
"...จะเห็นได้ว่าหลักการดังกล่าวเป็นหลักการสากลที่สามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุกประเทศรวมทั้งไทยด้วย ตามที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้แล้วแต่ต้น ความมีอิสระของผู้ที่ทำหน้าที่ในองค์กรยุติธรรมเป็นจุดแข็งของกระบวนการยุติธรรมของไทยมาโดยตลอด ในระบบศาลยุติธรรมเอง ผู้พิพากษาทุกคนต้องปฏิบัติตนตามประมวลจริยธรรมของตุลาการศาลยุติธรรมที่ระบุเป็นลายลักษณ์อักษรและใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 อย่างเคร่งครัด โดยการดูแลอย่างเข้มงวดของคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ส่วนการทำหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและกรรมการ ป.ป.ช. ก็ถูกกำหนดโดย พรบ ประกอบรัฐธรรมนูญของแต่ละองค์กร และยังมีมาตรฐานจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระที่มีผลใช้บังคับมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 กำกับไว้อีกชั้นหนึ่ง ทำให้เชื่อได้ว่าผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในสององค์กรนี้จะทำงานอย่างตรงไปตรงมา ด้วยความมีอิสระ..."
ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีมติรับไต่สวนต่อคดีที่เกี่ยวกับการบังคับโทษนายทักษิณ ชินวัตร และการมีมติเป็นเอกฉันท์รับเรื่องไว้พิจารณากรณีการฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรงของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร กรณีสนทนากับนายฮุนเซน ผู้นำกัมพูชา ทำให้ผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองหลายคนเห็นว่านี่คือการเริ่มกระบวนการตุลาการภิวัฒน์ (Judicialisation) รอบที่สองหลังจากที่คดีที่เกี่ยวกับนายทักษิณและนักการเมืองหรือบุคคลที่เกี่ยวข้งกับนายทักษิณใเบาบางลงในช่วงเกือบทศวรรษที่ผ่านมา หลายคนไม่เห็นด้วยกับเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์เช่นว่านี้ เพราะมองว่านี่คือบทบาทของอำนาจตุลาการที่มากเกินไป (Overreach of judicial power) ทำให้หลักเกณฑ์หรือปรัชญาของระบอบประชาธิปไตยว่าด้วยการตรวยสอบถ่วงดุลและการแบ่งแยกอำนาจ (Checks and Balances, and the Separation of Power) เสียไป แต่ผู้ที่เห็นด้วยก็อ้างว่ากระบวนการตุลาการภิวัฒน์รอบใหม่นี้มีความจำเป็นเพราะเกิดความบกพร่องหรือความไม่เหมาะสมในการทำหน้าที่ของอำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติของไทย โดยฝ่ายแรกสามารถครอบงำหรือควบคุมฝ่ายหลังได้อย่างเบ็ดเสร็จ และใช้เสียงข้างมากในสภาดำเนินนโยบายที่อาจจะขัดกับกฎหมายที่มีอยู่แล้วโดยที่ไม่มีใครสามารถทัดทานหรือยับยั้งได้
จริงอยู่ การถกเถียงกันว่าขอบเขตของแต่ละอำนาจควรจะอยู่ตรงไหน และเมื่อใดจึงจะถือว่ามีการก้าวก่ายอำนาจระหว่างกันหรือไม่ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดทีสุดในขณะนี้ก็คือการให้ศาลรัฐธรรมนูญและคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจที่จะถอดถอนหรือลงโทษสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจาการเสนอกฎหมายหรือแก้ไขกฎหมายในรัฐสภาตามระบอบประชาธิปไตยตามปกติ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นเรื่องของบทบัญญัติที่อยู่ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งถ้าจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงก็ต้องไปเปลี่ยนที่รัฐธรรมนูญก่อน จะมาโทษผู้ที่ทำหน้าที่ในองค์การยุติธรรมก็คงไม่ได้ แต่แน่นอนว่าผู้ที่ทำหน้าที่ในองค์การยุติธรรมดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นผู้พิพากษาในศาลยุติธรรม หรือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือกรรมการ ป.ป.ช. ย่อมจะมีวุฒิภาวะและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่จะไม่ใช้อำนาจตามอำเภอใจ โดยลุแก่อำนาจ หรือโดยไม่ระมัดระวัง เหตุผลสำคัญที่เป็นเช่นนี้ได้ก็เพราะว่าในระบบกระบวนการยุติธรรมของไทยนั้น ความมีอิสระ ในการทำหน้ามี่ของผู้ที่อยู่ในองค์การยุติธรรม (Independence in the Judiciary) ของไทยไม่ว่าในศาลยุติธรรม หรือศาลรัฐธรรมนูญ หรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นเรื่องที่มีความสำคัญสูงสุดและได้รับการยอมรับและถือปฏิบัติมาโดยตลอด
อะไรคือความมีอิสระขององค์การยุติธรรมหรือผู้ที่ทำหน้าที่ในองค์การนี้? ในความเข้าใจของคนทั่วไปก็คือว่าผู้ที่ทำหน้าที่ในองค์การยุติธรรมเหล่านี้ จะต้องทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาอย่างที่คำอธิบายภาษาอังกฤษว่า “โดยปราศจากความกลัวและผลประโยชน์ส่วนตัวอย่างหนึ่งอย่างใด” (without fear or favour) ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ ผู้ที่ทำหน้าที่นี้จะต้องไม่อยู่ในอิทธิพลหรือการบังคับของใคร ไม่เป็นหนี้ใครไม่ว่าหนี้ทางทรัพย์สินหรือหนี้บุญคุณ และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในเรื่องที่กำลังพิจารณาตัดสิน ไม่ว่าโดยตรงหรือโด้ยอ้อม หรือแม้แต่ความเกรงอกเกรงใจที่เป็นคุณสมบัติเฉพาะของคนไทยหลายคน
เพื่อให้เป็นที่ยอมรับโดยสากล องค์การสหประชาชาติมีส่วนที่จะกำหนดหลักการหรือกฎเกณฑ์ที่เป็นที่ยอมรับทั่วกันในแวดวงระบบยุติธรรมของโลก โดยได้นัดประชุมองค์การด้านการอำนวยความยุติธรรมของภาคีสมาชิกสหประชาชาติหลายครั้ง และมีมติร่วมกันจากการประชุมครั้งที่ 7 จากการประชุมใหญ่ขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อผู้กระทำความผิด (Seventh United Nations Congress on the Prevention of Crime and the Treatment of Offenders) ระหว่างวันที่ 26 ส.ค. ถึงวันที่ 6 ก.ย. ปี ค.ศ. 1985 ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ซึ่งต่อมาผลการประชุมนี้ได้รับการรับรองโดยสมัชชาใหญ่ของสหประชาชาติ หลักการนี้มีชื่อเรียกว่า หลักการพื้นฐานว่าด้วยความมีอิสระขององค์การยุติธรรม (Basic Principles on the Independence of the Judiciary) ซึ่งประกอบด้วยหลัก 7 ประการดังต่อไปนี้
หลัก 7 ประการว่าด้วยความมีอิสระขององค์การยุติธรรม
1. ความมีอิสระขององค์การยุติธรรมจะต้องได้รับการรับประกันจากรัฐและแสดงให้เห็นชัดเจนในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายของประเทศ ต้องถือว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลและสถาบันทั้งหลายที่จะต้องยอมรับนับถือและปฏิบัติตามความมีอิสระขององค์การยุติธรรมนี้
2. องค์การตุลาการจะพิจารณาคดีต่างๆอย่างไม่ลำเอียง บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและตามกฎเกณฑ์แห่งกฎหมายโดยปราศจากข้อจำกัด อิทธิพลที่ไม่เหมาะสม การชักจูง ความกดดัน การถูกข่มขู่หรือการแทรกแซงไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมจากองค์กรใดหรือบุคคลใด
3. องค์การยุติธรรมอยู่ในฐานะที่จะพิจารณาคดีทุกประเภทที่อยู่ในขอบเขตของกฎหมายและมีอำนาจโดยสมบูรณ์ที่จะตัดสินว่าคดีที่อยู่ต่อหน้านั้นคดีใดอยู่ในเขตอำนาจที่จะพิจารณาได้ตามกฎหมาย
4. จะต้องไม่มีการแทรกแซงที่ไม่เหมาะสมและไม่สมควรใดๆต่อกระบวนการยุติธรรม หรือผลการตัดสินของศาลจะต้องไม่ถูกบังคับให้ทบทวนเปลี่ยนแปลง หลักข้อนี้ไม่ขัดกับการทบทวนทางกฎหมายที่จะลดโทษหรือยกโทษที่ลงไปแล้วโดยองค์กรหรือบุคคลที่มีอำนาจถูกต้องตามกฎหมาย
5. ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีโดยศาลหรือคณะผู้ตัดสินตามปกติภายใต้กระบวนการทางกฎหมายโดยทั่วไป คณะผู้ตัดสินที่มิได้ใช้วิธีการพิจารณาตามกระบวนการทางกฎหมายโดยทั่วไปจะถูกตั้งขึ้นเพื่อมาทดแทนศาลหรือคณะผู้ตดสินตามปกติไม่ได้
6. หลักแห่งความมีอิสระขององค์การยุติธรรมให้อำนาจและระบุให้องค์การตุลาการต้องทำให้เกิดความมั่นใจว่าพิธีการทางกฎหมายได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม และสิทธิของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้รับการยอมรับ
7 ต้องถือว่าเป็นหน้าที่ของรัฐสมาชิกที่จะต้องอำนวยทรัพยากรที่เพียงพอที่จะทำให้องค์การยุติธรรมทำหน้าที่ของตนได้อย่างเหมาะสม
จะเห็นได้ว่าหลักการดังกล่าวเป็นหลักการสากลที่สามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุกประเทศรวมทั้งไทยด้วย ตามที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้แล้วแต่ต้น ความมีอิสระของผู้ที่ทำหน้าที่ในองค์กรยุติธรรมเป็นจุดแข็งของกระบวนการยุติธรรมของไทยมาโดยตลอด ในระบบศาลยุติธรรมเอง ผู้พิพากษาทุกคนต้องปฏิบัติตนตามประมวลจริยธรรมของตุลาการศาลยุติธรรมที่ระบุเป็นลายลักษณ์อักษรและใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 อย่างเคร่งครัด โดยการดูแลอย่างเข้มงวดของคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ส่วนการทำหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและกรรมการ ป.ป.ช. ก็ถูกกำหนดโดย พรบ ประกอบรัฐธรรมนูญของแต่ละองค์กร และยังมีมาตรฐานจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระที่มีผลใช้บังคับมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 กำกับไว้อีกชั้นหนึ่ง ทำให้เชื่อได้ว่าผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในสององค์กรนี้จะทำงานอย่างตรงไปตรงมา ด้วยความมีอิสระ
ถึงแม้มติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหรือการชี้มูลของกรรมการ ป.ป.ช. ในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา จะไม่เป็นที่พอใจของบางคน แต่ก็ไม่มีตุลาการหรือกรรมการ ป.ป.ช. คนใดเลยที่ถูกฟ้องร้องให้ถอดถอนหรือถูกลงโทษจากการพิจารณาคดีตามหน้าที่ของตน ความมีอิสระและการตรวจสอบระหว่างกันเองของผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในองค์การยุติธรรมเหล่านี้ เป็นเหตุผลสำคัญที่จะทำให้เราเชื่อมั่นได้ว่าผลการพิจารณาตัดสินไม่ว่าจะโดยศาลยุติธรรมก็ดี ศาลรัฐธรรมนูญก็ดี หรือมติชี้มูลหรือไม่ของ ป.ป.ช. ก็ดี ย่อมเกิดขึ้นจากการใช้เหตุผลที่เป็นอิสระ ปราศจากการแทรกแซงจากภายนอกที่ผิดกฎหมายหรือผิดทำนองคลองธรรมอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น การมีการร่ำลือกันว่าจะมีการวิ่งเต้นให้ผู้พิพากษาศาลฎีกา หรือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือกรรมการ ป.ป.ช. ให้ตัดสินไปในทางหนึ่งทางใดในยุคหรือสภาพการณ์ปัจจุบันนี้ จึงไม่ใช่เรื่องที่เราควรจะเชื่อถือหรือยอมรับแต่อย่างใดทั้งสิ้น

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา