
"...กล่าวโดยสรุป ในปัจจุบันที่ผู้เขียนเขียนบทความนี้ พืชกัญชาทุกส่วนที่ไม่ได้อยู่ในรูปสารสกัดยังไม่เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ที่การควบคุม กำกับ ดูแลจะอยู่ภายใต้ประมวลกฎหมายยาเสพติด กัญชาในส่วนของช่อดอกเป็นพืชสมุนไพรควบคุมที่ถูกควบคุม กำกับ ดูแล ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 และประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2568 ผู้เขียนเห็นด้วยอย่างยิ่งกับการออกประกาศมาเพื่อควบคุมไม่ให้มีการใช้กัญชาอย่างเสรีเพื่อความบันเทิง นันทนาการ จนนำไปสู่ปัญหาทางสังคมเพราะการใช้กัญชาในทางที่ผิด ปัญหาระหว่างประเทศที่มีการลักลอบส่งออกกัญชาไปยังประเทศในทวีปยุโรปเป็นจำนวนมากและนานาประเทศออกมาเรียกร้องให้ประเทศไทยกลับมาขึ้นบัญชีให้กัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษเช่นเดิม โดยประกาศฉบับนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้กัญชาไม่เสรีอีกต่อไป..."
กัญชาในส่วนของใบ ราก ลำต้น เมล็ด ช่อดอก ยังไม่มีสถานะเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เพราะยังไม่มีประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่ระบุให้กัญชาในส่วนของใบ ราก ลำต้น เมล็ด หรือช่อดอกกลับไปเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5
โดยปัจจุบันส่วนของพืชกัญชาที่กฎหมายกำหนดให้เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 นั้น ได้แก่ สารสกัดจากทุกส่วนของพืชกัญชาที่มีปริมาณสารเตรตราไฮโดรแคนนาบินอล(tetrahydrocannabinol, THC) เกินกว่าร้อยละ 0.2 โดยน้ำหนัก ไม่ว่าจะเป็นสารสกัดจากพืชกัญชาที่ปลูกในประเทศหรือที่อื่น และสารสกัดจากเมล็ดของพืชกัญชาที่ได้จากการปลูกนอกประเทศ ดังนั้น หากมีการครอบครอง จำหน่าย สารสกัดจากทุกส่วนของกัญชาที่ตรวจพบว่ามีปริมาณสารเตรตราไฮโดรแคนนาบินอล(tetrahydrocannabinol, THC) เกินกว่าร้อยละ 0.2 ก็จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติดมาตรา 29, 93, 148
เมื่อกัญชาในส่วนของใบ ราก ลำต้น เมล็ด ช่อดอก ไม่มีสถานะเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 การควบคุมกัญชาจึงควบคุมโดยการกำหนดให้ “ช่อดอกกัญชา” เป็นพืชสมุนไพรควบคุมตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 เพราะช่อดอกกัญชาเป็นส่วนที่ผู้เสพนิยมเสพมากกว่าส่วนอื่น ๆ ของต้นกัญชา และมักใช้เพื่อการนันทนาการมากกว่าทางการแพทย์
จึงมีการควบคุมโดยประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2565 ลงวันที่ 16 มิถุนายน 2565 โดยมีสาระสำคัญควบคุมให้กัญชา หรือสารสกัดจากกัญชา (ซึ่งเป็นพืชในสกุล Cannabis) เป็นสมุนไพรควบคุม และกำกับดูแลการใช้กัญชาและการห้ามจำหน่ายกัญชาให้กับบุคคลที่มีอายุต่ำกว่ายี่สิบปี สตรีมีครรภ์ หรือสตรีให้นมบุตร เป็นต้น ซึ่งหากมีการฝ่าฝืนประกาศกระทรวงสาธารณสุขจะมีโทษตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542
ต่อมากระทรวงสาธารณสุขเห็นว่าเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน ประกอบกับได้มีการปรับเปลี่ยนระบบการกำกับดูแลกัญชาจากยาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 5 จึงมีการควบคุมไม่ให้นำกัญชาเฉพาะส่วนที่เป็นช่อดอกไปใช้ในทางที่ผิดวัตถุประสงค์ของการคุ้มครองและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากสมุนไพร จึงปรับปรุงประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2565 ลงวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2565 และออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2565 ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 โดยประกาศฉบับนี้ได้ยกเลิกประกาศ ฯ ฉบับลงวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2565 โดยมีสาระสำคัญ คือ กำหนดให้กัญชา ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cannabis sativa L. วงศ์ Cannabaceae รวมทั้งชื่อวิทยาศาสตร์อื่น ๆ อันเป็นชื่อพ้อง เฉพาะส่วนของช่อดอกเป็นสมุนไพรควบคุม
และกำหนดให้ผู้ที่จะศึกษาวิจัย ส่งออก จำหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้ากัญชาเฉพาะในส่วนของช่อดอกต้องได้รับใบอนุญาต ตามมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 ซึ่งหากฝ่าฝืนมีโทษตามมาตรา 78 ระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และได้กำหนดเงื่อนไข สำหรับผู้ที่ได้รับใบอนุญาตไว้ตามข้อ 3 ซึ่งกำหนดเงื่อนไขห้ามจำหน่ายสมุนไพรควบคุมกัญชาเฉพาะในส่วนของช่อดอกให้กับผู้ที่มีอายุต่ำกว่ายี่สิบปี สตรีมีครรภ์หรือสตรีให้นมบุตร และนักเรียน นิสิต หรือนักศึกษาด้วย รวมทั้งห้ามจำหน่ายสมุนไพรควบคุมเพื่อการสูบกัญชาเฉพาะในส่วนของช่อดอกในสถานที่ประกอบการ
ต่อมาเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2568 เพื่อให้เกิดความเคร่งครัดและเข้มงวดในการใช้กัญชาในส่วนของช่อดอกที่เป็นสมุนไพรควบคุมมากขึ้น โดยเน้นให้นำไปใช้ทางการแพทย์มากกว่าเพื่อความบันเทิงและนันทนาการ ซึ่งประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2568 นี้ไม่ได้ปรับสถานะให้กัญชากลับไปเป็นยาเสพติด แต่ให้มีการควบคุมตั้งแต่การศึกษาวิจัย ส่งออก จำหน่าย แปรรูป รวมถึงการครอบครองมากขึ้น โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2568 ลงวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2568 จะมีผลใช้บังคับในวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
2. ยกเลิกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2565 ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565
3. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2568 กำหนดเฉพาะในส่วนของกัญชาซึ่งเป็นพืชในสกุล Cannabis วงศ์ Cannabaceae เฉพาะส่วนของ “ช่อดอก” เป็นสมุนไพรควบคุม ดังนั้น หากเป็นส่วนอื่นของกัญชา เช่น ราก ใบ ลำต้น เมล็ด ไม่ถือว่าเป็นสมุนไพรควบคุมที่ต้องดำเนินการตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2568
ข้อควรระวัง ถ้าเป็นกัญชาในรูปสารสกัดหรือยางกัญชาที่เป็นสารสกัดต้องพิจารณาปริมาณสารเตรตราไฮโดรแคนนาบินอล (tetrahydrocannabinol, THC) ด้วย เพราะอาจเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ได้
4. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2568 บัญญัติให้ผู้ที่จะทำการศึกษาวิจัย ส่งออก จำหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้าจะกระทำได้ เมื่อได้รับใบอนุญาตตามมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 หากฝ่าฝืนกระทำโดยไม่ได้รับอนุญาตจักมีโทษตามมาตรา 78 คือมีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
การขออนุญาตและการออกใบอนุญาตต้องดำเนินการตามประกาศกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เรื่อง กำหนดแบบตามกฎกระทรวงการอนุญาตให้ศึกษาวิจัยหรือส่งออกสมุนไพรควบคุม หรือจำหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า พ.ศ. 2559 ใบอนุญาตมี 3 ประเภท ได้แก่
- ใบอนุญาตให้ศึกษาวิจัยสมุนไพรควบคุม ตามแบบ ภ.ท.9
- ใบอนุญาตให้ส่งออกสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า ตามแบบ ภ.ท.10
- ใบอนุญาตให้จำหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า ตามแบบ ภ.ท.11
ใบอนุญาตทั้ง 3 ประเภท จะมีอายุ 3 ปี นับทุก ๆ วันสิ้นปีปฏิทินเป็นวันครบ 1 ปี ตามมาตรา 46 วรรคสาม
โดยผู้มีสิทธิขอรับใบอนุญาต สามารถเป็นได้ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล โดยมีหลักเกณฑ์ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงการอนุญาตให้ศึกษาวิจัย หรือส่งออกสมุนไพรควบคุมหรือจำหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า พ.ศ. 2559 และให้ยื่นต่อนายทะเบียนของกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกกระทรวงสาธารณสุขหรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด หรือหน่วยงานของรัฐตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดซึ่งตามประกาศ ฯ ในข้อ 4 ได้กำหนดเงื่อนไขที่ให้ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดและเป็นเงื่อนไขที่กำกับดูแลสมุนไพรควบคุม ช่อดอกกัญชา อย่างเคร่งครัด ดังนี้
(1) - (2) ผู้รับใบอนุญาตให้ศึกษาวิจัย ส่งออก จำหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า ต้องจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งที่มา การนำไปใช้ และจำนวนที่เก็บไว้ ณ สถานประกอบการ และให้รายงานข้อมูลนั้นต่อนายทะเบียนตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด โดยแบบรายงานที่ต้องดำเนินการจะเป็นไปตามประกาศกรมการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก เรื่อง กำหนดแบบตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องสมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2565 แบบรายงานที่กำหนดไว้ ตามประกาศจะมีทั้งหมด 6 ประเภท กล่าวคือ แบบรายงานข้อมูลแหล่งที่มาและจำนวนที่เก็บไว้ของสมุนไพรควบคุม แบบการรายงานข้อมูลการนำไปใช้สมุนไพรควบคุม (กัญชา) แบบการรายงานข้อมูลการนำไปใช้กรณีแปรรูปและจำหน่ายสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า แบบการรายงานผลการนำไปใช้ กรณีศึกษาวิจัยสมุนไพรควบคุม (กัญชา) แบบการรายงานข้อมูลการนำไปใช้ ณ สถานประกอบการ กรณีส่งออกสมุนไพรควบคุมและแบบการแจ้งรายละเอียดการส่งออกสมุนไพรควบคุมรายครั้ง (กัญชา) ซึ่งการควบคุมการแจ้งตามแบบรายงานเป็นไปตามมาตรา 45 และเมื่อผู้รับใบอนุญาตตามมาตรา 46 ไม่ปฏิบัติตามความที่กำหนดในพระราชบัญญัติ ฯ ก็จะมีโทษตามมาตรา 52 หนักถึงขั้นพักใช้ใบอนุญาตครั้งละ 90 วัน และมีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 78
นอกจากนี้ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตตามมาตรา 46 ก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดด้วย ไม่สามารถอ้างว่าตนไม่อยู่ภายใต้บังคับของประกาศฉบับนี้
(3) ผู้รับใบอนุญาตให้จำหน่ายหรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า ต้องจำหน่ายสมุนไพรควบคุมให้กับผู้รับใบอนุญาตตามมาตรา 46 เท่านั้น แต่ตามเงื่อนไขข้อนี้ให้ยกเว้นให้กับการจำหน่ายสมุนไพรควบคุมให้กับบุคคลใด ๆ ที่มีใบสั่งจ่ายโดยผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรมผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ และหมอพื้นบ้านตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาการแพทย์แผนจีน ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบโรคศิลปะ ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเภสัชกรรม และผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม ตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพทันตกรรม เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ จึงกล่าวได้ว่าประกาศ ฯ นี้บังคับให้ผู้ที่จะซื้อสมุนไพรควบคุมต้องเป็นผู้ได้รับอนุญาตตามมาตา 46 ด้วย แต่มีข้อยกเว้นว่า ผู้รับใบอนุญาต สามารถจำหน่ายสมุนไพรควบคุมให้กับบุคคลที่ไม่ได้รับใบอนุญาตได้เฉพาะ บุคคลที่มีความจำเป็นจะต้องใช้สมุนไพรควบคุมทางการแพทย์ได้ โดยต้องมีใบสั่งจ่ายจากผู้ประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวกับทางการแพทย์ตามที่ประกาศกำหนด รวมทั้งจำนวนหรือปริมาณที่จะมีในครอบครองได้ก็ต้องเป็นไปตามความจำเป็นเพื่อการรักษาตัวในปริมาณที่ใช้ได้ไม่เกินสามสิบวัน แสดงให้เห็นว่าประกาศ ฯ นี้ มุ่งเน้นให้นำสมุนไพรควบคุมไปใช้เพื่อประโยชน์ในการรักษาพยาบาลและทางการแพทย์ (ตามวรรคสองและวรรคสามของข้อ 4 (8))
(4) การจำหน่ายและส่งออกสมุนไพรควบคุมของผู้ได้รับใบอนุญาตต้องมาจากแหล่งที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยวที่ดีจากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เช่น สำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติจังหวัดลำปาง สำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติจังหวัดบุรีรัมย์ หรือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน เป็นต้น ตามประกาศข้อนี้คือมุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการที่จำหน่ายและส่งออกสมุนไพรควบคุม (กัญชา) ต้องนำสมุนไพรควบคุม (กัญชา) มาจากแหล่งผลิตภายในประเทศที่มีมาตรฐานและคุณภาพเพื่อรักษามาตรฐานของสมุนไพรควบคุม (กัญชา) ให้มีคุณภาพและราคาอันเป็นการส่งเสริมให้สมุนไพรควบคุม (กัญชา) เป็นพืชทางเศรษฐกิจและสร้างรายได้ ป้องกันการลักลอบนำสมุนไพรควบคุม (กัญชา) มาจากแหล่งปลูกที่ไม่ได้มาตรฐานหรือมาจากนอกราชอาณาจักร เนื่องจากภายหลังที่ยกเลิกกัญชาไม่เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบกัญชาที่ลักลอบนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านจำนวนมาก หากไม่กำหนดแหล่งที่มาของพืชสมุนไพรควบคุม (กัญชา) และนำไปใช้รักษาผู้ป่วยหรือทางการแพทย์อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ใช้ได้
(5) ห้ามจำหน่ายสมุนไพรควบคุมเพื่อการสูบในสถานที่ประกอบการ เว้นแต่การจำหน่ายโดยผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรมผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์และหมอพื้นบ้านตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์แผนจีน ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบโรคศิลปะและผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพทันตกรรมที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยของตน โดยเงื่อนไขข้อนี้เป็นเงื่อนไขที่สำคัญมากที่สุดในประกาศฉบับนี้ และส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการร้านคาเฟ่กัญชาที่มีอยู่อย่างแพร่หลายในประเทศเพราะห้ามไม่ให้มีการสูบสมุนไพรควบคุม (กัญชา) ในสถานที่ประกอบการหรือตามคาเฟ่กัญชาที่ตั้งอยู่ตามถนนต่าง ๆ เช่น สุขุมวิท เอกมัย สีลม รวมทั้งสถานบันเทิง โดยหากมีผู้ต้องการสูบในสถานที่ประกอบการดังกล่าวจักต้องมีแพทย์หรือผู้ประกอบวิชาชีพเกี่ยวกับแพทย์แผนไทยเป็นผู้จำหน่ายให้เพื่อสูบในสถานที่ประกอบการและต้องเป็นการใช้เพื่อการรักษาผู้ป่วยของตนด้วย ซึ่งกรณีที่แพทย์ฝ่าฝืนไปจำหน่าย โดยไม่ได้ใช้เพื่อการรักษาผู้ป่วยแต่เป็นการที่แพทย์ไปประจำเพื่อคอยจำหน่ายให้แก่ผู้ที่ต้องการสูบถือเป็นการฝ่าฝืนต่อประกาศและจะมีความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 และจรรยาบรรณของแพทย์ด้วย
นอกจากนั้นตามประกาศข้อ (6 - 8) ยังเป็นไปตามหลักการของประกาศฉบับเดิมที่ห้ามไม่ให้จำหน่ายสมุนไพรควบคุม (กัญชา) ผ่านทางเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ ห้ามจำหน่ายผ่านทางช่องทางอิเล็กทรอนิกส์หรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เช่น ทาง Facebook, IG, TIKTOK หรือทางแอปพลิเคชั่นขายของทางแพลตฟอร์มต่าง ๆ ด้วย ห้ามทำการโฆษณาสมุนไพรควบคุม (กัญชา) ทุกช่องทางเพื่อการค้า รวมทั้งห้ามจำหน่ายสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้าในวัดหรือสถานที่ปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา หอพัก สวนสาธารณะ สวนสัตว์ และสวนสนุก
ซึ่งนอกจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2568 ทางกระทรวงสาธารณสุขยังมีแนวโน้มที่จะออกกฎกระทรวงเพื่อมาควบคุมการขออนุญาต การแจ้งแบบรายงานให้มีความเคร่งครัดและบังคับใช้อย่างเป็นระบบเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาไม่ให้มีการใช้เสรีและตรวจสอบได้ง่าย และเป็นระบบมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีแนวคิดที่จะนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ซึ่งหากต้องการให้ทุกส่วนของกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ก็สามารถทำได้ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 29 วรรคสอง “...การระบุชื่อยาเสพติดให้โทษว่ายาเสพติดให้โทษชื่อใดอยู่ในประเภทใดตามวรรคหนึ่ง (1) (2) (4) และ (5) และการเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงชื่อหรือประเภทยาเสพติดให้โทษดังกล่าวให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ป.ป.ส. ประกาศกำหนด” ซึ่งอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ส. นี้เป็นไปตามมาตรา 5 (4) กรณีนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขต้องเสนอให้กัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 และนำเสนอให้คณะกรรมการ ป.ป.ส. ให้ความเห็นชอบ ตามกฎหมายจึงกล่าวได้ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะประกาศให้กัญชากลับไปเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ได้ ต้องดำเนินการตามที่ประมวลกฎหมายยาเสพติดกำหนดเท่านั้น
กล่าวโดยสรุป ในปัจจุบันที่ผู้เขียนเขียนบทความนี้ พืชกัญชาทุกส่วนที่ไม่ได้อยู่ในรูปสารสกัดยังไม่เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ที่การควบคุม กำกับ ดูแลจะอยู่ภายใต้ประมวลกฎหมายยาเสพติด กัญชาในส่วนของช่อดอกเป็นพืชสมุนไพรควบคุมที่ถูกควบคุม กำกับ ดูแล ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 และประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2568 ผู้เขียนเห็นด้วยอย่างยิ่งกับการออกประกาศมาเพื่อควบคุมไม่ให้มีการใช้กัญชาอย่างเสรีเพื่อความบันเทิง นันทนาการ จนนำไปสู่ปัญหาทางสังคมเพราะการใช้กัญชาในทางที่ผิด ปัญหาระหว่างประเทศที่มีการลักลอบส่งออกกัญชาไปยังประเทศในทวีปยุโรปเป็นจำนวนมากและนานาประเทศออกมาเรียกร้องให้ประเทศไทยกลับมาขึ้นบัญชีให้กัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษเช่นเดิม โดยประกาศฉบับนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้กัญชาไม่เสรีอีกต่อไป
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก cimjournal.com

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา