
"...มูตาบีวิเคราะห์ว่าการขึ้นสู่อำนาจของทักษิณเป็นตัวอย่างของการเข้ามาถักทอเข้าด้วยกันอย่างแยกไม่ออกระหว่าง “ผลประโยชน์ทางธุรกิจ” กับ “การคอร์รัปชันทางการเมือง” เนื่องจากทักษิณได้เปลี่ยนบทบาทจากนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาเป็นนักการเมือง และใช้เครือข่ายทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มพรรคพวก..."
1. คนขี่เสือในอินเดีย
“คนขี่เสือ” เป็นหนังสือนิยายของภวานี ภัฏฏาจารย์ ที่จิตร ภูมิศักดิ์ นำมาแปลเผยแพร่
เนื้อเรื่องมีทำนองว่า “กาโล” ช่างตีเหล็ก ปะหม้อ-ไห วรรณะต่ำ ต่อมาเกิดภัยแล้งยาวนาน ไม่มีใครจ้าง กาโลจึงหนีความอดอยากจากชนบทเข้าสู่เมืองหลวง รัฐเบงกอล ไปทำงานสารพัดตั้งแต่เก็บศพ จนกระทั่งเป็นแมงดา เขาได้พบกับลูกสาวตัวเองที่ถูกหลอกมาอยู่ในนั้น กาโลจึงช่วยหนีออกมาได้ เขาคิดอุบายแก้แค้นคนชั้นสูงโดยการทำให้พระศิวะมาปรากฏ โดยเอาเมล็ดถั่วยักษ์ไปเพาะแล้วเอาองค์พระศิวะวางบนใบไม้ซ้อนทับกันไว้ จากนั้นก็รดน้ำทุกวัน พระศิวะค่อย ๆ โพล่สูงขึ้น ๆ คนแห่กันมานับถือมากมาย
“กาโล” หลอกคนอื่นว่าเป็นนักบวชในวรรณะพราหมณ์ สถาปนาตัวเองเป็นอธิการของมหาวิหารที่เขาสร้างขึ้นเอง พร้อมด้วยบริวารและคนห้อมล้อมที่ได้รับส่วนแบ่งจากพิธีบูชาและการสร้างองค์เทพศิวะ เงินทองไหลมาเทมา พร้อมกับเกียรติยศอันสูงส่งของชีวิต
วันหนึ่งเขาเริ่มรู้ว่าเขาหลอกคนอื่นมานานแล้ว บางครั้งเขาหลอกกระทั่งตัวเอง และเป็นห่วงลูกสาวเป็นอย่างยิ่งว่าจะเก็บงำความลับไม่ได้ จึงคิดจะลงจากหลังเสือ คือ ไปให้พ้นจากการหลอกลวงและระบบชนชั้นวรรณะที่เขาสถาปนาตัวเองเป็นพราหมณ์ แต่เขาไม่สามารถลงจากหลังเสือได้
เขารู้ดีว่า “การขึ้นหลังเสือ” นั้น ง่ายกว่า “การลงจากหลังเสือ” มาก
ในที่สุดจึงตัดสินใจ “ลงจากหลังเสือ” ด้วยการปลิดชีพตัวเอง
2. คนขี่เสือในประเทศไทย
ประเทศไทยน่าจะมีคนขี่เสือไม่น้อย
งานของอเล็กซ์ เอ็ม มูตาบี (Alex M. Mutabi) ชื่อ “Explaining the Failure of Thailand’s Anti-Corruption Regime” มีสาระสำคัญว่า สาเหตุไทยที่ปราบคอร์รัปชันไม่ได้ เพราะเกิด “The State Capture” ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ใหม่มากสำหรับประเทศไทย
ความหมายในทางทฤษฎีนั้น “The State Capture” เป็นการคอร์รัปชันอย่างเป็นระบบ โดยกลุ่มธุรกิจหรือผู้นำทางธุรกิจที่มีอำนาจเข้ามาใช้อิทธิพลอย่างมากจนเกินปกติต่อสถาบันของรัฐและกฎหมายเพื่อให้หันเหไปตอบสนองต่อผลประโยชน์แคบ ๆ ของตัวเองมากกว่าผลประโยชน์สาธารณะ
อิทธิพลที่เข้ามาอย่างมากจนเกินปกตินี้จึงทำให้การคอร์รัปชันแตกต่างไปจากที่เคยกระทำมา ซึ่งเดิมเป็น “การคอร์รัปชันทางการบริหาร” (administrative corruption) อันเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อาศัยช่องทางการหาประโยชน์ส่วนตัวจากการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่
แต่ “การคอร์รัปชันอย่างเป็นระบบ” อันใหม่ที่ต่างไป นั้น มีการบิดเบือนกติกา กฎหมาย นโยบายและกฎระเบียบ เพื่อสร้างประโยชน์ต่อนักธุรกิจที่ยึดรัฐ โดยไม่ให้เกิดการแข่งขัน แต่ก่อให้เกิดต้นทุนทางสังคม หมายถึง มีการสร้างกำแพงต่อต้านการแข่งขัน จนประโยชน์กระจุกตัวอยู่กับกลุ่มธุรกิจหรือกลุ่มการเมืองที่มีอำนาจ และสังคมเสียประโยชน์จากการผูกขาดอำนาจ
สรุปว่า หลังรัฐธรรมนูญไทย ฉบับ 2540 เป็นต้นมา มูตาบีเห็นว่าประเทศไทยเกิดปรากฏการณ์ “The State Capture” หรืออาจเรียกว่า “นายทุนยึดรัฐ” อย่างเห็นได้ชัด
การยึดรัฐของนายทุนดังกล่าวอาจมีมานานแล้ว แต่มูตาบี เห็นว่า สมัยรัฐบาลทักษิณมีเครือข่ายธุรกิจกับการเมืองที่เห็นได้ชัดที่สุด และนำไปสู่การที่มีนายทุนยึดรัฐเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
มูตาบีวิเคราะห์ว่าการขึ้นสู่อำนาจของทักษิณเป็นตัวอย่างของการเข้ามาถักทอเข้าด้วยกันอย่างแยกไม่ออกระหว่าง “ผลประโยชน์ทางธุรกิจ” กับ “การคอร์รัปชันทางการเมือง” เนื่องจากทักษิณได้เปลี่ยนบทบาทจากนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาเป็นนักการเมือง และใช้เครือข่ายทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มพรรคพวก
นอกจากนั้นเขายังกำหนดยุทธศาสตร์ทางการเมืองหาความสนับสนุนจากชนชั้นล่างโดยการใช้นโยบายประชานิยม (populist policies) หรือเรียกว่า “ทักษิโณมิกส์” (Thakinomics) ช่วงแรกที่ทักษิณเป็นรัฐบาลนั้น GDP เติบโตถึง 22%
แต่ทักษิณถูกโจมตีว่าบริหารประเทศโดยระบบทุนนิยมพวกพ้อง (crony capitalism) และใช้อำนาจมิชอบ (abuses of power)
ส่วนการปราบคอร์รัปชันนั้น มูตาบีวิเคราะห์ว่าเป็นเรื่องย้อนแย้งกันเอง
รัฐธรรมนูญฉบับ ค.ศ. 1974 (พ.ศ. 2517) ระบุเป้าหมายการต่อสู้กับการคอร์รัปชันเป็นครั้งแรก
ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2518) ตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (The Office of the Counter-Corruption Commission) หรือ OCCC เพื่อบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายปราบคอร์รัปชัน
แต่เมื่อตั้งแล้ว ระดับการคอร์รัปชันก็ยังคงสูง เนื่องจากการปราบไม่ได้ผล และประชาชนไม่ได้ให้ความไว้วางใจต่อหน่วยงานที่ทำหน้าที่ปราบคอร์รัปชัน
ต่อมา รัฐธรรมนูญ 2540 ได้ปฏิรูประบบการปราบคอร์รัปชัน โดยการตั้ง ป.ป.ช. (the National Anti Corruption Commission) หรือ NCCC และก.ก.ต. (the Election Commission) โดยให้วุฒิสภาเลือกจากคนที่เป็นกลางและเพิ่มอำนาจการปราบปรามการคอร์รัปชันและการทุจริตในการเลือกตั้ง พร้อมกับส่งเสริมความโปร่งใสและความซื่อตรงในราชการ
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นกลับยิ่งทำให้การปราบคอร์รัปชันเป็นอุปสรรค เนื่องจากหลังรัฐธรรมนูญ 2540 เครือข่ายธุรกิจและการเมืองมีอำนาจมากขึ้น ทำลายความพยายามในการปราบคอร์รัปชันและการทุจริตการเลือกตั้ง
รัฐบาลทักษิณมองว่ายิ่งมีการแข่งขันการเมืองน้อยลงเท่าใด จะยิ่งทำให้อำนาจมีความเป็นปึกแผ่นและฝ่ายค้านมีอำนาจจำกัด
ยุครัฐบาลทักษิณจึงเป็นยุคที่เส้นแบ่งระหว่างผลประโยชน์ของนักการเมืองกับนักธุรกิจแยกกันไม่ออก อันนำไปสู่การเกิดปรากฏการณ์ “นายทุนยึดรัฐ”
ดังเห็นได้จากทักษิณใช้อำนาจทางการเมืองปราบผู้เห็นต่างและไม่ให้มีการแข่งขันทางการเมืองมาก การบริหารสมัยทักษิณจึงมีลักษณะเป็นเผด็จการและทำลายสถาบันการเมืองในระบอบประชาธิปไตย
หน่วยงานของรัฐ เช่น ป.ป.ง. (the Anti-Mony Laundering Office) ถูกทักษิณใช้เพื่อกำจัดปรปักษ์ทางการเมือง และเป็นเวทีแสดงแท็กติกส์การปราบปรามของระบอบทักษิณ
