
"...หากยึดตามหลักรัฐธรรมนูญนิยม รัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2560 บัญญัติ “กฎของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ไว้ในหมวด 5 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยมาตรา 255 และ 256 มาตรา 255 ห้ามแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือห้ามเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ มาตรา 256 บัญญัติถึงขั้นตอนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเอาไว้มีทั้งหมดเก้าขั้นตอน ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 “กฎของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” บัญญัติไว้เฉพาะกรณี “การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ” ไม่ได้บัญญัติให้สามารถ แก้ไขรัฐธรรมนูญได้ทั้งฉบับ..."
1. ที่มา
“กฎการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” (constitutional amendment rules) เป็นแนวคิดพื้นฐานของหลักรัฐธรรมนูญนิยม (constitutionalism) ผู้เขียนอ้างอิงมาจากงานของริชาร์ด อัลเบิร์ต (Richard Albert) ชื่อ “Amending Constitutional Amendment Rules”, ตีพิมพ์ในวารสาร International Jornal of Constitutional Law, Volume 13, Issue 3, July 2015: 655-685.
งานของอัลเบิร์ตอธิบายว่า “กฎการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” เป็นพื้นฐานของหลักรัฐธรรมนูญนิยม (Constitutionalism) กฎดังกล่าวเป็นตัวกำหนดขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำหรือข้อความในรัฐธรรมนูญ
อีกทั้งยังทำหน้าที่อื่น ๆ หลายด้าน ได้แก่ ทำให้ตัวแสดงทางการเมืองรู้ล่วงหน้าว่าการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญจะต้องทำอย่างไรบ้าง และเป็นกรอบกำหนดอำนาจการตรวจสอบของฝ่ายตุลาการ รวมทั้งเป็นเงื่อนไขของความยินยอมให้มีการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดความทันสมัย ตลอดจนทำให้การแก้รัฐธรรมนูญถูกมองว่าเป็นการกระทำโดยอาศัยอำนาจอธิปไตย อันสะท้อนให้เห็นถึงหลักความยินยอมของประชาชน
อัลเบิร์ตอธิบายว่า จำเป็นต้องปกป้อง “กฎของการแก้รัฐธรรมนูญ” เอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้รัฐธรรมนูญถูกแก้ไขได้ง่ายจนกลายเป็นกฎหมายธรรมดา
จากการศึกษาของเขาพบว่า “กฎของการแก้รัฐธรรมนูญ” มักถูกนักการเมืองละเมิด ปัญหาอยู่ที่ “นักการเมือง” เข้ามาแทรกแซง และ “แก้” กฎของการแก้รัฐธรรมนูญ (amending constitutional amendment rule) ทำให้รัฐธรรมนูญขาดเสถียรภาพและความแน่นอน เพราะถ้าหากแก้กฎได้ กฎนั้นจะขาดความแน่นอน และอาจถูกเปลี่ยนได้อีกในเวลาต่อมา
การแก้ “กฎของการแก้รัฐธรรมนูญ” จึงต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด และไม่อาจยินยอมให้เกิดการแก้ได้โดยง่าย
2. หลักรัฐธรรมนูญนิยม
สรุปว่า “หลักรัฐธรรมนิยม” (Constitutionalism) เป็นหลักที่ถือว่า “รัฐธรรมนูญ” เป็นใหญ่
ในแง่ความคิดมีความเป็นมาจากการปกครองโดยกฎหมายตั้งแต่สมัยอริสโตเติล (Aristotle) และซิเซโร (Cicero)
แต่ในทางกฎหมาย เกิดขึ้นเมื่อมีการแบ่งอำนาจอธิปไตยออกเป็น 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการ คำเต็มจึงมาจากคำว่า “หลักรัฐธรรมนูญนิยมทางกฎหมาย” (legal constitutionalism)
เป้าหมายหลัก คือ การป้องกันไม่ให้รัฐบาลใช้อำนาจตามใจชอบ โดยการกำหนดกลไกทางรัฐธรรมนูญว่าใครปกครอง ปกครองอย่างไรและเพื่ออะไร มักเกี่ยวข้องกับการปกครองที่ใช้อำนาจจำกัด (limited government) การตีความหลักรัฐธรรมนูญนิยมแปรเปลี่ยนไปตามประวัติศาสตร์และบริบท
ตัวอย่างเช่น แนวนีโอรีพับลิกัน (neo-republican) จะเน้นการป้องกันการครอบงำของรัฐบาล โดยเน้นความเสมอภาคทางการเมืองและการถ่วงดุลอำนาจแต่ละกลุ่ม แต่แนวเสรีนิยมสมัยใหม่ (modern liberalism) เน้นไปที่การคุ้มครองสิทธิของปัจเจกบุคคล โดยการแบ่งแยกอำนาจและการให้ฝ่ายตุลาการมีอำนาจเข้าไปตรวจสอบฝ่ายบริหารและฝ่ายสภา (judicial review) (ดู Badie, Berg-Scholosser & Morlino, (Eds) International Encyclopedia of Political Science)
ปัญหาหลักรัฐธรรมนูญนิยมมี 2 ประการใหญ่ ๆ
ประการแรก ฝ่ายตุลาการจะมีอำนาจเข้าไปตรวจสอบฝ่ายสภาได้หรือไม่ โดยเฉพาะการออกกฎหมายของสภา สำหรับอังกฤษที่เป็นผู้นำในระบอบรัฐสภาจะไม่ยอมรับอำนาจการตรวจสอบของฝ่ายตุลาการ เพราะถือว่าส.ส.มาจากปวงชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ในกฎหมายบางฉบับจะเขียนไว้ว่าห้ามศาลเข้ามาพิจารณาคดี เช่น กฎหมายการยุบสภาของอังกฤษฉบับล่าสุด ทั้งนี้เพราะอังกฤษยึดหลักนิติธรรม (rule of law) ของไดซีย์ (Dicey) ที่ถือว่าอำนาจอธิปไตยอยู่ที่ฝ่ายนิติบัญญัติ (legislative sovereignty or the principle of the sovereignty of parliament)
แต่สหรัฐอเมริกาซึ่งยึดหลักรัฐธรรมนิยมตามธรรมชาติ หมายถึงการให้ความสำคัญแก่รัฐธรรมนูญในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติตามระบอบประชาธิปไตย จะให้การยอมรับอำนาจการตรวจสอบของฝ่ายตุลาการว่าเป็นอำนาจฝ่ายเดียวของตุลาการ ส่วนฝ่ายอื่นสามารถถ่วงดุลฝ่ายตุลาการได้โดยการคัดเลือกตุลาการและการตรวจสอบการกระทำของตุลาการ แต่ไม่สามารถแทรกแซงการใช้ดุลพินิจของตุลาการได้
ต่อมาเมื่อประเทศยุโรปนำหลักรัฐธรรมนูญนิยมธรรมชาติของสหรัฐอเมริกาไปประยุกต์ใช้เป็น “หลักนิติรัฐ” (modern Etat de droit or legal state) ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองจึงยึดหลักการตรวจสอบของฝ่ายตุลาการ (judicial review) สำหรับประเทศไทยยึดหลักอันหลัง เพราะศาลรัฐธรรมนูญไทยลอกแบบมาจากศาลรัฐธรรมนูญของยุโรป
เป็นที่น่าสังเกตว่าการวิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญไทยมาจากจุดยืนของอังกฤษมากกว่าหลักรัฐธรรมนูญนิยม จึงมักก่อให้เกิดความขัดแย้งทางความคิดมาตลอด ทั้งที่อังกฤษมีปัญหากับการตรวจสอบของศาล (judicial review) น้อยมาก เพราะศาลใช้อำนาจตรวจสอบฝ่ายอื่นน้อยมากนั่นเอง (ดู Allen R. Brewer-Carias, 2023, Judicial Review in Comparative Law, pp.37-38)
ประการที่สอง สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศแรกที่เริ่มออกจากระบบการถ่วงดุลอำนาจ โดยประธานาธิบดีตั้งองค์กรอิสระตั้งแต่สมัยแฟรงค์กลิน ดี รูสเวลท์ (Franklin D. Roosevelt) ทำให้ฝ่ายบริหารมีอำนาจมากเกินไป และองค์กรอิสระไม่ถูกตรวจสอบโดยมลรัฐ หลังจากยุครูสเวลท์ การใช้อำนาจอธิปไตยในสหรัฐอเมริกาจึงเกิดการกระจัดกระจายไปตามองค์กรอิสระ กลายเป็นปัญหาในการตรวจสอบและถ่วงดุลจนปัจจุบัน คำถามหลักที่ถูกถามมาตลอด ได้แก่ ใครจะตรวจสอบองค์กรอิสระ (ดู Cass R. Sunstein, 1987, Constitutionalism After the New Deal)
3. ปัญหาของการแก้ “กฎของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ในประเทศไทย
หากยึดตามหลักรัฐธรรมนูญนิยม รัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2560 บัญญัติ “กฎของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ไว้ในหมวด 5 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยมาตรา 255 และ 256
มาตรา 255 ห้ามแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือห้ามเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ
มาตรา 256 บัญญัติถึงขั้นตอนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเอาไว้มีทั้งหมดเก้าขั้นตอน
ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 “กฎของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” บัญญัติไว้เฉพาะกรณี “การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ” ไม่ได้บัญญัติให้สามารถ “แก้ไขรัฐธรรมนูญได้ทั้งฉบับ”
4. พรรคการเมืองไทยต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
ความเป็นมาโดยย่อมีลำดับดังนี้
(1) เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2563 พรรคเพื่อไทยมีมติเอกฉันท์ให้ยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 เพื่อจัดตั้ง ส.ส.ร. จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ยกเว้นการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2
(2) กลางเดือนพฤศจิกายน 2563 ที่ประชุมร่วมสองสภาพิจารณาญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญรวม 7 ฉบับ ผ่านวาระแรก
(3) ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 สมาชิกรัฐสภายื่นญัตติด่วนต่อรัฐสภา ขอให้ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่ารัฐสภามีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
(4) วันที่ 11 สิงหาคม 2564 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 4/2564 ว่ารัฐสภามีอำนาจแต่ต้องทำประชามติถามประชาชนก่อนว่าจะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และเมื่อจัดทำร่างเสร็จ ต้องทำประชามติ
(5) พ.ศ. 2566 ยุครัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน มีนโยบายร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
(6) ปลายเดือนสิงหาคม 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่ง
(7) นางสาวแพทองธาร แถลงนโยบายวันที่ 12 กันยายน 2567 ว่ารัฐบาลจะเร่งจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นโดยเร็วที่สุด โดยยึดโยงกับประชาชนและหลักการของประชาธิปไตย
(8) ช่วงต้นปี 2568 พรรคเพื่อไทยร่วมกับพรรคประชาชนเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ต่อรัฐสภา แต่ช่วงเดือนมีนาคม 2568 นายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. และนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.พรรคเพื่อไทยเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อนว่าต้องทำประชามติกี่ครั้ง
(9) ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 ว่าต้องทำประชามติสามครั้ง แต่จะตั้งส.ส.ร.จากการเลือกตั้งไม่ได้
5. พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนร่วมกันยื่นขอแก้ “กฎของการแก้รัฐธรรมนูญ”
เมื่อ “กฎของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ตามหมวด 15 ให้ทำได้เพียง “การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ”
ต่อมา พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนต้องการ “แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ยกเว้นเฉพาะหมวด 1 และหมวด 2” จึงต้องการแก้ “กฎของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ”
โดยการเพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกหมวดหนึ่ง เพื่อจัดให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมาดำเนินการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
6. ปัญหาตามหลักรัฐธรรมนูญนิยม
รัฐธรรมนูญ หมวด 15 เป็น “การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ”
แต่มาตรา 15/1 ที่ขอแก้เป็นการ “แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ” โดยใช้ชื่อว่า “หมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” โดยผ่านทางการตั้งส.ส.ร.
ปัญหา คือ ส.ส.มีอำนาจขอแก้ไขโดยการเพิ่มหมวด 15/1 เข้าไปในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
เมื่อวิเคราะห์ตามหลักรัฐธรรมนูญนิยม หมวด 15 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ย่อมถือว่าเป็น “กฎของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” (amendment rule)
หมวด 15/1 ที่จะเสนอเพิ่มเข้ามา ย่อมถือว่าเป็น “การแก้” กฎของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (amending constitutional amendment rule)
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 โดยการเพิ่มหมวด 15/1 เข้าไปในรัฐธรรมนูญ จึงมีผลตามมาตามหลักรัฐธรรมนูญนิยมอย่างน้อย 3 ประการ คือ
ประการแรก เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐธรรมนูญ จากการแก้ได้เฉพาะ “การแก้ไขเพิ่มเติม” มาเป็น “แก้ไขได้ทั้งฉบับ”
ประการที่สอง เป็นการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำหรือข้อความในรัฐธรรมนูญในระดับที่มากกว่าธรรมดา เพราะไม่ใช่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อย (minor change) แต่เป็นการแก้ไขขั้นเปลี่ยนแปลงรากฐานของรัฐธรรมนูญ (fundamental changes) หรือภาษากฎหมายรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา เรียกว่า “revision” ไม่ใช่ “การแก้ไขเพิ่มเติม” ที่เรียกว่า “amendment”
ประการที่สาม ตามหลักรัฐธรรมนูญนิยมถือว่าการเสนอขอเพิ่มมาตรา 15/1 เข้าไปใหม่นั้นเป็นแท็กติกส์การแก้ไขรัฐธรรมนูญสองชั้น (double amendment tactics) เพราะแทนที่ใช้วิธีการแก้ไขชั้นเดียว ด้วยการระบุลงไปให้ชัดว่าจะแก้ไขในประเด็นใดหรือเรื่องใด ยกตัวอย่างเช่น แก้ไขในประเด็นที่ว่าไม่ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจยุบพรรคการเมือง
ส.ส.หรือพรรคการเมืองดังกล่าวกลับไปขอแก้ “กฎของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” เพื่อตั้ง ส.ส.ร. มาแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกชั้นหนึ่ง
การใช้แท็กติกส์นี้ ยังถูกคลุมไว้ด้วยอำนาจการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กว้างขวางในเรื่องใดก็ได้ ตามเนื้อหาทั่วทั้งรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ยกเว้นหมวด 1 และหมวด 2
7. ผลกระทบต่อความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
หากยึดหลักรัฐธรรมนูญนิยม การแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยการเพิ่มหมวด 15/1 เข้าไปในรัฐธรรมนูญ อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ดังนี้
ประการแรก การแก้ “กฎการแก้รัฐธรรมนูญ” จากที่ทำได้เฉพาะ “การแก้ไขเพิ่มเติม” (หมวด 15) ไปเป็น “การแก้ไขทั้งฉบับ โดยการตั้งส.ส.ร.” (หมวด 15/1) อาจเข้าข่ายเป็นการเปลี่ยนแปลง “รูปแบบของรัฐธรรมนูญ”
ถ้าหาก “ผู้ร่าง” (framer) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มีเจตนารมณ์ที่จะให้แก้ไขรัฐธรรมนูญได้เฉพาะกรณี “การแก้ไขเพิ่มเติม” การเปลี่ยนมาเป็นการแก้ไขทั้งฉบับ โดยการตั้งส.ส.ร. ดังกล่าว ย่อมเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นการกระทำการเกินกว่าเจตนารมณ์ของผู้ร่าง อีกทั้งเป็นการเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งน่าจะเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยเฉพาะไม่ได้กระทำตามขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญ อันได้แก่ การสอบถามศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีฐานะเป็นผู้ตรวจสอบข้อเสนอในการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามหลักรัฐธรรมนูญนิยม ทั้งที่ฝ่ายผู้เสนอขอแก้ไขมีโอกาสที่จะสอบถามได้ ดังที่ได้มีการสอบถามศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นอื่นไปก่อนหน้านั้นและได้รับคำตอบกลับมาแล้ว แต่กลับมิได้มีการสอบถามในประเด็นที่ว่าสามารถแก้ไขโดยการเพิ่มหมวด 15/1 ลงไปในรัฐธรรมนูญเดิมได้หรือไม่
ส่วนที่อ้างว่า ส.ส. เป็นตัวแทนของประชาชน ซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย นั้นเป็นการอ้างตามระบบรัฐสภาอังกฤษ แต่ไม่อาจทำให้พ้นผิดตาม “หลักรัฐธรรมนูญนิยม” ที่ยึดหลักว่าต้องถือตามรัฐธรรมนูญ ศาลมีหน้าที่รักษาความสูงสุดของรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด ไม่ใช่ “สุภาษิต” หรือแค่ “คำแนะนำ” รัฐธรรมนูญต้องเป็นบรรทัดฐานที่มีผลในทางการปฏิบัติด้วย สภาไม่สามารถอ้างการเป็นตัวแทนประชาชนละเมิดรัฐธรรมนูญได้ ดังคำตัดสินของศาลสูงสหรัฐอเมริกา (the American Supreme Court) ในคดีระหว่างทร็อปกับดัลเลส (Trop v. Dulles) ค.ศ. 1958 ที่มีความตอนหนึ่งว่า
“The provision of the constitution are not time-worn adages ox hollow shibboleths. They are vital, living principles that authorize and limit governmental power in our nation. They are rules of government. When the constitutionality of an act of Congress is challenged in this Court, we must apply those rules. It we do not, the words of the constitution become little more than good advice.” (cited in Allan R. Brewer-Carias, 2023, Judicial Review in Comparative Law, Cambridge, p.155)
ข้อความข้างต้นนี้หมายความว่าถ้าสภากระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญ ศาลก็ต้องนำเอารัฐธรรมนูญไปตัดสิน ถ้าหากศาลไม่ทำการตัดสิน ถ้อยคำหรือข้อความที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญก็เป็นได้แค่คำแนะนำ
ประการที่สอง ศาลรัฐธรรมนูญไทยได้เตือนไว้แล้ว คำวินิจฉัยวันที่ 10 กันยายน 2568 ศาลวินิจฉัยว่า ส.ส. ไม่สามารถเสนอให้ตั้ง ส.ส.ร. โดยการเลือกตั้งจากประชาชนมาแก้รัฐธรรมนูญโดยการเพิ่มหมวด 15/1 ได้
ความหมายของศาลน่าจะเป็นว่าการเพิ่มหมวด 15/1 การแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยใช้วิธีตั้ง ส.ส.ร. มาทำหน้าที่แทนส.ส. นั้น ทำไม่ได้ ความหมายของศาลน่าจะหมายความรวมถึงส.ส.ร.ทุกประเภท ไม่ว่าจะมาจากทางอ้อมหรือวิธีการใด
ศาลน่าจะเห็นว่าการเพิ่มหมวด 15/1 แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับนั้น เป็นการแก้ไขที่เกินกว่า “กฎของการแก้ไขรัฐธรรมนูญเดิม” ตามหมวด 15 ที่กำหนดไว้ ซึ่งให้แก้ไขได้เฉพาะ “การแก้ไขเพิ่มเติม” รัฐธรรมนูญ
ประกอบกับศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถวินิจฉัยเกินกว่าบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเดิมและเจตนารมณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญเดิมได้ เพราะจะเป็นกรณี “judicial overreach”
ประการที่สาม การเพิ่มหมวด 15/1 นอกจากจะเปลี่ยน “กฎของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” และ “เปลี่ยนรูปแบบของรัฐธรรมนูญแล้ว” ยังมีค่าเท่ากับ ส.ส. “ได้กระทำการลบล้างอำนาจ” (overrule) ของรัฐธรรมนูญตามถ้อยคำหรือข้อความที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ประการที่สี่ ศาลรัฐธรรมนูญไทยได้วางแนวคำวินิจฉัยที่ 3/2567 ทำนองว่า การที่พรรคการเมืองพรรคหนึ่งมีนโยบายแก้กฎหมายอาญาฉบับหนึ่งนั้น เป็นนโยบายและพฤติการณ์ที่แสวงหาคะแนนนิยมทางการเมืองและมีพฤติการณ์ล้มล้างและเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เมื่อนำมาเทียบเคียงกับการแก้รัฐธรรมนูญโดยการเสนอขอเพิ่มหมวด 15/1 แล้ว ย่อมเห็นได้ว่ามีลักษณะคล้ายกัน ได้แก่ การแก้รัฐธรรมนูญโดยการเพิ่มหมวด 15/1 น่าจะเข้าข่ายเป็นการแสวงหาคะแนนนิยมทางการเมือง โดยมีนักการเมืองและพรรคการเมืองกล่าวอ้างซ้ำ ๆ กันในการแถลงนโยบายและในเหตุผลของการเสนอร่างแก้ไขโดยการเพิ่มหมวด 15/1 ว่าเป็นการยึดโยงกับประชาชนและเป็นการทำให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น นอกจากนั้น ยังมีพฤติการณ์แสดงออกโดยการจัดทำข้อตกลงเพื่อบีบบังคับพรรคอื่นในระหว่างการจัดตั้งรัฐบาลและกำหนดเงื่อนไขให้พรรคอื่นร่วมกันเสนอขอแก้รัฐธรรมนูญหมวด 15/1 อีกทั้งยังกำหนดเงื่อนไขให้พรรคนั้นทำการยุบสภาหลังการตั้งส.ส.ร. แล้ว เพื่อให้พรรคตนได้เปรียบในการเลือกตั้งในครั้งต่อไป
ประเด็นที่น่าจะพิจารณา คือ การเปลี่ยนรูปแบบของรัฐธรรมนูญ ถือว่าเป็นการล้มล้างการปกครองด้วยหรือไม่ เพียงใด
ทางด้านเจตนาและเจตนาพิเศษ ผู้กระทำการดังกล่าวย่อมรู้หรือควรที่จะรู้ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยการเพิ่มหมวด 15/1 ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐธรรมนูญ เพราะเมื่อได้เพิ่มหมวด 15/1 แล้ว จะยิ่งทำให้รัฐธรรมนูญขาดเสถียรภาพ และขาดความเป็นรัฐธรรมนูญที่จริงแท้ (as a genuine constitution) เนื่องจากง่ายต่อการแก้ไขเปลี่ยนแปลง หากทำเช่นนี้ได้ พรรคการเมืองอื่นย่อมอาศัยวิธีการเดียวกันนี้แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับเพื่อแสวงหาคะแนนนิยมอย่างไม่รู้จบ ฐานะของรัฐธรรมนูญย่อมเปลี่ยนแปลงจากกฎหมายสูงสุดไปเป็นกฎหมายธรรมดาและมีคุณค่าของการเป็นบรรทัดฐานในการปกครองประเทศลดน้อยถอยลง
ตามหลักรัฐธรรมนูญนิยม การแก้ “กฎของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” เป็นเรื่องใหญ่มาก ไม่อาจกระทำได้โดยการเพิ่มบทบัญญัติของกฎหมายเข้าไปอีกหมวดหนึ่งเหมือนการแก้ไขกฎหมายธรรมดา จึงน่าสนใจว่าศาลรัฐธรรมนูญไทยจะมีแนวคำวินิจฉัยอย่างไรต่อไป
บทความโดย :
ทนายบ้าน ๆ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา