกขำขัน และประทับใจอย่างแน่นอน
ภาพจาก : New Line Cinema

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา