
"...วิกฤติประชาธิปไตย คือ พรรคการเมืองไทยไม่ได้ตอบสนองต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย พรรคการเมืองไทยไม่ได้ต่อสู้ตรงไปตรงมาเพื่อสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคและผลประโยชน์สาธารณะ แต่เป็นพรรคการเมืองของนายทุน ไม่ว่าจะเป็นนายทุนน้อย นายทุนใหญ่ และคนที่เข้ามาเล่นการเมืองเพื่อหวังหากินกับงบประมาณของประเทศ..."
ขณะที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่วิกฤติที่ประดังเข้ามาหลายด้าน จากเศรษฐกิจทรุด ไปจนถึงมรสุม “คลิปหลุดการเมืองการทหาร” ภาคแรก
นัยว่าอาจมีภาคสองที่รุนแรงกว่า!! เพราะฮุน เซน เริ่มเผยออกมาแล้วว่า “นักการเมืองไทย” ผู้ยิ่งใหญ่!! ไปลงทุนทำอะไรและทิ้งทรัพย์สินเทา ๆ ไว้..
ข่าวของสำนักข่าวอังกฤษ สหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย ยิ่งสะท้านโลก!! ระบุอย่างเจาะจงว่ามีนักการเมืองไทยชื่ออะไรไปลงทุนในบ่อนกัมพูชา ส่วนผู้ทรงอำนาจในกัมพูชาเอง ก็พัวพันกับการ ฟอกเงินระดับโลก เช่น กรณีบริษัทฮุยวัน เพย์ (Huione Pay) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของฮุยวันกรุ๊ป (Huione Group)
แม้ว่ารัฐบาลกัมพูชาจะรีบชิงถอนใบอนุญาตฮุยวัน เพย์เพื่อไม่ให้พัวพันกับรัฐบาล แต่ฮุยวัน เพย์ได้ขยายเครือข่ายไปไกลจนมีขาประจำเหนียวแน่นแล้ว
ฮุยวัน เพย์--บริการรับฟอกเงิน ฉ้อโกงทั้งเงินจริงและเงินดิจิทัล มีเครือข่ายยุบยับทั้งในประเทศกัมพูชาเองและเครือข่ายชายแดนไทย-ลาวและ KK Park เมืองเมียววดี เมียนมาร์ และโยงใยเข้าหาศูนย์กลางอำนาจในกัมพูชา สร้างเงินและสร้างอำนาจให้กับผู้ปกครองและบริวาร..
เงินเหล่านี้ล้วน “สีเทา” แต่สามารถนำมาฟอกย้อมให้เป็น “สีขาว” โดยการผ่องถ่ายไปลงทุนในธุรกิจและการค้าที่ถูกกฎหมาย..
เพียงระยะเวลาไม่นานที่ฮุน เซน เปิดเผยคลิปหลุด รัฐบาลไทยตอบโต้ว่า กัมพูชาเป็นแหล่งฟอกเงินระดับโลก
อันแสดงว่าโลกการเมืองและการค้าธุรกิจการพนัน การหลอกลวงแถวนี้กลายเป็น “สีเทา” หมดแล้ว –มิน่านักการเมืองไทยถึงเอาเป็นเอาตายกับการผลักดันบ่อนการพนันถูกกฎหมาย..
โชคดีที่มีคลิปหลุดโทรศัพท์ของนายกรัฐมนตรีไทยกับฮุน เซน –เผยโฉมให้คนเห็นข่าวสารการเมืองที่รอบด้านและมองเห็น “สีเทา” ชัดเจน..
ผู้นำรัฐบาลไทยพูดว่า “ทหารเป็นฝ่ายตรงกันข้าม”—ถึงแม้จะทำน้ำตาคลอแล้วรีบกลับลำ “ลูบหลัง” ทหาร --แต่ก็ดูเหมือนยังสะกดว่า “ความพร้อมรับผิด” และ “จริยธรรมทางการเมือง” ไม่เป็น
คนในรัฐบาลไทยช่วยแก้เกมโดยไปแจ้งความเอาผิดกับฮุน เซน --แต่คนดูหัวร่อท้องคัดท้องแข็ง แค่ฮุน เซน เปิดห้องนอนสีชมพูให้ดู—ก็มีคนหนาวจนสั่นสะท้านทรวงแล้ว!!
แต่ท่ามกลาง “ความไม่รู้เหนือรู้ใต้” ของนายกรัฐมนตรี ที่สร้างปัญหาให้กับประเทศนั้น พรรคการเมืองไทยน่าจะยิ่ง “ไม่รู้สี่รู้แปด” ยิ่งกว่า!!
พูดง่าย ๆ ว่า ใครว่านายกรัฐมนตรีไทยไม่ได้เรื่องแล้ว ----ยังปรากฏว่า “พรรคการเมืองไทย” ห่วยกว่าอีก!!
“พรรคประชาธิปัตย์” เหมือนทีมฟุตบอลระดับพรีเมียร์ลีกที่เคยได้แชมป์มานับไม่ถ้วน แต่อันดับตกลงเรื่อย ๆ จากพรีเมียร์ มาดิวิชั่นหนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า..ตอนนี้อยู่ดิวิชั่นแปด!!
เถ้าแก่ที่มาลงทุนในทีม คล้ายกับพวก “เกลเซอร์” ของทีมแมน ยู --ไม่มีตังค์ไม่ว่า ยังไปกู้เขามาลงทุน แล้วก็หวังว่าทีมจะมีมูลค่าสูงขึ้น!!
แถมได้ “ผู้อำนวยการทีม” มาจากพวกทุนน้อยด้วยกัน --พอเห็นทีมอื่นเขามีเงินมากก็ตาโต—วาดหวังไปเรื่อย ๆ ว่า “คงจะขายทีมได้เงินก้อนใหญ่สักวัน!!”
“มันไม่ได้กินอุดมการณ์และมีความเป็นสถาบันเก่าแก่” เหมือนเรา—ประโยคนี้เถ้าแก่บอก “พวกแมนยู” ท่องเอาไว้เพื่อปลอบใจตัวเอง!!
ขณะที่สถานการณ์การเมืองวันนี้นายกรัฐมนตรีเพลี่ยงพล้ำ เพราะโค้ชวางแผนผิด --เอาตัวผู้เล่นขาดทักษะและไม่รู้ตำแหน่งลงเล่น เลยยืนผิดตำแหน่งไปหมด—ให้เป็น “กองหน้า” เพื่อยิงประตู --ดันไปเล่นเป็น “กองหน้าตัวรับ” เหมือนฮอยลุนด์!! –สร้างแต่ปัญหา—แถมพูดจาไม่รู้เรื่อง..
ประชาธิปัตย์แทนที่จะรีบตัดสินใจตามกระแส.. ตักตวงเอาคะแนนจากจุดยืนของการมีอุดมการณ์เพื่อประชาธิปไตย เพื่อว่าจะได้ตัดสินใจทำอะไรได้ถูกตามสถานการณ์กับเขาบ้าง-- กลับประชุมทำงุบ ๆ งิบ ๆ –--ส่งทีมโฆษกออกมาให้สัมภาษณ์
นักข่าวถามอะไรก็ตอบไม่ได้ พูดไปพูดมาสรุปว่า “ให้รอการแถลงการณ์เป็นหนังสือจากพรรคอย่างเดียว”—โฆษกอย่างนี้มันจะทำให้พรรคได้คะแนนตอนกี่โมง..!!
เถ้าแก่แกก็คนเก่า ความคิดก็เก่า ๆ จนในที่สุดประกาศว่า--ยืนหยัดที่จะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลต่อไป เพื่อรักษาระบอบรัฐสภาเอาไว้ แต่ขอให้รัฐบาลมีจุดยืนชัดเจนเรื่องการรักษาอธิปไตยของชาติ ทบทวนบทบาทและท่าทีกับกัมพูชา และรับฟังเสียงประชาชน..
ที่จริงคือ อยากเป็นรัฐบาลต่อ แต่พูดไปงั้น ๆ คนไทยรู้กันหมดแล้วว่ารัฐบาลมีท่าทีกับกัมพูชาชัดเจนมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว คนที่มีบทบาทรักษาอธิปไตยตามชายแดนของชาติตัวจริง คือ ทหาร ไม่ว่ารัฐบาลชุดไหน ทหารนั่นแหละคือคนที่แสดงท่าทีที่ชัดเจนกับกัมพูชา!! เพราะเขารักษาพื้นที่อธิปไตยของชาติและรู้ข้อมูลดีที่สุด..
เพียงแต่ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาที่ปะทุขึ้นมาเวลานี้ --ก็เพราะกัมพูชาเขานำเอามาเล่นเป็นประเด็นทางการเมืองระหว่างประเทศ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของรัฐบาลกัมพูชาจากความเกี่ยวโยงกับธุรกิจสีเทา และแก้ปัญหาความนิยมจากการเลือกตั้งที่จะมาถึง ส่วนแผนที่และการปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชาเป็นปัญหาที่ไม่มีทางแก้ไขได้—ต่างฝ่ายต่างอ้างคนละฉบับมาตลอด—หากฝ่ายใดไปยอมรับแผนที่ของอีกฝ่ายหนึ่งก็บ้าแล้ว!!
ปัญหาการเมืองไทยเข้าสู่จุดตกต่ำถึงขีดสุด เพราะนายกรัฐมนตรีไทยไปคุยทางโทรศัพท์ส่วนตัวกับฮุน เซน แล้วถูกฮุน เซน เอามาเปิดโปง นายกรัฐมนตรีไทยไปเรียกเขาว่า “ลุง” และเรียกตัวเองว่า “หลาน” แล้วก็ด่าทหารให้เขาฟัง โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีไทยด่าแม่ทัพภาค 2 ของตัวเองว่าเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับ “เรา” ที่อยากเท่
สุดท้ายยังบอกฮุน เซน ว่า “หากอยากได้อะไรก็บอกมา จะจัดการให้” ในทางการทูตก็เหมือนเป็นการเจรจาที่ไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ที่สำคัญอย่างยิ่งยวดของชาติ—น่าจะเฉียด ๆ กับข้อหาการขายชาติหรือเป็นกบฏ อย่างที่มีคนไปแจ้งความร้องทุกข์..
แต่อย่างน้อยที่สุด การพูดโทรศัพท์ของนายกรัฐมนตรีเป็นหลักฐานที่แสดงความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของคนที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นถึงนายกรัฐมนตรีก็ไม่ควรไปพูดอย่างนั้น อย่างน้อยที่สุดต้องผิดจริยธรรมการเมือง ส่วนอย่างมากก็เป็นความผิดเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตและความผิดอาญาเกี่ยวกับความมั่นคง ซึ่งคงต้องว่าไปตามลำดับขั้นตอน
ย้อนกลับมาปัญหาของพรรคประชาธิปัตย์ ยังสะท้อนให้เห็นถึงวิกฤติของพรรคการเมืองไทยทั้งระบบ อันได้แก่ วิกฤติประชาธิปไตยและวิกฤติผู้นำ
วิกฤติประชาธิปไตย คือ พรรคการเมืองไทยไม่ได้ตอบสนองต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย พรรคการเมืองไทยไม่ได้ต่อสู้ตรงไปตรงมาเพื่อสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคและผลประโยชน์สาธารณะ แต่เป็นพรรคการเมืองของนายทุน ไม่ว่าจะเป็นนายทุนน้อย นายทุนใหญ่ และคนที่เข้ามาเล่นการเมืองเพื่อหวังหากินกับงบประมาณของประเทศ..
ส่วนวิกฤติผู้นำ เห็นได้ชัดว่า พรรคการเมืองไทยขาดผู้นำทางการเมืองที่มีความรู้ความสามารถและมีอุดมการณ์ที่มุ่งเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น นักการเมืองไทยฉ้อฉลและเชื่อถือไม่ได้ ขาดความรับผิดชอบต่อสาธารณะ และสามารถหักหลังประชาชนได้ตลอดเวลา..
ขณะที่ระบบการตรวจสอบการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต. ก็ตั้งขึ้นมาโดยเปล่าประโยชน์ เป็น “เป็ดง่อย” --การซื้อเสียงจึงมีดาษดื่นและแพร่กระจายออกไปเรื่อย ๆ อย่างกว้างขวาง—คนรู้ว่ามีการซื้อเสียงอยู่ทั่วทุกหัวระแหง—แต่ กกต. รู้จักคำเดียว คือ “บริสุทธิ์ยุติธรรม”
วิกฤติ กกต. เป็นตัวอย่างของวิกฤติขององค์กรอิสระของประเทศไทย จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทบทวน “เป็ดง่อย” เหล่านี้ ตัวอย่างเช่น กรณีของประเทศเนเธอร์แลนด์ที่ปัจจุบันได้ยกเลิกองค์กรอิสระทั้งหมด และหันมาปฏิรูประบบการตรวจสอบโดยการออกแบบใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ความล้มเหลวของพรรคการเมืองไทยอย่างเช่นประชาธิปัตย์ มีผลทำให้การเมืองไทยไร้เสถียรภาพและขาดธรรมาภิบาล เกิดกลุ่มย่อยหรือ “มุ้ง” ในพรรคการเมืองจำนวนมาก และเกิดการรวมกลุ่มเป็นพันธมิตรกันเพื่อต่อรองทางการเมืองเป็นรัฐบาลเป็นครั้ง ๆ ไป จนกลายเป็นสภาพของปัญหาเชิงโครงสร้างที่เรื้อรังและแก้ไขได้ยากอย่างมาก
นักการเมืองไทยจึงมีสีเทา ๆ มากขึ้น ๆ ไม่แพ้การค้าและธุรกิจแถบชายแดน..
ปัญหาพรรคประชาธิปัตย์ จึงเป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่พรรคการเมืองไทยต้องเปลี่ยนแปลง ได้แก่
ประการแรก ต้องเปลี่ยนระบบการสรรหาผู้นำการเมืองใหม่ โดยเน้นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถซึ่งให้ความสำคัญกับความพร้อมรับผิดและความโปร่งใสเป็นอันดับแรก
ประการที่สอง ต้องสนับสนุนให้เกิดธรรมาภิบาลเพื่อสร้างหลักประกันให้กับระบบนิติธรรม เพื่อให้ระบบนิติธรรมได้ทำงานและมีความศักดิ์สิทธิ์ ถึงเวลาที่ระบบวิ่งเต้น-เส้นสายต้องหายไป องค์กรอิสระที่เป็น “เป็ดง่อย” สมควรยกเลิกทั้งหมด สร้างคนและหน่วยงานใหม่ที่ทุ่มเทและเอาจริงเอาจังมากกว่าพวกกินไวน์ ตีกอล์ฟไปวัน ๆ
ประการที่สาม เรียกร้องให้คนที่มีมโนธรรมสำนึกเข้าสู่ระบบการเมืองมากขึ้น เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายมากขึ้น โดยการหาทางสร้างระบบการจูงใจทางการเมืองที่ดีกว่าในปัจจุบัน
สุดท้ายสรุปว่า ปัญหาของพรรคประชาธิปัตย์คงจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์อ่อนแอและมีกำลังวังชาลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ๆ ส่วนประวัติศาสตร์และความเป็นสถาบันก็คงเป็นประวัติศาสตร์ที่ถูกกำลังถูกลบเลือนไปเรื่อย ๆ จากความทรงจำของผู้คนเช่นเดียวกัน..
เว้นเสียแต่ว่า “พวกเกลเซอร์” ยอมวางมือจากพรรคไป..!!

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา