
"...อันเป็นผลให้ “การเป็นการเมือง” ขยายวง เพราะบรรดาแพทย์ทั้งหลายที่เห็นว่านักการเมืองกำลังใช้อำนาจแทรกแซงการใช้ “ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีความกำกวมและไม่ต้องต่อรองกัน” นั้น เป็นการกระทำที่มีสภาพเป็นการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ให้กลายเป็น “การเมือง” เพื่อเป้าหมายในการลดทอนน้ำหนักความเชื่อถือของแพทยสภา อันเป็นการนำความเสื่อมเสียมาสู่เกียรติและศักดิ์ศรีของแพทยสภา..."
การเป็นการเมือง (politicization) กับการลดความเป็นการเมือง (depoliticization) เป็นปัญหาหลักทางรัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์และการพัฒนาประเทศ
กรณีที่เป็นการเมือง หมายความว่า มีความจำเป็นต้องทำอะไรบางอย่างให้เป็นการเมือง เพื่อจงใจใช้อำนาจรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องในการตัดสินใจ ถ้าหากไม่มีรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว การกระทำนั้นก็จะไม่สำเร็จหรือประสบความสำเร็จได้น้อย เพราะเรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับอำนาจการตัดสินใจของสาธารณะ ซึ่งเบลอดอร์น (Bluhdorn, 2007:313) แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. การทำประเด็นใด ๆ ให้เป็นประเด็นทางการเมือง (politicization of issues) เช่น ทำเรื่องส่วนตัวของคนใดคนหนึ่งให้เป็นประเด็นทางการเมือง เช่น กรณีคุณทักษิณป่วยอยู่ชั้นสิบสี่ โรงพยาบาลตำรวจ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติหรือ กสม. ไปตรวจสอบพบว่าเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมกับผู้ต้องขังรายอื่น
2. การทำให้ตัวบุคคลหรือกลุ่มคน เป็นคนที่ได้รับความสนใจทางการเมือง (politicization of people) หมายถึง การทำให้คนหรือกลุ่มที่ไม่ได้รับความสนใจจากการเมืองและถูกกีดกันออกไป กลายเป็นคนที่ได้รับความสนใจทางการเมือง เช่น การเมืองของผู้หญิง คนข้ามเพศ คนจนหรือคนชายขอบ
3. การทำให้องค์กรทางสังคมและสถาบันทางสังคม กลายเป็นองค์กรและสถาบันที่ได้รับความสนใจทางการเมือง (politicization of social organization and institutions) เช่น การเมืองของกลุ่มหัวก้าวหน้า กลุ่มอนุรักษ์ กลุ่มศาสนา กลุ่มสิ่งแวดล้อม กลุ่มกีฬา กลุ่มผู้รักความเป็นธรรม กลุ่มท้องถิ่น กลุ่มที่เสนอให้เปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูปด้านต่าง ๆ
ในทางกลับกัน กรณีบางอย่างก็จำเป็นต้องลดความเป็นการเมืองหรือไม่มีการเมือง (becoming less political or non-political) ไม่อย่างนั้น บ้านเมืองพัฒนาต่อไปไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อลดการแข่งขันและต่อสู้กันทางการเมือง กรณีที่ต้องลดความเป็นการเมืองนี้ เป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีความกำกวมและไม่ต้องต่อรองกัน (unambiguous and non-negotiable scientific facts)
ตัวอย่างเช่น การทดลองทางวิทยาศาสตร์ ตัวเลขทางเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย มาตรฐานการศึกษา คุณภาพสิ่งแวดล้อม อัตราความยากจน ดัชนีวัดการคอร์รัปชั่น และความสะอาดของน้ำ
กรณีปัญหาของชั้นสิบสี่ เห็นชัดว่าเป็นทั้งการทำให้เป็นการเมืองทั้งขั้นการก่อตั้งเรื่องและทั้งขั้นการต่อสู้คดี และเป็นความจำเป็นต้องลดความเป็นการเมือง ไม่เช่นนั้น บ้านเมืองจะเดินต่อไปไม่ได้ ดังนี้
1. สาเหตุของปัญหาชั้นสิบสี่
ปัญหาชั้นสิบสี่มาจากคุณทักษิณหนีคดีอาญาที่ศาลมีคำพิพากษาแล้วไปนานสิบเจ็ดปี ต่อมา กลับประเทศไทยขอรับโทษต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (ศาลฎีกา คดี อม.) เป็นเวลาแปดปี หลังจากนั้นขอพระราชทานอภัยโทษ ได้รับพระราชทานอภัยโทษเหลือหนึ่งปี ระหว่างที่ส่งตัวคุณทักษิณเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ คุณทักษิณป่วย
เรือนจำทำเรื่องส่งไปรักษาพยาบาลโรงพยาบาลตำรวจเป็นเวลาหนึ่งร้อยแปดสิบวัน หลังจากนั้นขอพักโทษตามระเบียบของทางราชทัณฑ์ คุณทักษิณกลับบ้าน “จันทร์ส่องหล้า”
2. ขั้นการตั้งเรื่องที่เป็นการเมือง
ความเป็นการเมืองเกิดขึ้นเมื่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนหรือ กสม. อ้างว่าได้รับการร้องเรียน จึงเข้ามาตรวจสอบ พบว่า คุณทักษิณไม่ได้ป่วยจริง และไม่มีเหตุพักรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจ จึงสรุปรายงานว่าเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง อันได้แก่ กรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจเลือกปฏิบัติเป็นพิเศษแก่คุณทักษิณอันเป็นการเอาเปรียบผู้ต้องขังรายอื่น
การเจ็บป่วยของคุณทักษิณเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ถูกนำมาทำให้เป็นเรื่องการเมือง เพราะกสม.เห็นว่ากระทบกระเทือนต่อสิทธิมนุษยชน และเสนอให้ป.ป.ช. สอบสวนเอาผิดต่อกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ
3. ขั้นการเป็นการเมืองในการต่อสู้คดี
ต่อมา คุณชาญชัย อิสระเสนารักษ์กับคณะไปร้องต่อศาลฎีกาคดี อม. ว่าคุณทักษิณไม่ได้ถูกจำคุกจริงตามหมายจำคุกของศาล
ศาลฎีกาคดี อม. วินิจฉัยว่า คุณชาญชัย ไม่ได้ผู้เกี่ยวข้องในคดีจึงไม่ใช่ผู้ร้อง แต่ทำให้ความปรากฏแก่ศาล ศาลจึงนัดพร้อมและนัดไต่สวน
ระหว่างนั้น แพทยสภาตัดสินว่าแพทย์สามคนกระทำผิดจรรยาบรรณแพทย์ ลงโทษแพทย์คนหนึ่งไม่ร้ายแรง โทษฐานไปทำหนังสือส่งตัวคุณทักษิณจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไปโรงพยาบาลตำรวจไว้ล่วงหน้า ส่วนอีกสองคน กระทำผิดจรรยาบรรณแพทย์ขั้นพักใบอนุญาต เพราะคนหนึ่งกล่าว คำรับรองว่าคุณทักษิณป่วยวิกฤติหรือป่วยหนัก ส่วนอีกคนหนึ่งออกเป็นหนังสือรับรองว่าคุณทักษิณป่วยวิกฤติ แต่แพทยสภาเห็นว่าไม่มีข้อมูลเชิงประจักษ์เช่นนั้น
จะเห็นได้ว่า การใช้อำนาจของแพทยสภากระทำในฐานะองค์กรวิชาชีพ (professional organization) ซึ่งตามหลักการแยกการเมืองกับการบริหารออกจากกันนั้น ต้องการไม่ให้เป็นการเมือง (apoliticism) หมายถึงไม่ให้การเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับการใช้ดุลพินิจของแพทยสภา
แต่ตามกฎหมายการใช้อำนาจของแพทยสภาพักใบอนุญาตดังกล่าว ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขวีโต้มติแพทยสภาได้ เจตนารมณ์ของกฎหมายก็เพื่อให้เกิดการถ่วงดุลกัน
ในที่สุด รัฐมนตรีสมศักดิ์ เทพสุทิน ใช้อำนาจวีโต้ อ้างว่าลงโทษแพทย์รุนแรงเกินไป ขอให้ยกโทษ ทั้งคณะกรรมการกลั่นกรองบางคนและคุณทักษิณยังอ้าง “ไลน์หลุด” ว่ากรรมการแพทยสภาบางคนมีอคติต่อตน
อำนาจของแพทยสภาที่เป็นอิสระและต้องการแยกการเมืองออกไป จึงกลับกลายมาเป็นการเมือง (politicization) อีกครั้งหนึ่ง
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะความเห็นของแพทยสภามีผลต่อคดีชั้นสิบสี่มาก ในทางการไต่สวนคดี แพทยสภาย่อมเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญ หากมีความเห็นว่าแพทย์คนแรกที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ทำหนังสือส่งตัวคุณทักษิณไปโรงพยาบาลตำรวจเอาไว้ล่วงหน้า ก็แสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมการเอาไว้แล้วว่าจะไม่ให้คุณทักษิณถูกจำคุกในเรือนจำโดยมีการแบ่งงานกันทำเป็นขั้นตอนไว้ตั้งแต่แรก
ปัญหาทางกฎหมายเกิดขึ้นทันทีว่า “ฐานะ” ของคุณทักษิณที่ตกเป็นจำเลยและถูกพิพากษาให้จำคุก นั้น ได้ถูกคุมขังตามหมายจำคุก แล้วหรือยัง?
ถ้าหากศาลฟังได้ว่า มีการเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าไม่ให้คุณทักษิณถูกจำคุกเลยตั้งแต่แรก ก็แสดงว่าหากเข้าเงื่อนไขว่าคุณทักษิณมีการเจ็บป่วยหนักไม่สามารถที่จะถูกจำคุกตามคำพิพากษาได้จริง ก็ต้องขออนุญาตศาลเพื่อขอทุเลาการจำคุกก่อน
เมื่อไม่ได้ขออนุญาตศาล การนำคุณทักษิณไปโรงพยาบาลตำรวจย่อมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246
แต่ถ้าศาลฟังได้ว่า คุณทักษิณถูกจำคุกและเข้าไปอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตามกระบวนการแล้ว เกิดการเจ็บป่วยขึ้นมาทีหลัง อันเป็นอำนาจของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งพระราชบัญญัติราชทัณฑ์บังคับว่าเรือนจำต้องทำการรักษาผู้ป่วยที่เป็นผู้ต้องขัง และหากรักษาในสถานพยาบาลของตัวเองไม่ได้ ก็ต้องส่งไปโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และถ้าส่งไปโรงพยาบาลราชทัณฑ์แล้ว ไม่มีแพทย์เฉพาะทางรักษา ก็ต้องส่งไปโรงพยาบาลที่มีแพทย์เฉพาะทางดังกล่าว เช่น ส่งไปโรงพยาบาลตำรวจ
กรณีหลัง ศาลอาจต้องพิจารณาว่ากระบวนการส่งตัวคุณทักษิณไปโรงพยาบาลตำรวจกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่?
หากพบว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่ได้ทำตามขั้นตอนของกฎหมาย ทั้งตัวคุณทักษิณก็ไม่ได้ป่วยหนักถึงขั้นที่ต้องส่งไปโรงพยาบาลตำรวจ ศาลก็น่าจะต้องพิจารณาว่า การกระทำไม่ชอบดังกล่าวเป็นการจำคุกคุณทักษิณตามหมายจำคุกของศาลแล้วหรือยัง ถ้าหากยัง ศาลก็ต้องพิจารณาว่าจะต้องบังคับตามหมายจำคุกต่อไปหรือไม่ อย่างไร?
นอกจากนั้น บรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐคนอื่นที่เจตนาช่วยคุณทักษิณไม่ให้ถูกจำคุกตามหมายจำคุกของศาล มีความผิดด้วยหรือไม่? ..ถ้ามีความผิดด้วย ก็อาจต้องให้ ป.ป.ช. ตั้งคดีขึ้นมาใหม่แยกเป็นคดีอาญาอีกคดีหนึ่ง และคุณทักษิณจะอยู่ในข่ายเป็นผู้สนับสนุนหรือไม่ ก็ต้องไปว่ากล่าวกันอีกทีหนึ่ง
ดังนั้น การที่แพทยสภาวินิจฉัยว่า แพทย์สองคนรับรองว่าคุณทักษิณป่วยวิกฤติไม่เป็นความจริง จึงเป็นพยานหลักฐานที่สำคัญมากในคดี
ในแง่คดีแล้ว การที่รัฐมนตรีสมศักดิ์ฯ ใช้อำนาจวีโต้ ย่อมมีเป้าหมายเป็นการทำลายน้ำหนักพยานผู้เชี่ยวชาญลง ส่วนในแง่รัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ รัฐมนตรีสมศักดิ์ฯ กำลังนำ “การเป็นการเมือง (politicization) กลับมาสู่แพทยสภา”
อันเป็นผลให้ “การเป็นการเมือง” ขยายวง เพราะบรรดาแพทย์ทั้งหลายที่เห็นว่านักการเมืองกำลังใช้อำนาจแทรกแซงการใช้ “ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีความกำกวมและไม่ต้องต่อรองกัน” นั้น เป็นการกระทำที่มีสภาพเป็นการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ให้กลายเป็น “การเมือง” เพื่อเป้าหมายในการลดทอนน้ำหนักความเชื่อถือของแพทยสภา อันเป็นการนำความเสื่อมเสียมาสู่เกียรติและศักดิ์ศรีของแพทยสภา
บรรดาแพทย์ทั้งหลายที่รักองค์กรวิชาชีพของตัวเอง ก็ต้องลุกขึ้นสู้เป็นธรรมดา และย่อมค่อย ๆ ขยายวงออกไปเรื่อย ๆ เพราะเมื่อคนอื่น ๆ เห็นด้วยว่าแพทย์ไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาก็ต้องเข้ามาร่วมวงด้วย เนื่องจากเห็นว่ากรณีเป็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ (scientific facts) ไม่ใช่เป็นการเมือง (politicization)
ส่วน “ไลน์หลุด” จะทำลายน้ำหนัก“ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีความกำกวมและไม่ต้องต่อรองกัน” ได้มากน้อยเท่าใดนั้น ย่อมวินิจฉัยได้ไม่ยาก เพราะเป็นความผิดพลาดส่วนบุคคล แต่ไม่น่าจะนำมาหักล้างข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งไม่ใช่เป็นประเด็นทางการเมืองได้
ในที่สุดแล้ว คนไทยจึงได้เห็นภาพของการเมืองไทยในปัจจุบันชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่า “อะไรเอ่ย คนเดียวเสียวทั้งประเทศ”?
ใบ้ให้นิดหนึ่งว่าคำตอบไม่ใช่ “ทรัมป์” ก็แล้วกัน!!
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก pptvhd36.com

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา