
"...ชรานุสติ เป็นการเตือนตนว่า เราพึงยอมรับความเป็นจริงอย่างที่มันเป็นตามเหตุปัจจัยของมันเอง ไม่ใช่ไปกะเกณฑ์ให้มันเป็นตามปรารถนาด้านเดียวของเรา..."
เมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ถือเป็นย่างก้าวที่ 78 ของอายุ แปลว่าหายใจมามากกว่า 77 ปีแล้ว
สำรวจกายภาพของตน พบความเหี่ยวย่นและหย่อนยานของผิวหนังไปทั่วร่าง เหลือแต่หูเท่านั้นที่ตึง
ไปขึ้นรถโดยสารสาธารณะ เช่นรถใต้ดิน หรือรถไฟฟ้า ก็ได้รับความเมตตาจากผู้อ่อนวัยกว่าสละที่ให้นั่ง แม้ว่าจะทำทีเป็นกระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า ก็ตาม
บนเส้นทางผ่าน
เป็นนักร้องของโรงเรียน เป็นคนนำเดินขบวนในมหาวิทยาลัย
เป็นวิทยากรอบรมบรรยาย เป็นคนเขียนหนังสือ
เป็นคอลัมนิสต์ เป็นคนทำรายการโทรทัศน์ / วิทยุ
เป็นคน (สมัคร) เล่นดนตรี เป็นปู่ของหลานสี่คน
เป็นจำเลยในคดีหมิ่นประมาท เป็นสหายในเขตป่าเขา
เป็นคนเฉียดคุก เป็นคนทำงานการเมือง
เป็นสมาชิกวุฒิสภา เป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ

นับว่าสวมหัวโขนมาแล้วหลายใบ ทำถูกก็มี ทำผิดก็ไม่น้อย โลดแล่นในบางครั้ง ราบเรียบในบางคราว บางทีก็หมองเศร้า บางหนก็เนาสุข
จะโลดแล่น ราบเรียบ หมองเศร้า เนาสุข
ล้วนพบแล้วผ่าน ล้วนมาแล้วไป แต่เพราะเอาใจไปข้อง จึงฟูฟ่องกับการยกยอ จึงทดท้อกับคำตำหนิ
แท้ที่จริง ไม่มีอะไรอยู่ยาวคงทน ชีวิตคือการผ่านทาง เราเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ในช่วงเวลาหนึ่งๆ เท่านั้น
เคยสำคัญตนผิดว่า มีแรงฤทธิ์ที่จะเปลี่ยนโลกได้
ความจริงเราทำอะไรได้บนเงื่อนไข ที่เป็นจริงเท่านั้น
ถ้าอัตวิสัย (สิ่งที่คิด) ไม่สอดรับกับภววิสัย
(ความเป็นจริงภายนอก) ก็อย่าหมายผลอันพึงใจ
ยังไม่รู้ว่าอีกเมื่อไรจะถึงลมหายใจสุดท้าย
เมื่อครั้งยังหนุ่ม อายุ 22 ปี ได้บวชและไปจำวัดที่สวนโมกข์ระยะหนึ่ง ทั้งอ่านและฟัง คำว่า อิทัปปัจจยตา หลายครั้ง จากอาจารย์พุทธทาส ก็ได้แต่ผ่านตาผ่านหู แต่หาได้เข้าใจอะไรไม่
มาเริ่มจะพอเข้าใจบ้างก็ตอนย่างเข้าวัยสูงอายุแล้ว
ในอดีต หลายหนที่หลงไปเอาเป็นเอาตายกับปัญหาใหญ่ๆที่เราไม่สามารถจัดการได้โดยลำพังตนเอง จึงตกอยู่ในกับดักแห่งความคับข้องใจ แล้วก็แบกปัญหาไว้บนบ่าไหล่โดยไม่รู้จัก วางลง
ชีวิตคนๆหนึ่งนั้นมี “โลกแห่งความใฝ่ฝัน” กับ “โลกแห่งความเป็นจริง” ที่อาจไปหรือไม่ไปด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่จะไม่ไปด้วยกัน
เพราะเหตุที่เราไม่ยอมรับความเป็นจริงว่าโลกนี้มีสิ่งที่เราจัดการไม่ได้เรียงรายเต็มไปหมด เราจึงข้องจิต เราจึงขัดใจตนเอง

หลังชัยชนะของนักศึกษา ประชาชน ที่มีต่อเผด็จการ เมื่อ 14 ตุลาคม 2516
ความใฝ่ฝันแสนงาม คือ บ้านเมืองจะร่มเย็นเป็นสุข สังคมไทยจะเป็นอารยะ ดอกไม้ประชาธิปไตยจะเบ่งบานไปทุกตารางนิ้วบนแผ่นดิน
แต่โลกแห่งความเป็นจริง บอกเราว่าไม่ใช่ สังคมไทยยังเผชิญกับวิกฤตทุนสามานย์ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาเผด็จการย้อนกลับ ปัญหาความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ ที่เกิดขึ้นซ้อนทับกันมาตลอด 50 ปีแล้ว แถมยังโถมทับสังคมไทยหนักหน่วงยิ่งขึ้น
ตอนเข้าป่าระหว่างปี 2519 -2524 แม้ว่าตอนแรกเข้าจะมีเหตุผลจากภัยคุกคามของฝ่ายอนุรักษ์นิยมขวาจัด แต่เมื่อเข้าสู่เขตป่าเขาแล้ว ก็กลายเป็นผู้ร่วมกระแสปฏิวัติประชาชนไปกับขบวนด้วย
ความใฝ่ฝันคือ อุดมการณ์สังคมนิยม ที่สังคมเสมอภาค ไม่มีใครกดขี่ใครไม่มีชนชั้นผู้ ขูดรีดกับผู้ถูกขูดรีดอีกต่อไป
แต่ความเป็นจริงไม่ใช่ สังคมไทยไม่ใช่สังคมที่ “เลือดต้องล้างด้วยเลือด” ไม่ใช่สังคมที่ “อำนาจรัฐเกิดจากกระบอกปืน” ผู้คนในสังคมล้วนมีชีวิตจิตใจ มีอารมณ์ความรู้สึก สุขโศก ทุกข์เศร้า หนาวร้อน อุ่นเย็น ไม่ใช่ถูกกำหนดให้เป็นเพียงแค่หน่วยผลิตที่จะได้ประโยชน์ตามความจำเป็นเพียงเพื่อการยังชีพ โดยทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของส่วนกลาง ตามทฤษฎีปฏิวัติ
ตั้งแต่เรื่องใกล้ตัว เช่นการหาอยู่หากิน ความเจ็บไข้ได้ป่วย การใช้ชีวิตยามแก่ ไปถึงเรื่องใหญ่ของชุมชน สังคมและโลก เรารู้สึกขัดแย้งเพราะเราหมายใจจะไปบันดาลสรรพสิ่งตามทิศทางที่เราต้องการ ทั้งๆ ที่มันไม่ได้ขึ้นกับเจตจำนงของเราเลย
เราอาจใช้ความพยายามแทบตายในปัญหาที่เกิด แต่ถ้ามันไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของเหตุปัจจัย มันก็จะเป็นจริงไปไม่ได้ ดังที่มีการเปรียบเทียบว่า ไข่ไก่เมื่อมีแม่ไก่มาฟัก หรือมีอุณหภูมิพอเหมาะ มันย่อมแตกเปลือกออกมาเป็นลูกไก่ได้ เพราะไข่ไก่มีเชื้อพร้อมจะฟักเป็นตัว แต่เอาไข่ไก่ไปใส่ตู้เย็นจะแตกเปลือกเป็นลูกไก่ไม่ได้ ในทางตรงข้าม เอาก้อนหินไปให้แม่ไก่ฟัก ยังไงก็จะให้เป็นลูกไก่ไปไม่ได้ เพราะก้อนหินไม่มีเชื้อภายในที่จะฟักเป็นตัวไก่ได้ แม้ว่าอุณหภูมิจะพอเหมาะก็ตาม
ปัจจัยภายในกับปัจจัยภายนอก จึงต้องเอื้อต่อกันและกัน ปัจจัยภายในผ่านได้ ปัจจัยภายนอกเอื้ออำนวย ความฝันจึงจะเป็นจริง
เราเป็นเพียง สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ชีวิตหนึ่งที่ประกอบส่วนเข้ากับโลกใบนี้ เราไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่จากไหนเลย เราไม่ใช่ผู้บัญชาการสรรพสิ่ง ไม่ใช่ผู้กำหนดสรรพธรรมชาติ ธรรมชาติต่างหากที่กำหนดเรา เรามีแต่ต้องค้อมคารวะต่อดิน น้ำ ลม ฟ้า ป่าเขา ผู้คนและสรรพชีวิตที่เปิดทางให้เราได้มีชีวิตร่วมในโลกใบนี้

ความแก่จึงเป็นยุ้งฉางสั่งสมความรู้ความเข้าใจ และประสบการณ์ตรงเข้าไว้ด้วยกัน กลายเป็นคลังสมบัติแห่งความตระหนักรู้ในชรานุสติ
ชรานุสติ เป็นการเตือนตนว่า เราพึงยอมรับความเป็นจริงอย่างที่มันเป็นตามเหตุปัจจัยของมันเอง ไม่ใช่ไปกะเกณฑ์ให้มันเป็นตามปรารถนาด้านเดียวของเรา
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญชีวิต (ชราชน)
จึงเตือนตนตั้งแต่วันนี้ว่า
ทำโทสะให้เบาลง
ทำโมหะให้บางลง
ทำโลภะให้เล็กลง
อย่าให้หัวใจเตลิดไปกับสรรเสริญและนินทา
ไม่ด่วนสรุป ให้เริ่มต้นจากความเป็นจริง
มีสติรู้เท่าทันในย่างเท้าที่ก้าวเดิน
ทำใจให้แจ้งกับวาทะธรรมของท่านพุทธทาสที่ว่า
“ อยู่โดยไม่ต้องรู้สึกว่า
เราดี เด่น ดัง อะไรเลย
เพียงแต่รู้สึกว่า
เราเป็นผู้มีประโยชน์ที่สุดคนหนึ่ง
นั่นแหละถูกต้องและเป็นสุขแท้ ”
บทความโดย :
ประสาร มฤคพิทักษ์


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา