"...ประเด็นแรก การเป็นเป็ดง่อยจากคดีความ (The lame-duck cases stemmed from a lawsuit filed in court) ทั้ง “ทักษิณ” และ “นายกรัฐมนตรีแพรทองธาร” กำลังเป็นเป็ดง่อยจากการถูกฟ้องร้องอยู่ในศาล สำหรับคดีความของทักษิณมีวันนัดแล้ว ศาลนัดฟังคำพิพากษาในคดี 112 และนัดฟังคำสั่งการบังคับคดีตามคำพิพากษาอีกหนึ่งคดี ใกล้ปลายสิงหาคมกับต้นกันยายน 2568 ตามลำดับ..."
คำว่า “เป็ดง่อย” (lame duck) ความหมายตรงตัว คือ เป็ดเป็นง่อย ได้แก่ เป็ดที่เดินกะโผกกะเผก ทำนองว่าจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ เมื่อนำเอามาเปรียบเปรยกับรัฐบาล เรียกกันว่า “รัฐบาลเป็ดง่อย” (lame duck government) หมายถึงรัฐบาลใกล้สิ้นวาระหรือสิ้นสุดด้วยเหตุอื่น
คำนี้เกิดขึ้นครั้งแรกจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกาในครั้งที่ 20 ปี ค.ศ. 1933 หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “the lame duck amendment” เพื่อเปลี่ยนการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีจากเดือนมีนาคม มาเป็นเดือนมกราคม เป็นการร่นเวลาการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีให้เร็วขึ้นอีกสองเดือน จนมีผลจนปัจจุบัน หลังจากที่เลือกตั้งประธานาธิบดีเสร็จเรียบร้อยมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา เพื่อไม่ให้มีช่องว่างของประธานาธิบดีรักษาการแทนที่นานเกินไป เพราะช่วงรักษาการแทนดังกล่าวเป็นช่วงเป็ดง่อย ประธานาธิบดีรักษาการแทนทำอะไรไม่ได้มาก และกลไกการบริหารประเทศหยุดชะงักไปนานสองเดือน เพราะกำลังรอประธานาธิบดีคนใหม่มาเป็นประธานาธิบดีแทนคนรักษาการ
สำหรับบ้านเรา มีประเด็นให้ได้คิดเกี่ยวกับรัฐบาลเป็ดง่อยหลายประเด็น
ประเด็นแรก การเป็นเป็ดง่อยจากคดีความ (The lame-duck cases stemmed from a lawsuit filed in court) ทั้ง “ทักษิณ” และ “นายกรัฐมนตรีแพรทองธาร” กำลังเป็นเป็ดง่อยจากการถูกฟ้องร้องอยู่ในศาล สำหรับคดีความของทักษิณมีวันนัดแล้ว ศาลนัดฟังคำพิพากษาในคดี 112 และนัดฟังคำสั่งการบังคับคดีตามคำพิพากษาอีกหนึ่งคดี ใกล้ปลายสิงหาคมกับต้นกันยายน 2568 ตามลำดับ
จากคดีความสองคดีดังกล่าว คดีใดคดีหนึ่ง หรือทั้งสองคดี น่าจะทำให้ “ทักษิณ” ไม่ได้ไปต่อ โดยเฉพาะคดีหลัง ปรากฏข่าวต่อสาธารณะว่าการไต่สวนเป็นไปในทางไม่เป็นคุณกับทักษิณเท่าใด
ปัญหามีว่าถ้าหากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฟังได้ว่าทักษิณยังไม่ถูกจำคุกตามคำพิพากษา เพราะเรือนจำกับหมอและพยาบาล คบคิดกันว่าทักษิณป่วยหนักแล้วส่งไปรักษาโรงพยาบาลตำรวจ ทั้งที่ไม่เป็นความจริงและผิดขั้นตอน ทั้งยังอ้างว่าโรงพยาบาลตำรวจเป็นสถานที่คุมขังแทนเรือนจำพิเศษกรุงเทพ น่าคิดว่าในที่สุดแล้ว ต้นเดือนกันยายน 2568 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำสั่งศาลอย่างไร เพราะจะมีสองคดีซ้อนกัน
คดีแรก ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้วว่าให้จำคุกทักษิณและออกหมายบังคับคดีเป็นหมายจำคุกแล้ว ปัญหาอยู่ที่ทักษิณถูกจำคุกแล้วหรือยัง หากศาลเห็นว่าทักษิณยังไม่ถูกจำคุกตามหมายจำคุกของศาล ศาลจะสั่งให้ทักษิณกลับไปจำคุกอีกหรือไม่
หากเป็นเช่นนั้น การขอพักโทษของทักษิณก็น่าจะไม่ชอบด้วย เพราะยังไม่เข้าเงื่อนไขการขอพักโทษ เนื่องจากทักษิณยังไม่ได้ถูกจำคุกมาก่อน จึงไม่เข้าเกณฑ์การพักโทษ
ส่วนคดีที่สอง บรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐและหรือเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ช่วยกันพาทักษิณไปนอนโรงพยาบาลโดยอ้างว่าป่วยหนัก ก็คงเข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่มิชอบหรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่มิชอบ ไล่ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ชั้นผู้คุมไปจนถึงชั้นผู้อำนวยการเรือนจำ อธิบดีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และหมอกับพยาบาล
ส่วนทักษิณก็คงอยู่ในฐานเป็นผู้สนับสนุนให้เจ้าหน้าที่เหล่านั้นกระทำความผิด เพราะทักษิณมิใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐและเจ้าพนักงาน แต่ก็คงยากที่จะอ้างว่าทักษิณไม่ผิดอะไรเลย
เพราะการอ้างว่าทักษิณไม่รู้เห็นกับการช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่ดังกล่าว คงยากที่จะรับฟังได้
ส่วนนายกรัฐมนตรีแพทองธาร กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญในคดีคลิปเสียงโทรศัพท์กับฮุน เซน ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้กำหนดวันอ่านคำวินิจฉัย
แต่รับฟังจากเนื้อหาของคลิปเสียงแล้ว น่าจะมีน้ำหนักเข้าข่ายไม่ซื่อสัตย์สุจริตและผิดจริยธรรมร้ายแรงข้อที่ว่ากระทำตนไม่เหมาะสมแก่เกียรติศักดิ์ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ข้อต่อสู้ของนายกรัฐมนตรีแพทองธารที่ว่าฮุน เซน ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐกัมพูชา คงรับฟังได้ยาก เพราะปัจจุบันฮุน เซน เป็นประธานวุฒิสภา และเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลหมายเลขหนึ่งของกัมพูชา จนปัจจุบัน
ด้านข้ออ้างที่นายกรัฐมนตรีแพทองธารว่าไม่รู้ว่าถูกตนเองแอบอัดคลิปเสียง และไม่คิดว่าจะถูกเอามาเปิดโปง ก็คงรับฟังได้ยากอีกเช่นกัน เพราะตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งระดับสูงมากซึ่งต้องมีวิจารณญาณและการไตร่ตรองที่สูงกว่าวิญญูชนโดยทั่วไป ตัวนายกรัฐมนตรีย่อมรู้ดีว่าการคุยกันเช่นนั้นเป็นลักษณะการเจรจาความเมืองกับต่างประเทศ และเมื่อดำรงตำแหน่งสูงถึงขนาดนั้นนายกรัฐมนตรีก็ต้องรู้จักระมัดระวังคำพูดของตัวเอง
ประเด็นของคดีอยู่ที่คำพูดต่าง ๆ ที่นายกรัฐมนตรีแพทองธารพูดออกไปนั้นเหมาะสมกับฐานะผู้นำสูงสุดทางการบริหารของประเทศไทยหรือไม่ หรืออีกนัยหนึ่ง เป็นการกระทำที่เหมาะสมแก่เกียรติศักดิ์ตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยหรือไม่
ประเด็นที่สอง การเป็นเป็ดง่อย ไม่ได้มีเฉพาะรัฐบาล ยังมีสมาชิกสภานิติบัญญัติเป็ดง่อย (lame-duck legislators) อีกด้วย
สภาพของสมาชิกสภานิติบัญญัติเป็ดง่อย เห็นได้จากส.ส.ไม่ได้สนใจเข้าประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อนับจำนวนทีไร ไม่ครบองค์ประชุมทุกที ประธานสภาผู้แทนราฎรต้องรีบสั่งปิดประชุมมาแล้วอย่างน้อยสองครั้ง
กฎหมายที่รัฐบาลอ้างว่าสำคัญและเคยเลื่อนวาระให้นำมาพิจารณาก่อน เช่น กฎหมายเอ็นเทอร์เทนเม้นต์ คอมเพล็กซ์ รัฐบาลก็เสนอให้ชะลอออกไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด
ผลงานทางกฎหมายที่เป็นสาระสำคัญของสภาผู้แทนราษฎรจึงไม่ค่อยประจักษ์ชัดนัก ส.ส.ส่วนใหญ่ยังรู้ดีว่ารัฐบาลอาจมีการชิงยุบสภาในเร็ววัน ส.ส.จึงไม่ค่อยคิดผลักดันกฎหมายสำคัญ เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือคิดถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาระยะยาวของประเทศ เช่น นโยบายทางสังคมใหญ่ ๆ เช่น การแก้ปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ การไร้ที่ดินทำกิน หรือแม้แต่ปลาหมอคางดำที่เป็นภัยต่อเกษตรกร
สอดคล้องกับงานการศึกษาส่วนใหญ่ในตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ซึ่งพบว่าช่วงเป็ดง่อย ส.ส.จะคำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวเองมากกว่าพรรค บรรดา ส.ส.จึงให้ความสำคัญกับพื้นที่มากกว่าการประชุม เพื่อหาทางได้รับการเลือกตั้งกลับมาในครั้งต่อไปมากกว่า
สำหรับประเทศไทย การเคลื่อนไหวช่วงเป็ดง่อย เริ่มจากการเตรียมการของพรรคฝ่ายค้าน ทั้งจากคิดริเริ่มยุทธศาสตร์สำคัญ เช่น การจัดตั้งองค์กรพรรค การแสวงหาแนวนโยบายใหม่ ๆ ที่ดึงดูดใจผู้ลงคะแนนและการค้นหาส.ส.เก่าที่มีฐานคะแนนเสียงดี
บทบาทของ ส.ส.ในช่วงที่เป็นเป็ดง่อยจึงมีความสำคัญในทางทฤษฎีการเมือง เพราะเป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่ส.ส.ใกล้จะสูญเสียอำนาจ และส.ส.เกือบทุกคนต้องพยายามหาทางกลับมาใหม่ ขณะที่บางคนอาจต้องคิดถึงการรีไทร์หรือวางมือทางการเมือง
ช่วงสภาที่เป็นเป็ดง่อยจึงไม่มีส.ส.คนใดต้องการ เว้นแต่พวกฝ่ายค้านที่รอโอกาสกลับมาเป็นรัฐบาลและพวก ส.ส. ที่คิดว่าจะได้รับเลือกกลับมาใหม่
ในสหรัฐอเมริกา เคยมีการวิจัยพบว่า สำหรับกลุ่ม ส.ส.ที่ไม่คิดว่าตนจะกลับมาเป็นส.ส. อีก (1) จะสนใจการทำตามหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญน้อยลง (2) สนใจพรรคตัวเองน้อยลง (3) สนใจผลประโยชน์ของชาติน้อยลง (4) สนใจพรรคการเมืองของตัวเองน้อยลง (5) แต่กลับสนใจผลประโยชน์เฉพาะตัวมากขึ้น ดังนั้น แบบแผนการลงคะแนนเสียงในสภาผู้แทนราษฎรในวาระเป็ดง่อย จึงแตกต่างไปจากแบบแผนปกติอย่างเห็นได้ชัด เช่น การลงคะแนนไม่เป็นไปตามมติพรรคและวิปของพรรคคุมส.ส.ไม่ได้
ประเด็นที่สาม ช่วงที่เป็นเป็ดง่อย จะลดความเป็นเอกภาพของพรรคการเมืองลงอย่างไม่หยุดหย่อน (lame duck sessions persistently reduce party unity) คนในพรรคจะเริ่มมีความเห็นแตกต่างกันมากขึ้น บางทีอาจถึงขั้นขัดแย้ง แตกหักกันในพรรค บางคนอาจต่อต้านแนวทางพรรคเก่า และเริ่มแสวงหาทางเลือกใหม่ ๆ เช่น การลาออกและหรือการย้ายพรรค
สำหรับประเทศไทย บางพรรคเริ่มจัดทำชุดแคมเปญนโยบายใหม่ ๆ โดยใช้วิชาความรู้มากขึ้น เพื่อหวังดึงดูดคะแนนเสียง แต่บางพรรคใช้วิธีดูดส.ส.และอดีตส.ส. และใช้ผลประโยชน์จูงใจ เช่น คำมั่นสัญญาที่จะให้เงินสนับสนุนหรือให้ตำแหน่ง ส.ส.บางคนเริ่มประกาศว่าสมัยหน้าจะอยู่ในสังกัดใด หรืออดีตส.ส.บางคนที่ได้คะแนนเสียงระดับ 2-3 หมื่นคะแนน เริ่มประกาศย้ายพรรคและทำกิจกรรมในพื้นที่อย่างขะมักเขม้น
ประเด็นที่สี่ ข้าราชการที่เป็นเป็ดง่อย (lame-duck bureaucrats) ช่วงที่รัฐบาลใกล้สิ้นสุดลง ข้าราชการส่วนใหญ่จะขาดความแอคทีฟ ทำงานแบบพอไปที รอให้มีรัฐมนตรีสมัยหน้าที่จะมาเป็นตัวจริง จึงจะเริ่มแอคทีฟใหม่อีกที
ประเด็นที่ห้า ความกล้าบ้าบิ่นของรัฐบาลรักษาการเป็ดง่อย (Lame Duck's Brazen Caretaker Government) ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ดุเดือดเลือดพล่านเฉพาะตัวของไทยเรา ได้แก่ การที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย และได้ทำการโยกย้ายเปลี่ยนแปลงข้าราชการในตำแหน่งสำคัญระดับอธิบดีหลายตำแหน่ง เพื่อวางคนคุมกำลังสำคัญในกระทรวงมหาดไทย อันเป็นการเสี่ยงอย่างมากต่อการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ เพราะอาจเข้าข่ายการย้ายข้าราชการตามอำเภอใจ
ขณะที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายเดชอิศม์ ขาวทอง ลงมือสั่งการให้เพิกถอนที่ดินเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ แม้ว่ามีคำพิพากษาศาลปกครองเป็นที่ยุติแล้วว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของการรถไฟ
แต่ปัญหาอยู่ที่การรถไฟไม่สามารถชี้เขตที่ดินของตัวเองได้ชัดเจน และอยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการพิสูจน์เขตที่ดินตามคำสั่งศาล การเพิกถอนที่ดินเขากระโดงทันทีโดยที่เขตที่ดินยังไม่ชัดเจน จึงอาจเป็นการกระทำที่ข้ามขั้นตอนสำคัญทางกฎหมายของการเพิกถอนคำสั่งทางปกครองของกรมที่ดิน น่าจะเข้าข่ายการปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบและไม่คำนึงถึงผลกระทบของบุคคลที่สามที่มีความเชื่อโดยสุจริตว่าตนได้ที่ดินมาโดยชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งการละเมิด
อันอาจนำไปสู่การฟ้องร้องได้ทั้งทางแพ่ง อาญาและปกครอง และเป็นวิกฤติความเสี่ยงของการบริหารภาครัฐ อันเข้าข่ายเป็นการลุแก่อำนาจ (abuse of power) ของนักการเมือง
แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของการแก้แค้นทางการเมืองและการเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจนของการเมืองไทยในยุคเป็ดง่อย เพราะขณะที่เพิกถอนที่ดินเขากระโดงนั้น ที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์กลับไม่ปรากฏมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิใด ๆ จากรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ทั้งที่คดีเป็นที่ยุติแล้วเช่นเดียวกัน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา