ในขณะเดียวกันฮุนเซนออกมาพูดว่าถ้าขืนไทยยังทำอย่างนี้ จะเปิดเผยว่าเวลานักการเมืองไทยหนีออกไปทางช่องทางธรรมชาติ เขาไปกันยังไงคือเขาก็รู้ไพ่หมด และเขาก็จี้ได้หมด อย่างน้อยก็ในหัวใจของรัฐบาลไทย ดังนั้นเรื่องไทยและกัมพูชาก็คือหนึ่งในเรื่องดิสรัปชั่น ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นเลย แต่ตอนนี้มันเป็นส่วนผสมระหว่างสงครามดั้งเดิมกับสงครามสมัยใหม่ ที่มีประเด็นเรื่องเขตแดนที่เกี่ยวข้องตามมา
หมายเหตุสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org): เมื่อวันเสาร์ที่ 14 มิ.ย.ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ทำหน้าที่เป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ “อนาคตประเทศไทยภายใต้โลกแห่งความผันผวน” โดยการบรรยายดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรผู้บริหารยุทธศาสตร์การสื่อสารมวลชนระดับสูง (บยสส.) รุ่นที่ 4 โดยบรรยายตั้งแต่เวลา 11.00 - 12.00 น. ณ ห้องบงกชรัตน์ บี ชั้น 2 โรงแรมรอยัล ริเวอร์ บางพลัด กรุงเทพฯ
สำนักข่าวอิศราจึงได้นำเสนอรายละเอียดบรรยายในหลุายประเด็น โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยมีรายละเอียดดังนี้
Disruptionหรือภาวะการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงที่ไทยต้องเผชิญ นั้นมีหลายข้อแต่เกิดในยุคที่เศรษฐกิจของไทยแย่ด้วย การบริโภคของเราก็แย่ การบริโภคของประชาชนไทยก็แย่ตามไปด้วย หนี้ภาคครัวเรือนก็สูง การลงทุนและการส่ออกในประเทศก็ชะลอมานานแล้ว
แต่ว่าตอนนี้เศรษฐกิจไทยก็คงจะชะลอมากขึ้นจากประธานาธิบดีทรัมป์มีเอกเฟกต์ ต่อไปเป็นเรื่องการท่องเที่ยวของเรา ที่บอกจะปรับตัวจากตอนโควิด 19 ตั้งเป้าเน้น 40 ล้านคนหลังจากโควิดผ่านไปแแต่ในที่สุดมันก็ยัง over supply อยู่มาก
พอมาเจอเศรษฐกิจของจีนที่ไม่ค่อยดี นักท่องเที่ยวจีนลดลงน แคมเปญไทยเที่ยวไทยก็ไม่มากเท่าที่ควร
อีกทั้งนักท่องเที่ยวยังบอกว่าเมืองไทยชักน่ากลัว ลงสนามบินมาก็เจอแท็กซี่โกง
พอไปนั่งรถไปก็ไม่รู้จะถูกหลอกหรือไม ไปที่ท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวก็บอกว่าไปที่เดิมๆไม่มี product ใหม่
นักท่องเที่ยวเขาพูดเพื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านด้วย เช่น เวียดนาม หรือที่อื่น ซึ่งพบว่าหลายที่นั้นเก็บเงินแพงไป อาหารสําหรับคนต่างชาติก็ยังถูกอยู่ แต่ก็ไม่ถูกเหมือนเมื่อก่อน แต่ที่เขากังวลมากคือความปลอดภัย
ผมเพิ่งไปที่ฮ่องกงมาไปสังเกตการณ์การก่อตั้งระบบประเทศว่าด้วยการสังเกตุซึ่งมี 30 กว่าประเทศที่ไปลงนาม แต่ว่าประเทศไทยยังไม่กล้าลงนาม อ้างว่าเกรงใจอเมริกา เลยไม่กล้าลงในขณะที่ 30 กว่าประเทศก็ลงนาม โดยมีจีนเป็นตัวตั้งตัวตีในเรื่องนี้ ผมได้พบ รัฐมนตรีต่างประเทศระหว่างประเทศจีนนายหวังอี้ แล้วก็ได้คุยกันหลายคน พบว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวตกมาก เพราะว่ากลัวประเทศไทยกลัวข่าวเรื่องดาราฮ่องกงถูกลักพาตัวไปที่แม่สอด แล้วก็เจอแผ่นดินไหวเข้าไปด้วย
เพราะฉะนั้นเครื่องยนต์ของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการบริโภค การลงทุน การส่งออก การท่องเที่ยว 4 เครื่องยนต์นี้ มันทํางานอ่อนแอท่ามกลางดิสรัปชั่น ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางความผันผวนมากกขึ้น
ดิสรัปชั่นที่ว่ามาก็มี
1.เทคโนโลยีดิสรัปชั่น (Technology Disruption)
ซึ่งเทคโนโลยีกับเอไอมันกำหนดเขตแดนของความเป็นไปได้ อะไรที่คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปได้และทําได้เยอะ เราเพิ่งพูดถึงการปรับตัวประเทศไทย 4.0 ไปไม่กี่ปีมานี้ ตอนนั้นเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลก็ยังไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงเท่าไ แต่ตอนนี้ก็มีเอไอ แล้วก็มีแชทจีพีที ตามด้วยดีพซีค ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาประมาณปีครึ่ง
แชทจีพีทีสามารถทําตัวเลขขึ้นไปถึงร้อยล้านผู้ใช้งาน ได้เทียบกับเฟซบุ๊กใช้เวลาประมาณ 10 ปี ไปถึงร้อยล้านผู้ใช้งาน เพราะฉะนั้นเราก็คงไม่ต้องกลัวว่าเอไอจะมาแย่งงานคนไทย ผมว่าสิ่งที่เราต้องกลัวก็คือว่าคนที่ใช้เอไอเป็น จะมาแย่งงานคนที่ใช้เอไอไม่เป็น ในห้องนี้ที่ใช้เอไอเป็นก็จะไปไกลกว่าเรา บริษัทที่ใช้เอไอเป็นก็จะชนะ บริษัทที่ไม่ใช้ ประเทศที่ใช้เอไอเป็นก็จะชนะประเทศที่ใช้เอไอไม่เป็น
วันดีคืนดีเราอาจจะสงสัยว่า ประเทศเองทําไมก้าวหน้าไปไกล แต่เราไม่รู้หรอกเพราะว่าเขาเป็นเอไอยูสเซอร์เขาใช้เอไอเป็นในกระบวนการทำงาน ในการลดขั้นตอนการทํางาน ในกระบวนการผลิตในการติดต่อกับประเทศต่างฯ ในนการลิงค์กับตลาดต่างๆที่เราอาจจะไม่รู้พวกนี้ เอไอมันทําได้หมด มันฉลาดขึ้นทุกวันนะครับ ฉลาดขึ้นจนน่ากลัว แต่ภาษาไทยก็ดีขึ้นอย่างมาก อันนี้ก็เป็นตัวอย่างว่า เทคโนโลยีมันเข้าไปทุกด้าน ไม่ว่าจะมีการศึกษา การผลิต การทําธุรกิจ ปัญหาก็คือว่าเราพร้อมในการเปลี่ยนแปลงหรือยัง
เพราะฉะนั้น เทคโนโลยีดิสรัปชั่นมีโอกาสเยอะมาก มันเปลี่ยนแปลงมาก แต่เราต้องดิสรัปตัวเรา
2.เดโมกราฟฟิกดิสรัปชั่น (Demographic Disruption)
เราเข้าสู่สังคมสูงอายุเกือบสูงสุดแล้ว เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ได้คุ้นกับยุคของดิจิทัล ไม่ได้คุ้นกับยุคของเอไอหรือดิจิตอลเอไอ คนพวกนี้เกษียณแล้วแต่ยังแข็งแรง มีสติปัญญามีสมองอยู่ เราจะมีเทรนด์คนเหล่านี้ให้กลับมาในกลุ่มคนทำงานได้อย่างไรบ้าง
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือว่าเราขาดคน และต้องยอมรับว่ารัฐบาลยังไม่มีโครงการที่จะปรับทักษะ สร้างทักษะใหม่ รีสกิลให้กับผู้สูงอายุให้กลับมาได้ อย่างที่จีนเขาก็มีก็มีโครงการซิลเวอร์แฮนด์อีโคโนมีเศรษฐกิจ ผมสีเทา
สิงคโปร์ก็มีผู้สูงอายุที่ยังเข้มแข็ง อยากทํางาน เขาก็จับมือกับมหาวิทยาลัย ให้กลับมาเทรนแล้วแถมเงินให้รายเดือน แก้ปัญหาจนเขาเป็นคนมีเงิน
ถามว่าเราแก้ปัญหาในเรื่องของสังคมสูงอายุอย่างไร ผมไม่ค่อยเห็นว่าประเทศไทยทําอะไรเท่าไร
แต่ในขณะเดียวกันโอกาสนี้ก็มีอีกเยอะเพราะว่า พอมีเรื่องสังคมสูงอายุ ในเรื่อง food the health security ความมั่นคงทางอาหารและความมั่นคงทางสาธารณสุขจึงกลายเป็นตัวสําคัญ ผู้สูงอายุไม่ใช่คนติดเตียงเสมอไป แต่เป็นคนที่อาจจะไม่อยากออกไปไหนมาไหน มากนัก ออกไปไหนไม่สะดวกนัก อยากจะดูแลสุขภาพให้ดีขึ้น เพราะฉะนั้นในเรื่อง wellness ในเรื่องการดูแลสุขภาวะทางร่างกายในจิตใจ การได้กินอาหารที่ไม่เป็นพิษ อาหารที่ฟื้นฟูร่างกาย food security กับ health security และ food and health together คือทั้งอาหารและเรื่องของสาธารณสุข ความมั่นคงทั้ง 2 อย่างด้วยกัน ยาที่จะต่อต้านไว้รักษายาที่จะฟื้นฟูร่างกาย รวมถึงเฮลท์แคร์ก็จะเป็นโอกาสสําคัญของประเทศไทย
ผมพูด เสมอว่าเฮลท์แคร์ เราพูด เป็น คําติดกัน แต่สําหรับ ผม เฮลท์แคร์ นี่มัน เป็นสองคำ คือเรื่อง เฮลท์ การดูแลสุขภาพ อาจจะมีประเทศที่ไกลกว่า ที่ดีกว่าเรา สิงคโปร์ อเมริกา อาจจะก้าวหน้ากว่าเราเรื่องเทคโนโลยี แต่แคร์ ผมว่าไม่มีใครสู้กับเราได้ หลานผมเกิดที่สิงคโปร์ ลูกผมก็เกิด ที่อเมริกา คำว่าเฮลท์เขาดีเหลือเกิน แต่แคร์นี่ไม่ค่อยเห็นหัวใจเท่าไร
ซึ่งอันนี้เป็นเป็นโอกาสที่ดีว่าเราจะรีเทรนด์คนของเรา ซึ่งคนของเราเป็นคนที่ที่ตกงานเยอะ ทั้งที่ไม่ใช่คนที่ไม่มีความรู้ แต่ว่าเขาจบการศึกษามาเมื่อ 56 ปีที่แล้ว เขาไม่ได้มีดิจิทัล เขาไม่ได้มีเอไอ มันเป็นยุคที่ยังไม่ได้เรียนเอไอ เป็นยุคที่ยังไม่มีแชทจีพีที เพราะฉะนั้นเป็นไปได้ไหมที่เราจะมีเทรนคนเหล่านี้ แล้วก็ดันคนที่ว่างงานเข้าไปอยู่ในส่วนของการดุแลสุขภาพให้มากขึ้น เวลานี้ภาคเอกชนของเราเห็นได้ชัดว่าคนที่ทํางาน ทำไม่เต็มเวลา คนที่ตกงานก็ลงไปอยู่ภาคเกษตรมันก็เหมือนกับมีงานทํา แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้มีงานทํา แต่เขาสามารถที่จะทํางานที่จะมีได้รายได้มากกว่านี้ ถ้าเรามีเจ้าภาพสักคนที่ทำในเรื่องของการรีเทรน อัพสกิลทั้งหลาย และเอไอก็เข้ามาช่วยตรงนี้ด้วย
3.แพนเดมมิค ดิสรัปชั่น (Pandemic Disruption)
อันนี้ก็เป็นผลมาจากโควิด ซึ่งมันก็เป็นตัวที่มาตอกย้ำว่าความมั่นคงทางอาหารและความมั่นคงทางสุขภาพมีความสําคัญมากขึ้น เอกชนหลายรายก็ผลิตสินค้าเหล่านี้ในช่วงที่ผ่านมา
4.เอ็นไวรอนเม้นท์ทัล ดิสรัปชั่น (Environmental Disruption)
ความปั่นป่วนทางด้านสิ่งแวดล้อม จากเดิมเป็น climate change ความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศก็กลาย เป็น climate crisis วิกฤตของภูมิอากาศในวันนี้
ศัพท์ที่สหประชาชาติใช้ใหม่สุดก็เป็น Climate Catastrophe เป็นความหายนะทางภูมิอากาศ ซึ่งเอฟเฟคต่อสุขภาพ เช่นเรื่อง พีเอ็ม 2.5 ซึ่งที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็มีองค์ความรู้หมดว่าเหตุนั้นเกิดจากอะไร แต่ว่ายังขาดคนที่เป็นหลักที่จะทำ เช่นในเรื่องจะไม่ให้รถดีเซลผ่านเมืองในเวลาเท่าไหร่ ทําอย่างไรไม่ให้ชาวบ้านชาวเผาป่าเพื่อจะปลูกเห็ด
การเผาป่าในภาคกลางก็เป็นต้นตอปัญหาไม่น้อยนะครับ เผาป่าในเมียนมา ในลาว ก็เป็นเรื่องรัฐบาลที่จะต้องคุยกัน
ในขณะเดียวกัน เอ็นไวรอนเม้นท์ทัล ดิสรัปชั่น ทําให้กรีนอีโคโนมีส์หรือเศรษฐกิจสีเขียวมีความสําคัญขึ้น
โลกกําลังเดินไปสู่กรีน แฟบริค เสื้อทั้งหลาย นี่ต้องมาจากอะไรที่มันกรีน ทาร์เก็ตกรีน ซีเมนต์กรีน โลจิสติกส์เป็นต้น
เรื่องความยั่งยืนก็เป็นเรื่องที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เรื่องการลดคาร์บอนโดยใช้เทคโนโลยี การลดคาร์บอน ซึ่งบริษัทที่ยังลดไม่ได้ ก็ไปซื้อคาร์บอน อย่างที่แม่ฟ้าหลวงก็ทำดี ที่ให้มีการปลูกป่า และบริษัทใหญ่อย่าง บริษัทเอสซีจีก็เข้าไปซื้อเครดิตเหล่านั้น แล้วชาวบ้านแทนที่จะตัดป่าเผาป่าก็จะยิ่งรักษาป่าเพราะว่ารายได้จากการได้เครดิตมันดีกว่าตั้งเยอะ
แต่ตัวที่ยากคือ adaptation คือการปรับ ซึ่งผมก็ยังเห็นว่าเรายังเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันอย่างมาก
ปีที่แล้ว น้ำท่วมแม่น้ำโขง แม่น้ำสายมันท่วม พอน้ำมันออกไป โคลนมันไม่ออกด้วย มันก็แข็งอยู่อย่างนั้น
แต่ว่าพอมาปีนี้มันก็ทําแบบเดียวกันอีก
ดังนั้นคำถามก็คือว่าการปรับตัวคืออะไร ก็คือ ตึกแถวสร้างแบบนี้ไม่ได้แล้ว ที่อยู่บางที่ที่มันเป็นที่ที่โคลนเข้ามาอยู่ตรงนี้ไม่ได้ นี่คือเรื่องของการปรับตัว ซึ่งมันเป็นเรื่องของทั้งวิศวะสถาปัตย์ กฎหมาย ผู้บริหารชุมชนต้องมาดูกันหมดเลย แล้วผมเป็นห่วงอันนี้ว่าประเทศไทยยังเดินเล่นการปรับตัวไม่พอ
ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครวิเคราะห์ว่า ตกลงเราจะเดินทางตามตัวชี้วัดไหนเป็นหลักและทั้งหมดนี้มันขัดกันเองบ้างรึเปล่า ก็คือยังต่างคนต่างทําอยู่
5.เอ็ดดูเคชั่น ดิสรัปชั่น (Education Disruption)
ในเรื่องของ ดิสรัปชั่นในเรื่องของการศึกษา จากการที่เรามีผู้สูงอายุเยอะ เราจะมี intergeneration gap หรือช่องว่างระหว่างอายุค่อนข้างจะเยอะ เทคโนโลยีและอายุของเจนวาย เจนแซด ทําให้การมองการศึกษาต่างไปหมดเด็กรุ่นใหม่ไม่ใช้ three stage life แต่ใช้ชีวิตแบบ multistage life เด็กเข้ามาเรียนหนึ่งปี อาจจะไปฝึกงานแล้วก็เอาเครดิตใส่ธนาคารเครดิต ใส่เครดิตในใบสมัครงานไว้ว่าไปทํางาน 2 ปี แล้วก็มีการรีสกิล อัพสกิล มีฝึกทักษะ บางทีพอถึงปี 3 อ้าวออกไปใหม่ไปทํางานใหม่
เพราะฉะนั้นกระบวนการเรียนการสอนมันเปลี่ยนไปและการเรียนด้วยออนไลน์มันก็ยังเกิดขึ้นมาก ถึงแม้จะเป็นไฮบริดแล้วก็ยังเกิดขึ้นอย่างมาก เพราะฉะนั้นทั้งเทคโนโลยี ทั้งวัยของคนและตลาดแรงงานทําให้เรื่องการศึกษามันต่างจากเดิมเยอะ
อาจารย์เองจะมาให้เลคเชอร์ ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะว่าเด็กเขาก็จะกูเกิลตามไปด้วย วันนี้ถ้าผมไปพูดที่ไหนแล้วบรรยายว่าความร่วมมืออาเซียน มี 3 เสาหลัก เสาหลักเศรษฐกิจ มี 5 เรื่องเด็กเขาก็ก้มลงกดหาข้อมูลแล้ว ดังนั้นวันนี้คนที่สอนจะต้องเปลี่ยนจากเลคเชอร์เรอร์ไปเป็นโค้ช ก็คือจะต้องให้คําปรึกษา ให้คําแนะนํา เอาตัวอย่างเข้ามา สอนการเรียนรู้ จากประสบการณ์
เราชอบพูดว่าเราอยากจะให้มีบัณฑิตพันธุ์ใหม่ แต่เราจะมีไม่ได้ ถ้าเราไม่มีอาจารย์พันธุ์ใหม่ ดังนั้นแค่ปฏิรูปจึงยังไม่พอ มันต้องมีการยกเครื่อง ยกเครื่องการศึกษาทั้งอุดมศึกษาและต่ำกว่าอุดมศึกษา
ประเทศไทยการศึกษาต่ำกว่าอุดมศึกษาจะปรับตัวน้อยมาก ยกเว้นโรงเรียนอินเตอร์ ส่วนโรงเรียนไทย มัธยมและประถมจะปรับตัวตามมหาวิทยาลัย ตามอุดมศึกษา ถ้าอุดมศึกษาบอกว่าต้องทําอย่างนี้ โรงเรียนเดี๋ยวก็จะปรับกันใหญ่
แต่ปัญหาที่ผ่านมาคืออุดมศึกษาก็ไม่ปรับตัว โดยเฉพาะอุดมศึกษาที่เป็นราชการ ก็จะปรับช้ามาก คือเก่งในการไม่เปลี่ยน ไม่ใช่เก่งในการเปลี่ยน ซึ่งอันนี้น่ากลัวมาก แล้วระบบราชการที่ยังฝังตัวอยู่ในมหาวิทยาลัย ทําให้ทุกอย่างยากมาก
6.โพลิติคัล ดิสรัปชั่น (Political Disruption)
เรื่องการเมืองเกิดการเปลี่ยนตัวผู้นำหลายแห่งตั้งแต่ที่สหรัฐอเมริกา มาเลเซียก็เปลี่ยน ผู้นําเมียนมาก็เปลี่ยนผู้นํากัมพูชาก็เปลี่ยน ซึ่งก็มีปัญหาอยู่ทุกวันนี้ ผู้นําเวียดนามก็เปลี่ยน
หลายที่ เพราะฉะนั้นนี่เป็นดิสรัปชันที่เปลี่ยน ซึ่งเรายังไม่ค่อยได้เตรียมตัวเท่าไหร่ว่าการเปลี่ยนแปลงที่มันเกิดขึ้นเอาแค่ประเทศใกล้ไเหล่าเนี้ย มันมีความหมายอะไรกับประเทศไทย
7 จีโอโพลิติคัล ดิสรัปชั่น (Geopolitical Disruption)
การแข่งขันกันระหว่างอเมริกา กับจีน มันเข้มข้นขึ้นทุกทีตั้งแต่ก่อนที่ทรัมป์จะมาเป็นประธานาธิบดี
และที่สําคัญมากก็คือว่าการแข่งขันที่มันนําไปสู่ที่เรียกกันว่าสงคราม
ถ้าเป็นเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ผมก็จะบอกว่า conventional war ไม่มีแล้ว สงครามที่ดั้งเดิมที่ใช้กําลังเข้าไปบุกแล้วก็ไปเอาดินแดนมาไม่มีแล้วเดี๋ยวนี้เป็นสงครามสมัยใหม่ สงครามการค้าการลงทุน สงครามการเงิน สงครามเทคโนโลยีก็เป็นอย่างนั้นมาตลอด
แต่วันที่รถถังรัสเซียอยู่ที่ชายแดนยูเครนก็มีผู้รู้ระหว่างประเทศที่ผมอยู่ในวงคณะที่ปรึกษาอยู่ก็บอกว่าไม่มีทางที่รัสเซียจะบุกยูเครน แล้วก็ดูสิ่งที่เกิดขึ้น
ที่มันสำคัญก็คือสงครามสมัยใหม่ สงครามตามแบบเดิม มันมีส่วนที่ต่างกันอยู่ แต่วันนี้สงครามตามแบบกับทวีความสำคัญมากขึ้น สิ่งที่เห็นเมื่อวานนี้ก็เห็นแล้วว่าสงคราม คําถามคือ สงครามตะวันออกกลางจะขยายวงอีกแค่ไหน
ปัญหาในทะเลจีนใต้ เกิดจากการปะทะกันตลอดเวลาระหว่างฟิลิปปินส์ ซึ่งอเมริกามีปัญหากับจีน เพราะมีเขตทับซ้อนกันในทะเลจีนใต้ ความขัดแย้งและความรุนแรงในเมียนมา เราก็เห็นว่าความสูญเสียเสียชีวิตระหว่างรัฐบาลทหารและประชาชน ซึ่งประชาชนที่ถูกึกโดยชนกลุ่มน้อยก็ทำให้รัฐบาลทหารในหลายพื้นที่นั้นมีปัญหาทำให้รัฐบาล ทหารเมียนมา ปัจจุบันก็ควบคุมประเทศได้น้อยลง
เพราะฉะนั้นเราก็จะเห็นว่าเมียนมากลายเป็นประเทศที่มันไม่ใช่เรื่องแค่ประชาธิปไตยแล้วเมียนมามีรัฐอยู่ทั้งหมด 8 รัฐ หลายรัฐมีอาวุธกองกําลังตัวเองและเมียนมาจาก 8 รัฐมีชนกลุ่มน้อย รวมแล้ว105 กลุ่ม แต่ถ้าหากจะลงรายละเอียดจริงๆก็อาจจะมีกลุ่มอยู่ถึง 300 กว่ากลุ่ม
ปัญหาที่มันเกิดขึ้นมาอีก ล่าสุดก็คือว่า พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย บอกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่
แน่นอนตะวันตกก็บอกว่า จะมีเลือกตั้งได้ยังไง เพราะเมียนมาไม่ยอมเจรจากับฝ่ายรัฐบาลพลัดถิ่น แล้วยังจะมีการเลือกตั้งที่แฟร์ได้อย่างไร เรื่องนี้อาเซียนก็แปลกแยกแล้ว เพราะจีน ไทย ลาว กัมพูชา บอกว่ายอมรับการเลือกตั้ง แต่กลับกันที่เหลือของอาเซียนบอกไม่ได้ ไม่สนับสนุนการเลือกตั้ง ไม่เชื่อว่าทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ประเทศตะวันตกทั้งหมดบอกไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งที่ทุกฝ่ายไม่ได้มีส่วนร่วม
@ดิสรัปชั่นโยงปัญหาขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา
แล้วก็มาเรื่องความขัดแย้งไทย กัมพูชา ซึ่งสิบกว่าปีมานี้ที่เรามีเรื่องยิงกันที่ปราสาทพระวิหาร ผมก็ยังเห็นว่าเขาทําให้มันเกิดการปะทะกัน ทําให้เราไม่มีทางเลือก เพราะว่าถ้าปะทะกันแล้วเขาก็ไปฟ้องอาเซียน แล้วก็ไปฟ้องคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ แล้วก็ไปศาลโลก ประธานคณะคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติซึ่งมีการผัดเปลี่ยนตำแหน่งตลอดก็อาจจะมีคนที่เป็นพันธมิตรกับเขา ซึ่งเคยประณามประเทศไทยแบบที่เคยทำกันมาแล้ว สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็คงจะหน้าตาคล้ายกันก็คงจะทําให้เกิดการปะทะกัน แล้วก็ทำให้เรื่องไปสู่จุดนั้น
ซึ่งเราก็บอกว่าเราไม่รับอํานาจศาลโลก แต่มันก็จะมีประเด็นว่า เอ๊ะ ก็ไม่รับอํานาจศาลโลกมาตั้งนาน แล้วทําไมไปสู้เขาเมื่อครั้งที่แล้วทำไม ในเรื่องของการตีความคำพิพากษาเมื่อ 50 ปีที่แล้ว จนทำให้เราเสียพื้นที่ไป 2 ตารางกิโลเมตร ส่วนในวันนี้ก็เข้าใจว่าในฝั่งกัมพูชา โดย พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาก็คงกำลังประชุมกันอยู่ ซึ่งเขาก็ย้ำว่าประชุมคณะกรรมการชายแดนไทย-กัมพูชาหรือเจบีซี สี่เรื่องนั้นไปที่ศาลโลกแล้ว และจะมีการเชิญสื่อมวลชนเข้ามา พร้อมกับตั้งคำถามว่าทำไมไทยไม่ยอมไปศาลโลก
ถามว่าทําไมกัมพูชาทำแบบนี้ คือเพราะกัมพูชาทําแบบนี้เสมอเวลามีปัญหาให้ประเทศ ปัญหาเศรษฐกิจ ตอนที่จะต้องมีการเลือกตั้งภายใน เขาก็จะใช้ภัยคุกคามจาก่างประเทศเข้ามาอ้างตลอด
ก็มีความเป็นไปได้ว่า พล.อ.ฮุน มาเนต อาจจะยังไม่มีแรงควบคุมในประเทศมากพอนักก็เลยอาจจะอยากเพิ่มแรงรักชาติเข้ามาช่วยสนับสนุนรัฐบาลกัมพูชา
อีกประเด็นเขาอาจจะเห็นว่าการเมืองไทยอ่อนแอ มีทั้งเรื่องปรับคณะรัฐมนตรี มีเรื่องพรรคไหนจะเข้าไม่เข้า ข้าราชการทั้งหลายก็เกียร์ว่างกันมาหลายเดือนแล้ว เขาก็ดูว่าใครจะมา ใครจะไป เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นจังหวะที่ดีที่สุดแล้ว
อีกประการที่บอกว่าเป็นจังหวะที่ดีที่สุดก็คือว่า ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงเพิ่งจะไปเยือนเขาถ้าจะถามว่าจีนรักใครมากกว่าระหว่างไทย กัมพูชา ก็คงให้ความสําคัญกับไทยมากกว่ากว่า แต่ว่าตอนนี้เขาอาจจะใกล้ชิดกัมพูชามากกว่า อย่างน้อยที่สุดในเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์แล้วเขาก็เพิ่งมาเอามาให้ทางกัมพูชา
จริงๆเขาก็ต้องรู้ว่า ถึงแม้เราใกล้ชิดกับจีน แต่เราก็ทําอะไรหลายอย่างที่จีนไม่พอใจและเราก็ทําอะไรหลายอย่างให้จีนพอใจและอเมริกาไม่พอใจเพราะฉะนั้นเขาก็รู้แล้วว่าความใกล้ชิดของเรากับประเทศมหาอํานาจที่จะเข้ามาช่วยเรามันไม่ถึงขนาดขนาดนั้น
อีกประการคือเศรษฐกิจไทยก็ไม่ค่อยดี เพราะฉะนั้นพอเขาบีบเรื่องเศรษฐกิจขึ้นมา มันก็ต้องมาคิดถึงเรื่องความคุ้มค่าที่เสียไปกับการแลกพื้นที่ตรงนั้น เราก็ต้องมาดูไพ่ที่มีทั้งการตัดอินเทอร์เน็ต ไฟฟ้าทั้งหลาย มันไปที่กระเป๋าของใครในกัมพูชา
ในขณะเดียวกันฮุนเซนออกมาพูดว่าถ้าขืนไทยยังทำอย่างนี้ จะเปิดเผยว่าเวลานักการเมืองไทยหนีออกไปทางช่องทางธรรมชาติ เขาไปกันยังไงคือเขาก็รู้ไพ่หมด และเขาก็จี้ได้หมด อย่างน้อยก็ในหัวใจของรัฐบาลไทย ดังนั้นเรื่องไทยและกัมพูชาก็คือหนึ่งในเรื่องดิสรัปชั่น ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นเลย แต่ตอนนี้มันเป็นส่วนผสมระหว่างสงครามดั้งเดิมกับสงครามสมัยใหม่ ที่มีประเด็นเรื่องเขตแดนที่เกี่ยวข้องตามมา