มูตาบีสรุปว่านโยบายปราบคอร์รัปชันของไทยไม่ได้ผล เพราะเกิด “นายทุนยึดรัฐ” และการแข่งขันมีน้อยลง ทักษิณใช้วิธีควบคุมสถาบันการเมือง เพื่อเข้าไปใช้กลไกทางกฎหมายจัดการเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ดังนั้น ประเทศไทยจึงขาดเจตจำนงทางการเมืองที่จะต่อสู้กับการคอร์รัปชันร่วมกันอย่างจริงจังนับตั้งแต่สมัยทักษิณเป็นต้นมา
3. การเริ่มลงจากหลังเสือของทักษิณ
ทักษิณถูกทหารยึดอำนาจ ต่อมาถูกศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้จำคุกคดีทุจริตสามคดีรวมกัน 8 ปี ทักษิณลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศนานถึง 17 ปี จากนั้นได้กลับเข้ามาอยู่ในประเทศไทย
เมื่อทักษิณเข้าไปในเรือนจำพิเศษกรุงเทพแล้ว ไม่นานได้ขอพระราชทานอภัยโทษและได้รับการอภัยลดโทษเหลือ 1 ปี ทว่าทักษิณกับเจ้าหน้าที่ได้คบคิดกันอาศัยช่องโหว่ของพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ ส่งตัวทักษิณไปรักษาโรงพยาบาลตำรวจแทนเรือนจำ เมื่อทักษิณนอนโรงพยาบาลตำรวจครบ 180 วันก็ได้รับการพักโทษ และกลับมาเล่นการเมืองในระดับชาติ โดยเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าทักษิณเป็นผู้มีอิทธิพลที่สำคัญที่สุดต่อการเมืองไทยในช่วงสองปีที่ผ่านมา
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือ กสม. ได้เข้ามาตรวจสอบเรื่องการรักษาตัวของทักษิณที่โรงพยาบาลตำรวจ พบว่าเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ต้องขังรายอื่น และเสนอรายงานให้ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนเอาผิดกับเจ้าหน้าที่และทักษิณ
ภาคประชาชนนำโดยคุณชาญชัย อิสระเสนารักษ์ นายแพทย์วรงค์ เดชกิจนุกรม นายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ทนายนกเขา นิติธร ล้ำเหลือ และรศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวนิก ได้ยื่นคำร้องให้ศาลไต่สวนการรักษาพยาบาลทักษิณ ศาลไม่รับคำร้อง เพราะภาคประชาชนไม่ใช่ผู้เสียหาย แต่เห็นว่าศาลมีอำนาจไต่สวนเอง ศาลจึงเริ่มทำการไต่สวน
ระหว่างที่ศาลเริ่มทำการไต่สวนนั้น แพทยสภาสั่งพักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์ที่รักษาพยาบาลทักษิณ ด้วยเหตุว่ามีแพทย์ที่เกี่ยวข้องร่วมกันทำเอกสารเท็จรับรองว่าทักษิณป่วยวิกฤติจำเป็นต้องรักษายาวนานจนได้รับการพักโทษ
ในที่สุดวันที่ 9 กันยายน 2568 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งว่า การบังคับคดีตามคำพิพากษาเดิมที่ให้จำคุกทักษิณนั้นไม่ชอบ และทักษิณรู้เห็น จึงสั่งให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์นำตัวทักษิณไปคุมขังใหม่ในระยะเวลา 1 ปีตามที่ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ
ก่อนนั้นไม่กี่วัน ทักษิณทำท่าว่าจะไม่มาฟังคำสั่งศาล โดยเดินทางออกนอกประเทศไปอยู่ดูไบ แต่ในที่สุดก็กลับมาฟังคำสั่งศาลและยอมรับโทษ
ปัจจุบันทักษิณถูกคุมขังตามคำสั่งศาลอยู่ที่เรือนจำคลองเปรม
4. ปฏิกิริยาต่อคดีทักษิณ
4.1 นักกฎหมาย
อาจารย์สอนนิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยบางคน มองว่าการที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเข้ามาทำการไต่สวนเอง โดยการอ้างอำนาจของศาลว่ามีอำนาจไต่สวนนั้น อาจเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตของการแบ่งอำนาจระหว่างฝ่ายตุลาการกับฝ่ายบริหาร หรือที่เรียกว่า “judicial overreach”
เนื่องจากนักกฎหมายฝ่ายนี้มองว่า อำนาจบังคับคดีตามคำพิพากษาเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร เมื่อศาลพิพากษาและมีหมายจำคุกไปแล้ว การบังคับคดีตามคำพิพากษาตามหมายจำคุกเป็นอำนาจของกรมราชทัณฑ์
ขณะที่ในคำสั่งของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ระบุถึงอำนาจของตนว่ามีอำนาจไต่สวน และมีอำนาจตรวจสอบว่าการบังคับคดีตามหมายจำคุกของกรมราชทัณฑ์เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ ถึงแม้พระราชบัญญัติราชทัณฑ์จะให้อำนาจกรมราชทัณฑ์ส่งตัวผู้ถูกคุมขังไปโรงพยาบาล หากเป็นการส่งตัวไปรักษาพยาบาลโดยมิชอบ คือ ไม่มีการเจ็บป่วยวิกฤติจริงและไม่ได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย ก็ย่อมเป็นการบังคับโทษที่มิชอบ
ในทัศนะของผู้เขียนเห็นว่า กรณีของ judicial overreach นี้เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกามีหลัก 3 ประการ ได้แก่ (1) ต้องมีกฎหมาย (law) (2) ต้องมีเจตนารมณ์ของสภานิติบัญญัติที่ออกกฎหมาย (legislative intent) และ (3) จะเป็น judicial overreach ก็ต่อเมื่อ ศาลใช้อำนาจวินิจฉัยคดีที่เป็นการตีความเกินกว่าเจตนารมณ์ของกฎหมาย อันเป็นการตีความกฎหมายเกินอำนาจหรือเป็นการตีความที่มีผลเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงบทบัญญัติของกฎหมาย
แต่กรณีของอำนาจการไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีทักษิณนี้ ประการแรก ไม่ได้มีกฎหมายกำหนดไว้ชัดเจน ศาลจึงใช้บททั่วไปว่าด้วยวิธีการพิจารณาคดีของศาลฎีกาแผนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นฐานอำนาจของการไต่สวน ประการที่สอง เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า “ทักษิณ” ติดคุกทิพย์ หากศาลไม่เข้ามาไต่สวน ย่อมกระทบกระเทือนต่อความศักดิ์สิทธิ์ในการบังคับคดีของศาลและศีลธรรมอันดีและความสงบเรียบร้อยของประชาชน ประการที่สาม ไม่ได้มีบทบัญญัติของกฎหมายใดบังคับไว้ชัดเจนว่าการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลเป็นอำนาจเฉพาะของฝ่ายบริหาร ที่ฝ่ายตุลาการจะก้าวล่วงไม่ได้ เป็นเพียงฝ่ายอาจารย์ยกหลักการแบ่งแยกอำนาจขึ้นมากล่าวลอย ๆ และประการที่สี่ ประการสุดท้าย หลัก overreach จะใช้กับกรณีที่ศาลใช้อำนาจล่วงล้ำอำนาจของสภานิติบัญญัติเป็นหลัก โดยเฉพาะการขัดต่อเจตนารมณ์ของสภานิติบัญญัติ (legislative intent) ส่วนการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารนั้น อำนาจในการตรวจสอบของศาลจะกระทำได้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพพื้นฐานและผลประโยชน์สาธารณะ กรณีจึงไม่น่าจะเข้าหลัก overreach แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม อำนาจการตีความกฎหมายเป็นของศาล ส่วนการที่ฝ่ายอาจารย์อ้างหลัก overreach นั้น ก็คงไม่ได้มุ่งหวังที่จะให้คำสั่งศาลอันเป็นที่ยุติแล้วเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น
ในสหรัฐอเมริกา หากสภาผู้แทนราษฎรเห็นว่าศาลตีความเกินขอบเขตอำนาจของกฎหมายและเจตนารมณ์ของตน สภาผู้แทนราษฎรก็ย่อมมีอำนาจนำปัญหากฎหมายข้อนั้นไปบัญญัติกฎหมายใหม่เพื่อปิดช่องว่างไม่ให้ศาลตีความต่างไปจากเจตนารมณ์ของตน
ดังนั้น หากความเห็นของอาจารย์ดังกล่าวได้รับความสนับสนุนจากสภาผู้แทนราษฎรมากพอ ก็คงต้องให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
4.2 ทักษิณเป็นวีรบุรุษ?
ผู้สนับสนุนทักษิณหลายคน ยกให้ทักษิณเป็นเนลสัน แมนเดลล่า หรือบางคนยกให้เป็นมหาตมะ คานธี ของประเทศไทย
การยกเอาเหตุที่ทักษิณบินไปดูไบ แล้วบินกลับมาสิงคโปร์ และกลับมาเข้าฟังคำสั่งศาลในวันที่ 9 กันยายน 2568 ว่าเป็นการกระทำเยี่ยงวีรบุรุษ เพราะกล้าเผชิญกับคดีความ นั้น น่าจะเป็นการยกยอกันเกินเหตุ เพราะทักษิณไม่เคยต่อสู้เพื่อเอกราชของชาติอย่างแมนเดลล่าหรือมหาตมะ คานธี แต่ตรงกันข้าม ทักษิณเคยหนีคดีความไปอยู่ต่างประเทศมาแล้ว
อีกทั้ง ความจริงการกลับมาฟังคำสั่งศาลน่าจะเป็นเพราะทักษิณได้คิดคำนวณแล้วว่า การออกไปนอกประเทศรอบแรก 17 ปี มีโทษจำคุกติดตัวไปด้วย 8 ปี เมื่อเทียบกับการมาเข้ามาในประเทศและได้รับการลดโทษเหลือ 1 ปี มีค่าที่แตกต่างกันและคุ้มกับประโยชน์ที่ทักษิณจะได้รับ
ประกอบจากการอยู่ต่างประเทศที่ผ่านมานั้น ทักษิณรู้รสชาติชีวิตแล้วว่าเป็นเสมือนสภาวะที่ไร้ตัวตน ไร้อำนาจ และไม่สามารถดำเนินชีวิตให้มีความหมายได้
ผิดกับการเข้ามาอยู่ในประเทศไทย เพียงแค่ช่วงสองปีที่ทักษิณเข้ามาในประเทศไทย ทักษิณได้สร้างผลกระทบกระเทือนต่อการเมืองไทยได้อย่างมากมายมหาศาล
ส่วนกรณีที่ต้องรับโทษจำคุก ก็ได้รับโทษเหลือเพียง 1 ปี และน่าจะได้รับการพักโทษเมื่อถูกคุมขังไปแล้วหกเดือนเหมือนตอนที่อยู่โรงพยาบาลตำรวจ หลังจากนั้นก็เป็นอิสระและสามารถใช้ชีวิตให้ความหมายได้เหมือนเคยได้
ส่วนคดีการสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตของเจ้าหน้าที่นั้น ยังขึ้นอยู่กับการไต่สวนเบื้องต้นของป.ป.ช. เป็นปี ๆ และไม่น่าจะสรุปสำนวนได้เร็ว เพราะป.ป.ช.มีกรอบเวลาการไต่สวนนานถึงสองปี
ทักษิณจึงเป็นมนุษย์เหมือน ๆ กันกับเราที่รู้จักคิดทางเลือกว่าทางใดดีกว่ากัน ยิ่งเขาเป็นนักยุทธศาสตร์ที่ชาญฉลาดที่สุดคนหนึ่งของการเมืองไทย เขาย่อมเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด
ปัญหายังมีว่า หลังจากที่ทักษิณพ้นโทษหรือได้รับการพักโทษแล้ว ทักษิณจะมีความคิดที่จะลงจากหลังเสือหรือไม่
เพราะมีตัวอย่าง “กาโล” ที่เรียนรู้ว่า “การขึ้นหลังเสือ” นั้น ง่ายกว่า “การลงจากหลังเสือ” มากมาย
แต่มนุษย์ทุกคนมีจุดอ่อน ไม่ได้เว้นแม้แต่ทักษิณ ถ้าหากมีการยกยอทักษิณว่าเป็นวีรบุรุษมากจนเกินไป ความคิดของทักษิณที่จะลงจากหลังเสืออาจจางหายไป กลายเป็นความฮึกเหิมที่จะกลับมา
ทว่าดังที่มูตาบีกล่าวไว้ เพียงแค่ “The State Capture” ที่ทักษิณมีส่วนสร้างขึ้นนั้น ประเทศไทยก็ไม่มีปัญญาที่จะแก้ไขแล้ว จนปัจจุบัน
.
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก thaipbs.or.th

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา