
"...พี่วิทย์เล่าต่อว่า ไม่ได้มีแผนการเดินทางแบบสำเร็จรูปเหมือนกับที่ทุกคนทำกัน มีแผนแค่ไปให้ทันวันงานมอเตอร์โชว์ที่นครซิดนีย์ตอนต้นเดือนพฤษภาคม และเมืองบริสเบนในช่วงต้นมิถุนายน นอกนั้น ไปผจญภัยเอาข้างหน้า ออกเดินทางในวันที่ 27 เมษายน สู่นครซิดนีย์ แต่ตั๋วเครื่องบินขากลับยังไม่ระบุวันเพราะได้วีซ่าท่องเที่ยวถึง 1 ปี หอบจักรยานคู่กาย 1 คันพร้อมกระเป๋า 2 ใบ ใบหนึ่งใส่เสื้อผ้า อีกใบหนึ่งใส่กล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ และเมื่อถึงสนามบินนครซิดนีย์ คนแรกที่เจอหนีไม่พ้นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่ทำสีหน้าเข้มให้คนเกรงกลัว แต่พี่วิทย์กลับใช้ยุทธการ “ยิ้มสยาม” พร้อมพูดเสียงดังฟังชัดว่า “I come from Thailand. This is my first time here. My English is no good” เป็น 3 ประโยคที่พี่วิทย์ใช้พูดกับคนออสซี่ที่เจอะเจอกันครั้งแรกตั้งแต่วันนั้น เจ้าหน้าที่ผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมายิ้มและบอกว่าไปเที่ยวเมืองไทยหลายครั้ง ชอบมาก และเป็นที่มาของบทสนทนาอีกร่วม 10 นาที จนคนเข้าแถวข้างหลังเริ่มหงุดหงิด ไม่ทราบว่า ใครเข้าเมืองใครกันแน่..."
“คุณดลยังจำวิทยา เพื่อนร่วมรุ่นเกษียณปีเดียวกันได้ไหม? ตอนนี้วิทยากำลังผจญภัยอยู่ที่ออสเตรเลีย ลองโทรศัพท์ไปคุยกับเขาซิคะ” พี่จุวร โฆษณานันท์ รุ่นพี่เกษียณก่อนผม 4 ปี โทรมาหาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
ผมจำพี่วิทยา เทียมเศวต (พี่วิทย์) ได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่เพียงเพราะเกษียณในปีเดียวกัน และจัดทำเหรียญที่ระลึก 20 บาท มอบให้กับทุกคนที่รู้จัก ด้านหน้าเป็นภาพถ่ายของผู้ได้รับราว 800 คน ส่วนด้านหลังเป็นภาพตำหนักวังบางขุนพรหม แต่พี่วิทย์ถือเป็นอดีตพนักงานที่เตรียมตัวเป็นอย่างดีสำหรับการใช้ชีวิตหลังเกษียณ ทั้งนี้
ผมได้เขียนเรื่องราวของพี่วิทย์ใน Weekly Mail ฉบับวันที่ 26 สิงหาคม 2567 ซึ่งพี่วิทย์ใฝ่ฝันว่าจะซื้อรถบ้าน (Recreational vehicle: RV) เพื่อท่องเที่ยวทั่วไทยแบบค่ำไหนนอนนั่น ผมไม่รีรอที่จะโทรไปหาพี่วิทย์ที่อยู่ต่างทวีป ต่างเวลา ก่อนที่จะดึกเกินไป “มีอะไรให้ผมช่วยเหลือหรือครับ?”
พี่วิทย์ยังไม่ทิ้งลายของการเป็นผู้ให้ “ไม่ใช่ครับผมอยากทราบว่า พี่ไปทำอะไรที่ออสซี่ต่างหาก” ผมตอบกลับไปให้คลายกังวล พี่วิทย์จึงเริ่มเกริ่นนำว่า ตนเองไม่เคยเปลี่ยนแปลงเป้าหมายที่จะซื้อรถบ้านเพื่อท่องเที่ยวทั่วไทย แต่คิดว่าชีวิตหลังเกษียณเป็นชีวิตที่ได้รับการปลดปล่อย มีความเป็นอิสระโดยเฉพาะในเรื่องเวลา ไม่มีกรอบกติกามากำหนดเหมือนในช่วงวัยเด็ก หรือช่วงทำงาน ดังนั้น ในช่วงเวลานี้ที่กายและใจยังพร้อม จึงอยากจะทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้ หาความสุขให้ชีวิตในวันนี้เพราะเราไม่ทราบว่า วันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น
ความคิดที่จะมาท่องดินแดนออสซี่เกิดขึ้นภายหลังไปดูรถบ้านในงานมอเตอร์โชว์ แต่ไม่ตอบโจทย์ มีรถมาแสดงเพียง 2 คัน เลยกลับมาศึกษาจึงพบว่า หากจะมองหารถบ้านที่ดีมีคุณภาพ ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปดูที่ประเทศสหรัฐฯ หรือออสเตรเลีย จึงปักหมุดไว้ที่ออสเตรเลียเพราะมีหลานทำงานอยู่ที่เมืองบริสเบน ซึ่งหลานก็ดีใจหาย จัดการกรอกใบสมัครวีซ่าและซื้อตั๋วเครื่องบินให้พร้อมเสร็จ
พี่วิทย์เล่าต่อว่า ไม่ได้มีแผนการเดินทางแบบสำเร็จรูปเหมือนกับที่ทุกคนทำกัน มีแผนแค่ไปให้ทันวันงานมอเตอร์โชว์ที่นครซิดนีย์ตอนต้นเดือนพฤษภาคม และเมืองบริสเบนในช่วงต้นมิถุนายน นอกนั้น ไปผจญภัยเอาข้างหน้า ออกเดินทางในวันที่ 27 เมษายน สู่นครซิดนีย์ แต่ตั๋วเครื่องบินขากลับยังไม่ระบุวันเพราะได้วีซ่าท่องเที่ยวถึง 1 ปี หอบจักรยานคู่กาย 1 คันพร้อมกระเป๋า 2 ใบ ใบหนึ่งใส่เสื้อผ้า อีกใบหนึ่งใส่กล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ และเมื่อถึงสนามบินนครซิดนีย์ คนแรกที่เจอหนีไม่พ้นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่ทำสีหน้าเข้มให้คนเกรงกลัว แต่พี่วิทย์กลับใช้ยุทธการ “ยิ้มสยาม” พร้อมพูดเสียงดังฟังชัดว่า “I come from Thailand. This is my first time here. My English is no good” เป็น 3 ประโยคที่พี่วิทย์ใช้พูดกับคนออสซี่ที่เจอะเจอกันครั้งแรกตั้งแต่วันนั้น เจ้าหน้าที่ผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมายิ้มและบอกว่าไปเที่ยวเมืองไทยหลายครั้ง ชอบมาก และเป็นที่มาของบทสนทนาอีกร่วม 10 นาที จนคนเข้าแถวข้างหลังเริ่มหงุดหงิด ไม่ทราบว่า ใครเข้าเมืองใครกันแน่
เมื่อก้าวออกจากสนามบินพบกับเจ้าหน้าที่สนามบินชาวอินเดีย คุยกันไปคุยกันมาทราบว่า แม่เป็นคนไทยอาสาจะพาไปส่งถึงที่พักที่ห่างจากสนามบินถึง 30 กิโลเมตร แต่ปฏิเสธด้วยความเกรงใจเพราะเป็นรถเล็ก ตัดสินใจนั่งแท็กซี่ไปถึงที่พักแบบ Airbnb อยู่ย่านพารามัตตา (Parramatta) ชานเมืองนครซิดนีย์ เจ้าของแบ่งห้องให้เช่า แถมดีใจหาย พาไปแนะนำตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น สถานีรถไฟและซูเปอร์มาร์เก็ต ให้คุ้นเคยกับการต้องอาศัยอยู่ละแวกนั้น และด้วยคติไทยที่บรรพบุรุษท่านสั่งสอนไว้ว่า “อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัว ปั้นควายให้ลูกท่านเล่น” พี่วิทย์จึงตื่นขึ้นมาช่วยทำความสะอาดภายในบ้าน พร้อมเก็บขยะไปทิ้งทุกเช้าก่อนขี่จักรยานคู่ใจไปเที่ยวรอบเมือง
ด้วยความเป็นคนช่างพูด นิสัยชอบช่วยเหลือผู้อื่น จึงไม่แปลกใจที่พี่วิทย์บอกว่า “ตั้งแต่ผมมาที่นี่ โชคดีมากพบเจอแต่คนที่คอยช่วยเหลือตลอดเวลา” ทำความรู้จักคนไปทั่วเมือง แม้กระทั่งร้านกล้องถ่ายรูป Leica ในห้างหรู Queen Victoria คุยกันถูกคอกับคนขายจนให้สัมผัสและลองกล้องราคาเป็นแสนแบบไม่หวงห้าม และเมื่อปั่นจักรยานไปตลาดปลา พบกับชายชาวออสซี่คนหนึ่งที่ชื่นชอบจักรยานที่ขี่มามาก “ผมเข้าไปในตลาดเพื่อถ่ายภาพพักใหญ่ เมื่อออกมา เขายังไม่ไปไหนบอกว่า ยืนเฝ้าจักรยานให้ผม”

พี่วิทย์กล่าวต่อว่า ตนเองไม่เขินอายที่จะพูดภาษาอังกฤษแบบกระท่อนกระแท่น เพียงแต่ให้แน่ใจว่า มีคำที่สื่อความหมายได้ ในขณะเดียวกัน ตอนฟังเพียงจับคำสำคัญ ๆ ให้ได้ แต่หากเหลือบ่ากว่าแรงจริง ๆ จึงใช้กูเกิล ทรานสเลท เรียกว่า ขอให้มีใจกล้า เอาตัวรอดได้แน่
พี่วิทย์ได้เข้าไปดูงานมอเตอร์โชว์ 2 วันเต็ม ที่นครซิดนีย์แบบสมใจอยาก ได้เห็นรถบ้านหลายรุ่น หลายรูปแบบ มีอุปกรณ์ครบครัน เหมือนกับยกบ้านหลังหนึ่งมาไว้บนรถที่เคลื่อนได้ ได้ถ่ายรูปไว้แทบทุกคัน และหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้นำกลับมาออกแบบรถบ้านของตนเองที่เมืองไทย

หลังจากงานมอเตอร์โชว์ พี่วิทย์ไม่มีแผนเดินทางแน่นอน ทราบแต่เพียงว่า ต้องไปถึงเมืองบริสเบนให้ทันงานมอเตอร์โชว์ที่นั่นในต้นเดือนมิถุนายน ยังไม่ทันจะวางแผน เจ้าของบ้าน Airbnb บอกว่า สามารถอาศัยต่อได้อีก 10 วัน โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเพราะเห็นว่า ในช่วงที่อยู่มาพี่วิทย์ช่วยเหลือทำความสะอาดบ้าน ติดกล้องวงจรปิดภายในบ้าน แถมถ่ายรูปเจ้าของบ้าน ใส่กรอบติดให้ที่ฝาผนังบ้านเสร็จสรรพ เจ้าของบ้านจึงติดอกติดใจ อยู่อาศัยกันแบบเป็นเพื่อนบ้านมากกว่า พร้อมทำอาหารให้ทานทุกเช้าเย็น

พอใกล้ถึงวันเดินทางไปบริสเบน เจ้าของบ้านถามว่า ทำไมไม่ขึ้นเครื่องบินไป เพราะระยะทางไกลถึง 900 กิโลเมตร พี่วิทย์บอกว่า จะเดินทางโดยรถไฟเพราะอยากเห็นวิวทิวทัศน์ระหว่างทาง ทำให้เจ้าของบ้านแนะนำว่า ควรเช่ารถบ้านขับไปจะดีกว่า ซึ่งพี่วิทย์ไม่ได้คิดไว้ตั้งแต่ต้น เรียกว่าเข้าทาง ไม่รอช้า ออกไปเช่ารถบ้านแบบ 7 วัน หลังจากอยู่ที่นครซิดนีย์กว่าเดือน ก่อนออกเดินทางเป็นระยะทางถึง 2,000 กิโลเมตร แบบแวะไปตลอดเส้นทาง ค่ำไหนนอนนั่น พร้อมกับการผจญภัยทั้งจากน้ำท่วม ถนนถูกตัดขาด ขับรถหลงเข้าไปในป่า ไฟดับ ซึ่งจะได้นำมาเล่าสู่กันฟังใน Weekly Mail สัปดาห์หน้าครับ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา