
"...การใช้ชีวิตหน้าจอสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเป็นหลักทำให้คน เจนZ ขาดโอกาสในการเผชิญหน้ากับผู้คน จากการศึกษาพบว่าในปี 2555(2012) ซึ่งเป็นปีที่มีการใช้สมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดียอย่างกว้างขวาง ครึ่งหนึ่งของวัยรุ่นอเมริกันติดต่อกับผู้คนผ่านจอมากกว่าการพบกันซึ่งหน้า ข้อมูลในปี 2561(2018) พบว่าจำนวนการติดต่อกับผู้คนผ่านจอของวัยรุ่นอเมริกันเพิ่มขึ้นเป็น 2 ใน 3 และยังพบว่าพวกเขาออกจากบ้านน้อยลงด้วยเมื่อเทียบกับคนยุคพ่อแม่ พวกเขาเห็นว่า กิจกรรมการสื่อสารในโลกออฟไลน์ที่คนยุคก่อนหน้าเคยทำกันคือความไม่ปกติของพวกเขา..."
การประท้วงที่เมืองกาฐมาณฑุเมืองหลวงและในอีกหลายเมืองของเนปาลจนนำไปสู่การจลาจลและนำไปสู่การสูญเสียของผู้คนนับสิบชีวิตและสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและอาคารสถานที่สำคัญมากมายซึ่งถือว่าเป็นเหตุการณ์จลาจลครั้งใหญ่ของเนปาลที่เรียกกันในภาษานักข่าวว่า "การประท้วงของคนเจนเนอเรชัน Z" สาเหตุของการประท้วงของคน เจนเนอเรชัน Z (แซด/เซด/ซี) ข่าวหลายสำนักรายงานตรงกันว่า เกิดจากปัจจัยหลัก 6 ประการได้แก่ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจทั่วไป ปัจจัยการคอร์รัปชัน การมีบทบาทของกลุ่มเด็กอภิสิทธิ์ภายใต้ระบบอุปถัมภ์หรือที่เรียกกันว่า เนโปคิด( Napo kid ) คนรุ่นใหม่ขาดโอกาสทางเศรษฐกิจ ซึ่งทั้ง 4 ปัจจัยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานจนกลายเป็นเชื้อปะทุ รวมทั้งอีก 2 ปัจจัยซึ่งได้แก่ การตรากฎหมายใหม่เพื่อใช้บังคับบรรดาแพลตฟอร์มและฟางเส้นสุดท้ายที่กระตุ้นให้เกิดการบานปลายถึงขั้นจลาจลคือการปิดแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจำนวน 26 แพลตฟอร์มที่เพิกเฉยต่อประกาศของรัฐบาลต่อการลงทะเบียนรับทราบกฎหมายใหม่
เนโปคิด(Nepo kids)
ก่อนหน้าที่การประท้วงจะบานปลายจนเกิดการเสียชีวิตของผู้คนและมีการสังหารบุคคลย่างโหดเหี้ยมทารุณ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองมีการรณรงค์ให้ผู้คนได้เห็นถึงถึงวิถีชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือยของลูกหลานนักการเมืองที่เรียกว่า เนโปคิด แคมเปญจน์(Nepo kids campaign) โดยเป็นการรณรงค์ที่เน้นถึง ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างคนรวยและคนจน ของ เนปาล ซึ่งอภิสิทธิ์ชนเหล่านี้เรียกกันว่า เนโปคิด( Napo kids ) หรือ เนโปเบบี้ (Nepo baby) ซึ่งมาจากคำเดิมว่า Nepotism baby หมายถึงคนที่มีความก้าวหน้าในอาชีพการงานอย่างมากจากความสัมพันธ์และอิทธิพลของพ่อแม่ คนเหล่านี้มักอวดทรัพย์สินฟุ่มเฟือยและแสดงการใช้ชีวิตที่หรูหราของตนเองผ่านโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มต่างๆ ขณะที่คนในประเทศเนปาลยังยากจนและมีรายได้ต่อหัวเพียง 1,400 ดอลลาร์ต่อปีเท่านั้นซึ่งเป็นภาพที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงในสังคมของประเทศเนปาล
ผู้ประท้วงยังมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงความล้มเหลวของรัฐบาลในการดำเนินคดีคอร์รัปชันสำคัญบางคดี รวมทั้งยังโจมตีรัฐบาลว่าล้มเหลวในการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับคนรุ่นเยาว์ โดยเฉพาะอัตราการว่างงานของเยาวชนในเนปาลสูงถึง 20 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้การแบนโซเชียลมีเดียในเวลาต่อมาทำให้ผู้ประท้วงรู้สึกว่าเป็นความพยายามของรัฐบาลที่จะหยุดยั้งผู้คนจากการโพสต์วิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมของ เนโปคิด ซึ่งแสดงถึง ชีวิตที่หรูหราของครอบครัวและลูกๆ ของนักการเมืองและข้าราชการที่ทุจริต ของเนปาล ซึ่งได้สร้างความโกรธเคืองให้กับผู้ประท้วงยิ่งขึ้นไปอีก คำว่า เนโปคิด จึงกลายเป็นไวรัลในโซเชียลมีเดียของเนปาลและกลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้จุดกระแสการประท้วงอย่างรวดเร็ว
พวกเนโปคิดมักยกตัวเองให้เหนือกว่าผู้อื่นทางสังคมหรือทำตัวเหนือกว่าผู้อื่นด้วยการอวดทรัพย์สินเงินทองและของประดับราคาแพง รวมทั้งการประกวดประชันในความมีอภิสิทธิ์เหนือผู้อื่นผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น TikTok Instagram Reddit และ X รวมทั้งติด แฮชแท็ก #PoliticiansNepoBabyNepal และ #NepoBabies ท่ามกลางข้อกล่าวหาว่าการอวดมั่งอวดมีของเนโปคิดเหล่านี้ใช้แหล่งเงินจากภาษีอากรของคนส่วนใหญ่เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและของกลุ่ม
อย่างไรก็ตามการแสดงออกเชิงโอ้อวดของ เนโปคิดในไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เพราะการเข้ามาของสื่อใหม่ประเภทโซเชียลมีเดียเป็นการเปิดโลกของการแสดงตัวตนยุคใหม่ ดังนั้นไม่ว่า เฟซบุ๊ก X Line IG TikTok ฯลฯ จึงเป็นแพลตฟอร์มที่ถูกออกแบบให้มนุษย์ทุกคนต้องแสดงออก คนธรรมดาๆหรือเนโปคิดก็ไม่อยู่ในข้อยกเว้นที่จะหักห้ามตัวเองไม่ให้มีส่วนร่วมกับสังคมของโซเชียลมีเดียได้ การไม่ปรากฎตัวหรือการนิ่งบนแพลตฟอร์มจึงเป็นเหมือนการหายไปจากสังคมของโลกเสมือนที่เต็มไปด้วยเพื่อนและผู้ติดตาม ทุกคนจึงต้องพยายามหาคอนเทนต์มาโพสต์อยู่เสมอเพื่อไม่ให้ตัวเองหายไปจากความทรงจำและการติดตามของผู้คนและบอกกับโลกว่าฉันยังอยู่ในโลกออนไลน์
ปรากฎการณ์ เนโปคิด ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศเนปาลเท่านั้น สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานในหลายประเทศเป็นต้นว่า อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา หรือแม้แต่ประเทศไทยที่คนเหล่านี้มีความเชื่อมโยงทางการเมืองโดยนักการเมืองมักใช้อิทธิพลของตัวเองผ่องถ่ายอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมืองให้ทายาทและคนในครอบครัวและคนในโครงข่ายเดียวกัน ในยุคที่อดีตประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ยังอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีของอินโดนีเซีย ลูกชายคนโตของเขา กิบราน รากาบูมิง รากา (Gibran Rakabuming Raka) ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวก เนโปคิด เพราะอาศัยเส้นสายของพ่อและไม่มีประสบการณ์ขณะลงสมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของอินโดนิเซียเมื่อเกือบสองปีก่อน ขณะที่เขาปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าเขาเป็นพวกเนโปคิดนั้นไม่เป็นความจริง แต่ข่าวคราวของเขาเรื่องการใช้เส้นสายและอิทธิพลของพ่อยังคงถูกพาดพิงอยู่เสมอเมื่อมีการหยิบประเด็นเรื่องเนโปคิดขึ้นมาพูดถึง
เมื่อครั้งที่ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ลูกชายของฮุนเซนเข้ารับตำแห่งแทนฮุนเซนซึ่งเป็นพ่อเมื่อสองปีก่อน ก็เคยถูกสื่อขนานนามว่าเป็น เนโปเบบี้ เพราะอำนาจการบริหารถูกผ่องถ่ายมาจาก ฮุนเซนผู้เป็นพ่อส่งต่อมาถึงเขา แม้แต่อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยที่เพิ่งพ้นจากตำแหน่งไปก็อยู่ในข่าย เนโปคิด เพราะหากไม่มีบารมีจากพ่อก็คงไม่สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทยได้ พฤติกรรมของเนโปคิดหรือเนโปเบบี้จึงพบได้ทั่วไปในประเทศที่ยังคงใช้ระบบอุปถัมภ์และเส้นสายจากความสัมพันธ์ของครอบครัวและคนในเครือข่ายเดียวกันแม้แต่สหรัฐอเมริกาก็ไม่เว้นถูกกล่าวหาว่ามีเนโปคิดอยู่มากมายเช่นกัน

คนเจนเนอเรชัน Z
การประท้วงในเนปาลที่เรียกว่าการประท้วงของคนในเจนเนอเรชัน Z เป็นเรื่องที่น่าสนใจเพราะเป็นการประท้วงจากคนกลุ่มใหม่ที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2538 ถึง 2555(1995-2012) ซึ่งเด็กที่เกิดในช่วงเวลานี้ปัจจุบันจะมีอายุมากที่สุด 30 ปีและอายุน้อยที่สุด 13 ปีและเป็นวัยที่ไม่เคยรู้ว่าโลกที่เคยไม่มี สมาร์ทโฟน อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียนั้นผู้คนใช้ชีวิตกันอย่างไร
สมาร์ทโฟน อินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดีย คอนเทนต์และการยอมรับจากเพื่อนบนโลกออนไลน์ จึงเป็นสิ่งที่ต้องอยู่คู่กับชีวิตของคนเจน Z ตลอดเวลาและตราบใดก็ตามที่รัฐบาลยอมให้โซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทในสังคมแล้วก็จะไม่สามารถย้อนเวลากลับไปสู่ยุคที่ผู้คนไร้โซเชียลมีเดียได้อีกต่อไป สิ่งที่พอจะทำได้คือ ทำความเข้าใจ ยอมรับ และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้เท่านั้น
เมื่อสตีฟ จ็อบส์ เปิดตัว ไอโฟน ต่อสาธารณะครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคม ปี 2550 เด็กเจน Z ที่โตที่สุดมีอายุราว 12 ปี ซึ่งเป็นวัยที่สามารถใช้โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ตโซเชียลมีเดียและเครื่องมือสื่อสารอื่นๆเพื่อความบันเทิงและการติดต่อกับเพื่อนฝูงได้แล้ว สมาร์ทโฟน อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย จึงปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตของเด็กในยุคนั้นเรื่อยมาและสิ่งเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่อยู่ในวงจรชีวิตปกติของพวกเขาจนเป็นเหมือนเป็นเหมือนอวัยวะหนึ่งของร่างกายและคอนเทนต์บนโลกออนไลน์คือออกซิเจนที่หล่อเลี้ยงอวัยวะและชีวิตของพวกเขาให้ดำเนินต่อไป การตัดสินใจปิดแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของรัฐบาลจึงเป็นเหมือนการตัดสายออกซิเจนของคน เจน Z ที่หล่อเลี้ยงชีวิตพวกเขาโดยฉับพลัน จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาต้องดิ้นรนต่อสู้ทุกวิถีทางเพื่อให้วงจรชีวิตของพวกเขาได้รับออกซิเจนกลับมาหายใจได้ปกติดังเดิม
แม้ภายหลังรัฐบาลเนปาลตัดสินใจที่จะยกเลิกคำสั่งการปิดกั้นโซเชียลมีเดียแต่ก็สายเกินไปที่จะหยุดยั้งความโกรธแค้นของผู้คนที่อยู่ในระดับที่เกินกว่าจะควบคุมได้จนสามารถทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าและนำไปสู่วิกฤติครั้งใหญ่ของเนปาลซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ต้องถือเป็นบทเรียนสำคัญของผู้นำเมื่อต้องเผชิญกับการตัดสินใจในสถานการณ์ที่อ่อนไหวในโลกที่โซเชียลมีเดียเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คน
ในทางชีววิทยา เด็กเจน Z เป็นมนุษย์ที่ไม่ได้แตกต่างจากคนยุคพ่อแม่และบรรพบุรุษของพวกเขา สิ่งที่ต่างออกไปคือสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปจากคนยุคเดิมค่อนข้างมากและหล่อหลอมให้พวกเขามีพฤติกรรมดังที่ปรากฎให้เห็น พวกเขาใช้เวลาอยู่กับหน้าจอมากกว่าคนรุ่นพ่อแม่และมีทักษะในการติดสื่อสารผ่านอุปกรณ์ต่างๆอย่างดีจนน่าทึ่ง คนเจน Z เห็นว่าเครื่องมือสื่อสารยุคก่อนหน้าเป็นระบบการสื่อสารที่เชื่องช้า ล้าสมัยไม่ทันต่อความต้องการและไม่คล่องตัวเหมือนกับโซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชันต่างๆในยุคของพวกเขา คนในเจนZ มองเครื่องมือสื่อสารประเภทอีเมล์ว่าเชื่องช้าและเป็นทางการเกินไป การเข้าไปใช้อีเมล์ของเด็กเจน Z เป็นเหมือนการถูกมอบหมายงานหรือต้องทำการบ้านมากกว่าที่จะเป็นการติดต่อสื่อสาร เด็กเจนZ ชาวอเมริกันคนหนึ่งเคยบอกกับนักข่าวว่า “ เมื่อใดที่ได้รับอีเมล์ ผมเหมือนถูกแทงด้วยอาวุธ” ซึ่งเป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากคนยุคก่อนหน้าที่ถือว่าอีเมล์คือเครื่องมือสื่อสารที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จนถึงทุกวันนี้พวกเขาก็ยังไม่รังเกียจที่จะใช้อีเมล์แม้ว่าจะมีเครื่องมืออื่นเป็นทางเลือกก็ตาม
การใช้ชีวิตหน้าจอสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเป็นหลักทำให้คน เจนZ ขาดโอกาสในการเผชิญหน้ากับผู้คน จากการศึกษาพบว่าในปี 2555(2012) ซึ่งเป็นปีที่มีการใช้สมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดียอย่างกว้างขวาง ครึ่งหนึ่งของวัยรุ่นอเมริกันติดต่อกับผู้คนผ่านจอมากกว่าการพบกันซึ่งหน้า ข้อมูลในปี 2561(2018) พบว่าจำนวนการติดต่อกับผู้คนผ่านจอของวัยรุ่นอเมริกันเพิ่มขึ้นเป็น 2 ใน 3 และยังพบว่าพวกเขาออกจากบ้านน้อยลงด้วยเมื่อเทียบกับคนยุคพ่อแม่ พวกเขาเห็นว่า กิจกรรมการสื่อสารในโลกออฟไลน์ที่คนยุคก่อนหน้าเคยทำกันคือความไม่ปกติของพวกเขา
การใช้ชีวิตในโลกออนไลน์และการขาดการพบปะผู้คนทำให้การมีส่วนร่วมในสังคมของเด็กอเมริกันเจน Z ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ผลการศึกษาของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Rochester ในสหรัฐอเมริกา พบว่า ระหว่างปี พ.ศ. 2553-2562(2010-2019) การมีส่วนร่วมทางสังคม(Social engagement) ของวัยรุ่นอเมริกันอายุระหว่าง 15 ถึง 24 ปีลดลงมากถึงครึ่งหนึ่งจากเดิมที่เคยอยู่ที่ 133 นาที ลดลงเหลือเพียง 67 นาทีต่อวันเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าเวลาที่คนกลุ่มนี้จะพบปะกับเพื่อนๆลดลงมากถึง 400 ชั่วโมงต่อปี นอกจากนี้ยังพบว่าเวลาเพื่อการบันเทิง(Leisure time) ที่ต้องสัมผัสกับผู้คน เช่น การเล่นกีฬา การทานอาหารร่วมกัน หรือการดูการแสดงต่างๆลดลงจาก 238 นาทีเหลือเพียง 189 นาทีต่อวันหรือราว 300 ชั่วโมงต่อปีและเวลาที่พบหน้ากับสมาชิกในครอบครัวก็ลดลงด้วย จาก 211 นาทีต่อวัน เหลือ 187 นาทีต่อวันและมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น
ผลการศึกษาในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า คนเจน Z มักใช้ชีวิตแยกตัวออกจากสังคมในโลกแห่งความจริงและใช้เวลาส่วนหนึ่งในโลกเสมือน ซึ่งแสดงว่า ยิ่งผู้คนใช้เวลาเทคโนโลยีประเภทจอมากขึ้นเพียงใด ก็จะมีโอกาสถูกตัดขาดจากโลกภายนอกและโดดเดี่ยวมากขึ้นเท่านั้น พวกเขาจึงเติบโตแบบไร้เสาค้ำยันที่มั่นคงและเปราะบางต่อการเผชิญปัญหาในโลกแห่งความจริงจนอาจไม่สามารถหาทางออกได้ในบางสถานการณ์ การใช้ชีวิตอยู่ในโลกออนไลน์แบบไม่ลืมหูลืมตาจึงขัดกับธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ที่ต้องพบหน้ามนุษย์ด้วยกันอยู่แทบตลอดเวลา

ปัญหาสุขภาพจิต(Mental health)
จากข้อมูลจากสถาบันจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ พบว่า เด็กและเยาวชนไทยใช้ชีวิตอยู่หน้าจอมากกว่าสถิติโลก คือ 35 ชม./สัปดาห์ ซึ่งปกติไม่ควรเกิน 16 ชม/สัปดาห์ จากการสำรวจเด็กวัย 6 – 18 ปี จำนวนกว่า 15,000 คน พบว่า ร้อยละ 61 มีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการติดเกมออนไลน์ เพราะเล่นเกมมากกว่า 3 ชั่วโมง/วัน และจากเกมออนไลน์จะนำพาเด็กและเยาวชนไปสู่ความเสี่ยงอื่นๆด้วย หนึ่งในความเสี่ยงที่เด็กและเยาวชนทั่วไปซึ่งส่วนใหญ่อยู่ใน เจน Z เข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในโลกออนไลน์มากเกินไปนอกจากโรคทางกายภาพ(สายตาเสีย นอนไม่หลับ ฯลฯ) แล้วโรคทางอารมณ์ที่เกิดจากการเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนซึ่งเป็นเหมือนจักรวาลคู่ขนานกับโลกแห่งความจริงคือปัจจัยที่ทำให้เด็กในเจน Z มีภาวะความผิดปกติทางจิตใจเพิ่มขึ้น
จากการศึกษาข้อมูลของวัยรุ่นในช่วงต้นทศวรรษ 2010 (ช่วงปี 2553) ของสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนสามารถเข้าถึง อินเทอร์เน็ต สมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดีย มีการพบเบาะแสสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพจิตของวัยรุ่น เบาะแสแรกคือ การเพิ่มขึ้นของปัญหาทางจิตกระจุกตัวอยู่ในความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับความวิตกกังวล(Anxiety)และภาวะซึมเศร้า(Depression) ซึ่งเป็นความผิดปกติทางจิตเวชที่จัดอยู่ในกลุ่มอาการทางจิตเวชที่เรียกว่า ความผิดปกติภายใน (Internalizing Disorders)/หรือปัญหาพฤติกรรมแบบเก็บกด(Internalizing problem) ซึ่งเป็นความผิดปกติทางจิตใจที่แสดงออกภายในตนเอง ไม่ใช่พฤติกรรมภายนอก ซึ่งเป็นความผิดปกติที่บุคคลรู้สึกทุกข์ทรมานอย่างรุนแรงและมีอาการภายใน โดยผู้ป่วยจะเก็บปัญหาและความทุกข์ไว้ข้างใน ทำให้เกิดอาการ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล กลัว หรือย้ำคิดย้ำทำ โดยมีลักษณะที่แสดงออกคือ กังวล กลัว เศร้า และหมดหวัง เป็นต้นและมักตีตัวออกห่างความสัมพันธ์ของสังคม(Social engagement)
ในขณะปัญหา ความผิดปกติภายนอก (Externalizing Disorders)ซึ่งเป็นความผิดปกติที่บุคคลรู้สึกทุกข์ทรมานและแสดงอาการและการตอบสนองออกมาภายนอกที่มุ่งเป้าไปที่ผู้อื่น ภาวะเหล่านี้ยังรวมไปถึงความผิดปกติทางพฤติกรรม ความยากลำบากในการจัดการกับ ความโกรธและแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรงและความเสี่ยงที่มากเกินไปก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน
จากการศึกษายังพบว่า ในทุกช่วงอายุ ในหลากหลายวัฒนธรรม และหลากหลายประเทศ เด็กหญิงและผู้หญิงมีอัตราการเกิด ความผิดปกติภายใน (Internalizing Disorders) สูงกว่า ในขณะที่เด็กชายและผู้ชายมีอัตราการเกิดความผิดปกติภายนอก(Externalizing disorder) สูงกว่า
เบาะแสที่สองผู้วิจัยพบว่าผลกระทบทางอารมณ์เกี่ยวกับความกังวลไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับคนใน เจน Z เท่านั้นแต่ยังลามไปถึงผู้คนในกลุ่ม มิลเลนเนียล (เดิมเรียกว่าเจน Y) ที่มีอายุน้อย ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เกิดก่อนหน้าพวกเจน Z อีกด้วย ( เจนเนอเรชัน มิลเลนเนียล เกิดระหว่าง ปี 2523-2537 )
การศึกษาของประเทศเนปาลเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างเวลาหน้าจอกับปัญหาพฤติกรรมของเด็กในโรงเรียนประถม( Relationship Between Screen Time and Behavioral Problems in Primary School Students) ในชุมชนแห่งหนึ่งในเขตเทศบาลของ เมืองกาฐมาณฑุ โดยการเก็บตัวอย่างจาก นักเรียนระดับประถมศึกษาจำนวน 314 คน โดย 52.5% มาจากโรงเรียนเอกชน และ 47.5% มาจากโรงเรียนชุมชน เวลาหน้าจอเฉลี่ยต่อวันคือ 1.96 ชั่วโมง และนักเรียนมากกว่าหนึ่งในสี่มีเวลาหน้าจอมากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนที่มีเวลาหน้าจอมากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวันมีคะแนนปัญหาภายใน (Internalizing problem) สูงขึ้น (8.93±3.453) และคะแนนปัญหาภายนอก(Externalizing problem) สูงขึ้น (9.28±3.885) เช่นกันโดยมีคะแนนปัญหารวม (18.21±6.253) เมื่อเทียบกับนักเรียนที่มีเวลาหน้าจอน้อยกว่า 2 ชั่วโมง (6.97±3.285, 6.10±3.398 และ 13.07±5.402 ตามลำดับ) ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาของสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร
การศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างของเด็กประถมของเนปาลได้ผลสรุปว่า การใช้เวลาหน้าจอมากขึ้นในเด็กมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับปัญหาพฤติกรรมที่มากขึ้น การศึกษาของเนปาลครั้งนี้เป็นไปตามข้อปฏิบัติและคำแนะนำที่กำหนดโดยหน่วยงานกำกับดูแลระหว่างประเทศร่วมกับแนวทางของประเทศเนปาลเองที่ต้องหามาตรการในการจำกัดเวลาหน้าจอในเด็กเพื่อพัฒนาสุขภาพจิตที่ดีขึ้น
นอกจากปัญหาข้างต้นแล้วยังมีการพบว่าเด็กวัยรุ่นมีความพึงพอใจกับชีวิตของตัวเองและตัวตนของพวกเขาเองน้อยลง ข้อมูลยืนยันว่าความไม่พึงพอใจในตัวเองของเด็กเกรด 12 ในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังจากปี 2555(2012) และเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในช่วงเวลา 8 ปี (2012-2020) ขณะที่ตัวเลขไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนักในช่วงสี่ทศวรรษที่ผ่านมา
จากผลการศึกษาข้างต้นแสดงให้เห็นว่าคนทุกวัย ทุกวัฒนธรรมและทุกประเทศที่ อินเทอร์เน็ต สมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดียเข้าถึง มีโอกาสที่จะเผชิญกับภาวะแปรปรวนของสุขภาพจิตได้ทั้งสิ้น พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของคนเจน Z ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า การประท้วงที่รุนแรง ป่าเถื่อนจนถึงขั้นทำร้ายผู้คนอย่างโหดเหี้ยมในเนปาลของคนอายุ 13 ถึง 28 ปี มีความสัมพันธ์มากน้อยเพียงใดกับอุดมการณ์ทางการเมืองและปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิตของคนวัยนี้นอกเหนือจากปัจจัยอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดปกติภายนอกของผู้ชายซึ่งเป็นความผิดปกติทางพฤติกรรมที่มีความยากลำบากในการจัดการกับ ความโกรธและความรุนแรงที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การประท้วงไปลุกลามไปไกลจนยากที่จะควบคุมได้
การประท้วงอย่างรุนแรงและบ้าคลั่งของกลุ่มคนเจน Z ในเนปาลเป็นตัวอย่างของการประท้วงซึ่งนอกจาก ปัญหาทางเศรษฐกิจ การคอร์รัปชัน และการปิดกั้นโซเชียลมีเดียแล้ว ปัญหาพฤติกรรมของคนเจน Z และความมีอภิสิทธิ์ของ เนโปคิด เป็นปัจจัยที่น่าเรียนรู้ เพราะปรากฎการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นทั่วไปในหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการเมืองไทยที่มักมีการส่งลูกหลานและเครือญาติเข้ามาบริหารประเทศจนเกิดข้อครหาว่าเอาคุณหนูที่ไม่มีความรู้และขาดประสบการณ์เข้ามานั่งตำแหน่งสำคัญๆ รวมไปถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนพาประเทศไปสู่การถูกทำลายเกียรติภูมิถึงขั้นย่อยยับและต้องสิ้นสุดการเป็นรัฐบาลนั้น อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่คนไทยต้องให้ความสนใจต่อปรากฎการณ์เนโปคิดในเมืองไทยและอย่าได้วางใจว่าพฤติกรรมของเนโปคิดจะไม่เป็นเชื้อปะทุและลามเป็นปัญหาใหญ่จนสายเกินแก้เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วในประเทศเนปาล ตราบใดที่นักการเมืองยังคงต้องการครองอิทธิพลทางการเมืองไว้ในมือด้วยการถ่ายโอนอำนาจสู่ทายาทและคนในเครือข่ายเสมือนว่าบ้านเมืองคือธุรกิจของครอบครัวตัวเอง
บทความโดย :
พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร
อ้างอิง
1.Generations โดย Jean M.Twenge
2.Superbloom โดย Nicholas Carr
3. https://pt.mahidol.ac.th/ptcenter/knowledge-article/screen_time_in_child/
4.The Anxious Generation โดย Jonathan Haidt
5. https://www.nepjol.info/index.php/JPAN/article/view/53810
ภาพประกอบ
https://www.npr.org/2025/09/09/nx-s1-5535887/nepal-protests-gen-z-explained

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา