
"...เจิ้งเฟยเติบโตมาด้วยความหวาดกลัว แม้เขาจะเป็นเด็กที่ชาญฉลาด แต่เขาถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าร่วมกลุ่มยุวชนแดง จากที่พ่อเคยฝักใฝ่พรรคชาตินิยม เขาตัดสินใจใช้ชีวิตจมอยู่กับกองหนังสือ เน้นอ่านหนังสือคำนวณและด้านปรัชญา พร้อมกับเรียนภาษาต่างชาติถึง 3 ภาษา ครอบครัวเริ่มขาดรายได้ แถมเผชิญกับภัยแล้ง ทำให้ครอบครัวที่มีพี่น้องถึง 7 คน ต้องแบ่งปันอาหารให้เพียงพอเพื่อประทังชีวิตในแต่ละวันแต่เขาสามารถฝ่าฟันวิกฤติ จนเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฉงซิ่ง ซึ่งแม้จะไม่ใช่สถานศึกษาชั้นนำเทียบเท่ามหาวิทยาลัยชิงหวาหรือมหาวิทยาลัยปักกิ่ง แต่เมื่อย้อนไปถึงช่วงวัยเด็กที่เติบโตในเมืองเล็ก ๆ และฐานะครอบครัวไม่ดีนัก ถือว่าเจิ้งเฟยทำได้ดีทีเดียว..."
เครื่องบินคาเธ่ย์แปซิฟิคเที่ยวบินที่ CX 838 บินจากฮ่องกงมาถึงเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ในวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 2018 เวลา 11.10 น. ก่อนเวลาเล็กน้อย ผู้โดยสารค่อย ๆ ทยอยเดินออกมาจากงวงช้างประตูหมายเลข 65 เป็นการเดินทางที่ไม่แตกต่างกับวันอื่น ๆ แต่ผู้โดยสารเริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ เมื่อพบเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง มายืนดักรออยู่ที่ทางออก พร้อมสายตาจ้องไปที่ผู้โดยสารที่เดินออกมาทีละคน จนมีผู้หญิงวัยกลางคน ใส่ชุดวอร์มสีดำมีฮู้ด สวมใส่รองเท้าผ้าใบ ผมดำสลวยยาวพาดไหล่ เดินออกมา มีแผนแวะบ้านพักใจกลางเมือง ก่อนเดินทางไปประชุมผู้นำกลุ่มประเทศ G20 ที่ประเทศอาร์เจนตินาในวันรุ่งขึ้น ทันใดนั้น เจ้าหน้าที่หน้าตาเคร่งขรึมเดินปรี่เข้ามาหาเธอ พร้อมขอดูหนังสือเดินทาง ก่อนให้เธอยื่นโทรศัพท์มือถือของเธอมาให้ ด้วยการเดินทางหลายชั่วโมงและมีอาการอิดโรย เธอจึงยินยอมให้เจ้าหน้าที่ยึดมือถือทั้งสองเครื่องที่ติดตัวมาด้วยแต่โดยดี โดยถูกนำมาใส่ไว้ในถุงหนา ป้องกันการสื่อสารเข้าออกและไม่ให้ข้อมูลที่อยู่ในมือถือถูกลบทิ้ง ซึ่งในภายหลังทนายของเธอบอกว่า เธอไม่สามารถปฏิเสธได้ [1]
เจ้าหน้าที่พาเธอไปชี้กระเป๋าเดินทางที่โหลดขึ้นเครื่องมา ค้นกระเป๋าแบบกระจุยกระจาย พร้อมยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัวและ iPad ที่อยู่ในกระเป๋าเพิ่มเติม และคาดคั้นให้เธอบอกรหัสผ่านเพื่อเข้าสู่ระบบมือถือและคอมพิวเตอร์ที่ถูกยึดดังกล่าว ถูกสอบสวนนานร่วม 3 ชั่วโมง ก่อนถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงในสหรัฐอเมริกา และสร้างความตกใจและหวาดกลัวมากขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่บอกว่า เธอจะถูกเนรเทศส่งตัวไปดำเนินคดีที่สหรัฐอเมริกา
เหตุการณ์ข้างต้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มีแผนการจับกุมที่เตรียมการอย่างรัดกุม และทราบดีว่าการจับกุมในครั้งนี้จะเป็นข่าวดังกระฉ่อนไปทั่วโลก เพราะเธอคือ เมิ่ง หว่านโจว (Meng Wanzhou) ประธานบริหารฝ่ายการเงินของบริษัทหัวเว่ย (Huawei) บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีและการสื่อสารของจีน และไม่ใช่ใครอื่นไกลเป็นลูกสาวของเหริน เจิ้งเฟย (Ren Zhengfei) ผู้ก่อตั้งบริษัทนั่นเอง

เรื่องราวเป็นมาอย่างไร จึงมาถึงจุดนี้ได้ คงต้องย้อนนาฬิกากลับไปถึงช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นเข้ายึดครองจีนในปี ค.ศ. 1937 เมื่อเหริน ม็อกซุน (Ren Moxun) ปู่ของหว่านโจว ตัดสินใจเปิดร้านขายหนังสือชื่อ July Seventh ในเมืองหรงเซียน (Rongxian) บ้านเกิดของเขาตอนอายุ 27 ปี ทั้ง ๆ ที่ ในช่วงเวลานั้น หากให้สุ่มคนเดินถนนในเมือง 5 คน จะมีคนที่อ่านหนังสือออกเพียงคนเดียว การซื้อหนังสือมาอ่านจึงเป็นงานอดิเรกของกลุ่มชนชั้นเท่านั้น แต่ม็อกซุนกลับให้โอกาสคนในเมืองได้มานั่งอ่านหนังสือในร้านโดยไม่คิดเงิน พร้อมติดกระดานใหญ่วางหน้าร้านเพื่อคอยรายงานข่าวการสู้รบระหว่างกองทัพจีนกับทหารญี่ปุ่น จนกลายเป็นแหล่งรวมตัวของคนในเมืองโดยปริยาย
อย่างไรก็ดี งานที่เปลี่ยนชีวิตม็อกซุนคือการทำหน้าที่เป็นสมุห์บัญชีให้กับพรรคชาตินิยมจีน หรือรู้จักกันในชื่อก๊กมินตั๋ง (Nationalist) ที่ทำศึก 2 ด้าน ทั้งต่อสู้กับทหารญี่ปุ่น และพรรคคอมมิวนิสต์
ที่นำโดย เหมา เจ๋อตุง (Mao TseTung) แม้เขาจะฝักใฝ่ช่วยพรรคชาตินิยมจีน แต่หนังสือที่ตั้งอยู่ในร้านกลับมีหนังสือเกี่ยวข้องกับลัทธิคอมมิวนิสต์วางขายอยู่ ซึ่งไม่พ้นสายตาของเจ้าหน้าที่ ถูกสั่งให้ปิดร้านหนังสือในปี ค.ศ. 1939 ทำให้เขาตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่เมืองกุ้ยโจว (Guizhou) ใกล้พรมแดนติดกับเวียดนาม และผันตัวเองเป็นครูสอนหนังสือ ก่อนพบรักกับเฉิง หยวนจ้าว (Cheng Yuanzhao) หญิงวัย 17 ปี ผู้มีความเฉลียวฉลาดและมีพรสวรรค์ในเรื่องตัวเลข ต่อมาให้กำเนิดลูกชายคนแรกในเดือนตุลาคมปี ค.ศ. 1944 ตั้งชื่อลูกว่า เหริน เจิ้งเฟย เป็นชื่อที่มีความหมายแปลกประหลาดมาก โดยที่ เหริน แปลว่า “ถูกต้อง” ในขณะที่เฟย แปลว่า ไม่ใช่ ชื่อของเขาแปลตรง ๆ ว่า “ไม่ถูก ไม่ผิด”
ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สองหลังจากที่เจิ้งเฟยอายุ 1 ขวบ แต่การต่อสู้ระหว่างก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์ ยังดำเนินต่อไปจนถึงปี ค.ศ. 1949 เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์สามารถกุมชัยชนะ
ได้เบ็ดเสร็จ ถือเป็นจุดพลิกผันชีวิตครอบครัวเหริน เมื่อม็อกซุนตัดสินใจก่อตั้งโรงเรียนมัธยมต้นสอนภาษาแมนดารินแทนภาษาท้องถิ่น ก่อนที่ประธานาธิบดีเหมาจะนำนโยบายก้าวกระโดด (Great Leap Forward) เพื่อเร่งเปลี่ยนจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่สังคมอุตสาหกรรมที่ทันสมัยให้ได้ภายใน 5 ปี ทำให้การเรียนในโรงเรียนถูกเร่งรัดให้เรียนเร็วขึ้น และเน้นให้นักเรียนได้ฝึกภาคปฏิบัติจริง ด้วยการทำงานในโรงงานหลังเลิกเรียน ทำให้เด็กเหน็ดเหนื่อย เรียกว่าในชั่วโมงเรียนเด็กส่วนใหญ่พากันงีบหลับแบบไม่ได้ฟังครูสอน ซึ่งม็อกซุนไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้จนถูกระแวงสงสัยว่าแปรพักตร์ และไม่ตอบสนองต่อนโยบายท่านประธานาธิบดีเหมา
เจิ้งเฟยเติบโตมาด้วยความหวาดกลัว แม้เขาจะเป็นเด็กที่ชาญฉลาด แต่เขาถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าร่วมกลุ่มยุวชนแดง จากที่พ่อเคยฝักใฝ่พรรคชาตินิยม เขาตัดสินใจใช้ชีวิตจมอยู่กับกองหนังสือ เน้นอ่านหนังสือคำนวณและด้านปรัชญา พร้อมกับเรียนภาษาต่างชาติถึง 3 ภาษา ครอบครัวเริ่มขาดรายได้ แถมเผชิญกับภัยแล้ง ทำให้ครอบครัวที่มีพี่น้องถึง 7 คน ต้องแบ่งปันอาหารให้เพียงพอเพื่อประทังชีวิตในแต่ละวันแต่เขาสามารถฝ่าฟันวิกฤติ จนเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฉงซิ่ง ซึ่งแม้จะไม่ใช่สถานศึกษาชั้นนำเทียบเท่ามหาวิทยาลัยชิงหวาหรือมหาวิทยาลัยปักกิ่ง แต่เมื่อย้อนไปถึงช่วงวัยเด็กที่เติบโตในเมืองเล็ก ๆ และฐานะครอบครัวไม่ดีนัก ถือว่าเจิ้งเฟยทำได้ดีทีเดียว
เขาเรียนจบในปี ค.ศ. 1968 วิชาเอกด้านการประดิษฐ์เครื่องทำความร้อน และเครื่องระบายอากาศแต่ด้วยนโยบายของประธานาธิบดีเหมา บัณฑิตที่จบมหาวิทยาลัยทุกคนต้องถูกส่งไปทำงานยังชนบทห่างไกล เพื่อให้ได้สัมผัสชีวิตและเรียนรู้ชีวิตของคนชั้นกรรมกร เจิ้งเฟยถูกส่งไปยังเมืองกุ้ยโจว (Guizhou) ติดกับพรมแดนประเทศเวียดนาม เป็นเมืองที่จีนใช้ศึกษาวิจัยและพัฒนาอาวุธ ตั้งแต่ปืนใหญ่ รถถังไปจนถึงเครื่องบินรบ ภายใต้โครงการรหัสลับ 011 ด้วยเมืองดังกล่าวอยู่ในหุบเขาที่ห่างไกลจากผู้คน ถือว่าเจิ้งเฟยโชคดีที่ได้รับโอกาสทำงานนี้ ต่างกับบัณฑิตจำนวนมากที่ถูกส่งให้ไปทำไร่หรือไปอยู่โรงงานเหล็ก
เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ที่ทำให้เจิ้งเฟยบัณฑิตจบใหม่ถูกส่งให้มาช่วยพัฒนาอาวุธ จึงกลายมาเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทหัวเว่ย บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีและการสื่อสารโทรคมนาคม สร้างปรากฏการณ์ต่อกรกับบริษัทในค่ายตะวันตก กลายเป็นคู่แข่งที่สำคัญ และเมิ่ง หว่านโจว จะถูกเนรเทศไปดำเนินคดีที่สหรัฐฯ หรือไม่ พวกเราสามารถติดตามอ่านได้ใน Weekly Mail สัปดาห์หน้า
แหล่งที่มา :
[1] Eva Dou, House of Huawei, Penguin Random House, 2015

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา