
“เราดึงน้อง ๆ คนรุ่นใหม่ในพื้นที่มาร่วมกันคิด แล้วเราก็เอาแนวคิดของเขาไปเชื่อมกับหน่วยงานราชการ กลายเป็นแผนพัฒนาที่ทุกภาคส่วนร่วมกันออกแบบ แผนพัฒนานี้ไม่ได้เป็นเพียงเอกสาร หากแต่เป็นพื้นที่เรียนรู้ร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคประชาชน และคนรุ่นใหม่ เพื่อพัฒนาจังหวัดปัตตานีให้กลายเป็น “เมืองที่มีชีวิต” ในความหมายที่แท้จริง และแม้ความฝันนี้จะยังไม่สมบูรณ์ แต่จังหวะแรกของการเปลี่ยนแปลงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว” (สัมภาษณ์ นางพาตีเมาะ สะดียามู ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี)
ภายใต้ผืนแผ่นดินที่มีร่องรอยทางประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี
จังหวัดปัตตานีกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยคำถาม ความหวัง และโอกาส คำถามจากผู้คนที่ยังรอความชัดเจนในความมั่นคง ความหวังจากคนรุ่นใหม่ที่พยายามลุกขึ้นออกแบบบ้านเมืองของตนเอง และโอกาสที่เกิดขึ้นจากความหลากหลายทางวัฒนธรรม วิถีชีวิต และภูมิศาสตร์ซึ่งเป็นทรัพยากรอันล้ำค่าไม่แพ้ที่ใดในโลก
บทสัมภาษณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่จังหวัดปัตตานีเริ่มเคลื่อนไหวใหม่อีกครั้งผ่านโครงการ Pattani Decode ซึ่งริเริ่มโดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ และได้รับการสนับสนุนจาก นางพาตีเมาะ สะดียามู ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ในฐานะข้าราชการที่ตระหนักถึงความจำเป็นของการเปลี่ยนวิธีคิด “จากรัฐนำ สู่รัฐเสริม” บทสนทนานี้เป็นการเปิดพื้นที่ให้ เสียงของอนาคต ดังขึ้นร่วมกับ เสียงของความรับผิดชอบ
ปัตตานีวันนี้ : ระหว่างความจริง ความฝัน และความหวัง

การพูดถึงปัตตานีในวันนี้ ไม่อาจแยกขาดจากบริบทของความเปราะบางทางสังคม ความยากจน และปัญหาเชิงโครงสร้างที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานียอมรับในบทสนทนาว่า
“ความยากจน ความเหลื่อมล้ำมันไม่ได้กระจายตัวอย่างเท่าเทียม ปัญหาใหญ่ทั้งหมดรวมกันอยู่ในพื้นที่ 8 อำเภอของปัตตานี” นั่นคือพื้นที่ซึ่งความหวัง ความเจ็บปวด และศักยภาพกระจัดกระจายปะปนกันไป
การวางแผนพัฒนาของจังหวัดจึงไม่ใช่เพียงการปักหมุด โครงการตามยุทธศาสตร์จากส่วนกลาง หากแต่ต้องตีโจทย์ให้ได้ว่า แก่นแท้ของปัตตานีคืออะไร และจะใช้ทุนอันเป็นรากเหง้าของคนในพื้นที่ขับเคลื่อนสิ่งใดออกไปได้บ้าง ผู้ว่าฯ ให้ภาพไว้ชัดเจนว่า
“สิ่งที่เรากำลังทำ คือการเอาวิถีชีวิตของคน วิถีวัฒนธรรม ศรัทธา ความเป็นพหุวัฒนธรรมของปัตตานี มาเป็นแกนกลางของการพัฒนา”
ความเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นจากการเปลี่ยนวิธีคิด ไม่เพียงในระบบราชการ แต่รวมถึงความสัมพันธ์กับภาคประชาชน ในอดีตแผนพัฒนาเมืองอาจถูกกำหนดโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษาจากส่วนกลาง แต่วันนี้ ผู้ว่าฯ เล่าว่า “เราดึงน้อง ๆ คนรุ่นใหม่ในพื้นที่มาร่วมกันคิด แล้วเราก็เอาแนวคิดของเขาไปเชื่อมกับหน่วยงานราชการ กลายเป็นแผนพัฒนาที่ทุกภาคส่วนร่วมกันออกแบบ”
แผนพัฒนานี้ไม่ได้เป็นเพียงเอกสาร หากแต่เป็นพื้นที่เรียนรู้ร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคประชาชน และคนรุ่นใหม่ เพื่อพัฒนาจังหวัดปัตตานีให้กลายเป็น “เมืองที่มีชีวิต” ในความหมายที่แท้จริง และแม้ความฝันนี้จะยังไม่สมบูรณ์ แต่จังหวะแรกของการเปลี่ยนแปลงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
Soft Power ของปัตตานี : อัตลักษณ์ วิถี และการออกแบบชีวิต
“Soft Power ของปัตตานีจึงไม่ใช่เพียงเรื่องภาพจำ แต่คือการสร้าง พื้นที่ใหม่ให้กับชีวิตของคนในชุมชน โดยไม่ละทิ้งรากเหง้า การทำให้ประวัติศาสตร์กลายเป็นพลังทางเศรษฐกิจ การใช้ศรัทธาเป็นแรงบันดาลใจ และเป็นการออกแบบวิถีชีวิตแบบมีศักดิ์ศรีในโลกที่เปลี่ยนไป” (สัมภาษณ์ นางพาตีเมาะ สะดียามู ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี)

เมื่อเอ่ยถึงปัตตานีในฐานะเมืองที่เปี่ยมไปด้วยมิติทางวัฒนธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดมิได้มองเพียงมรดกในอดีต แต่กลับย้ำถึงพลังของการตีความใหม่ ที่สามารถเปลี่ยนเรื่องราวเก่าให้กลายเป็นพลังร่วมสมัย
“เราจะเอาเรื่องเล่าของวัฒนธรรม เรื่องราวของวิถีชีวิต ยกขึ้นมา แต่ไม่ใช่แบบเพียว ๆ มันจะเป็นมุมมองของคนรุ่นใหม่ ที่เขาออกแบบวิถีชีวิตผ่านอาหาร เสื้อผ้า การแต่งกาย หรือแม้แต่การทำละคร”
สำหรับผู้ว่าฯ อัตลักษณ์ของปัตตานีไม่ได้หยุดอยู่แค่ภาพความเป็นมลายูดั้งเดิม หรือการเป็นเมืองแห่งศรัทธาทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงศักยภาพในการตีโจทย์ใหม่ให้กับวิถีชีวิตที่หลากหลาย โดยเฉพาะการเชื่อมโยงเมืองเก่ากับโอกาสใหม่ที่ไม่ทิ้งรากเหง้า
“เราจะเชื่อมกับเมืองโบราณยะรัง เพื่อให้เห็นว่าเรามีต้นทุนอยู่แล้ว แล้วก็ทำให้มันกลายเป็นแนวทางของเมืองมรดกโลก” ผู้ว่าฯ เปรียบเทียบว่า “ปัตตานีมีความสโลว์ไลฟ์แบบหลวงพระบาง” และตั้งคำถามกลับอย่างท้าทายว่า “ทำไมเราจะไปถึงจุดนั้นไม่ได้?”
การทำให้ Soft Power ของปัตตานีจะเกิดผลจริง ต้องอาศัยทั้งวิสัยทัศน์และการยกระดับอาชีพของผู้คน โดยเฉพาะผู้หญิงในพื้นที่ ซึ่งมีศักยภาพด้านงานฝีมือและการออกแบบ ซึ่งผู้ว่าฯ ยกตัวอย่างว่า
“วันนี้เราสร้างกลุ่มผู้หญิง 30 กลุ่ม ให้มีพื้นที่ของตัวเองยกระดับผ้าท้องถิ่นให้กลายเป็นแฟชั่นร่วมสมัย แล้วก็เตรียมเปิดสถาบันพัฒนา ให้ใครก็ได้มาเรียนรู้กับเรา”
นี่ไม่ใช่เพียงการทำผ้าให้สวยขึ้น แต่เป็นการสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ที่โยงกับอัตลักษณ์ท้องถิ่น ซึ่งสามารถส่งต่อไปสู่ผู้บริโภคกลุ่มใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มคนเมืองหรือคนรุ่นใหม่ที่มองหาความแปลกใหม่ ผู้ว่าฯ อธิบาย
แนวคิดนี้ไว้อย่างน่าฟังว่า
“เราทำข้าวยำก้อน แล้วส่งเข้าโรงแรม ทำน้ำพริกปลากุเลา น่าจะไปอยู่ในเซเว่นได้เหมือนน้ำพริกตาเดียวของดาราเลยนะ”
Soft Power ของปัตตานีจึงไม่ใช่เพียงเรื่องภาพจำ แต่คือการสร้าง พื้นที่ใหม่ให้กับชีวิตของคนในชุมชน โดยไม่ละทิ้งรากเหง้า การทำให้ประวัติศาสตร์กลายเป็นพลังทางเศรษฐกิจ การใช้ศรัทธาเป็นแรงบันดาลใจ และเป็นการออกแบบวิถีชีวิตแบบมีศักดิ์ศรีในโลกที่เปลี่ยนไป
เศรษฐกิจท้องถิ่นและทุนใหม่ : ความฝันของคนตัวเล็ก
เบื้องหลังความพยายามเปลี่ยนปัตตานีให้เป็นเมืองแห่งศิลปะและวัฒนธรรม ยังมีความฝันอีกชั้นหนึ่งที่ซ่อนอยู่ ความฝันที่จะยกระดับเศรษฐกิจของคนเล็กคนน้อยในพื้นที่ให้สามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง ผู้ว่าฯ มองว่าระบบเศรษฐกิจที่ตอบโจทย์ท้องถิ่นจะต้อง เปิดพื้นที่ให้คนธรรมดาเข้าถึงโอกาสได้ โดยไม่จำเป็นต้องผ่านเงื่อนไขอันซับซ้อนแบบระบบธนาคารใหญ่
“เด็กบางคนจบปริญญาตรี ไม่มีอะไรเลย มีแค่แนวคิดเดียว เดินเข้าไปบอกว่าอยากทำโปรเจกต์แบบนี้ คุณจะให้เขากู้เงินจากระบบไหนได้? แบงก์ก็ไม่ปล่อยหรอก เพราะเขาไม่มีเครดิต” เสียงของผู้ว่าฯ สะท้อนว่า โครงสร้างระบบการเงินในปัจจุบันไม่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่มีไอเดียแต่ขาดทุนเริ่มต้นได้อย่างแท้จริง นั่นทำให้เขาเสนอแนวทางใหม่ การสนับสนุนกองทุนเฉพาะกิจที่เข้าใจความเสี่ยงของผู้เริ่มต้น แต่ให้โอกาสแก่คนที่มีศักยภาพเหมือนกองทุนคนพิการที่ไม่มีดอกเบี้ย แต่มีพี่เลี้ยงช่วยดูว่าจะทำอะไรได้บ้างแบบนี้ถึงจะยั่งยืน”
ผู้ว่าฯ เชื่อว่าปัตตานีไม่ควรผูกไว้กับอาชีพดั้งเดิมอย่างเดียว เช่น ตัดยาง ทำประมง หรือปลูกข้าว เพราะบริบทเปลี่ยนไปแล้วทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม “เรือประมงของปัตตานีหลายพันล้านบาทจอดเฉย เพราะติดกฎ IUU แล้วเราจะเอาอนาคตจากไหน ถ้าไม่เปลี่ยนวิธีคิด?”
ความหวังของผู้ว่าฯ คือการเปิดพื้นที่ให้ความคิดใหม่ ๆ ได้ถูกนำมาทดลองใช้ โดยเฉพาะในรูปแบบของผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่เกิดจากการแปรรูปทรัพยากรดั้งเดิม เช่น การทำข้าวยำก้อน หรือ ซุปปลาก้อนเพื่อขายในตลาดคนเมือง “ถ้าทำให้อยู่ในซองสวย ๆ ขายได้ 30 บาท แต่ต้นทุนไม่ถึง 10 บาท แบบนี้ใครก็ทำได้ ขอแค่มีคนหนุนหลัง”
สิ่งเหล่านี้อาจฟังดูเหมือนฝันกลางวัน แต่ในมุมของผู้ว่าฯ ความฝันนั้นจับต้องได้ หากมีระบบรองรับและภาครัฐพร้อม “ไม่ใช่แค่พูดว่าให้โอกาส แต่ต้องสร้างเงื่อนไขเพื่อการให้โอกาสนั้นเกิดขึ้นได้จริง”
คนรุ่นใหม่กับการออกแบบเมือง : รัฐจะสนับสนุนหรือแทรกแซง?
“เด็กในพื้นที่เขาวาดเมืองของเขาไว้แล้ว เราแค่ดึงเข้ามาอยู่ในภาพรวม เพื่อให้เขาเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบอนาคต การเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่คิดและลงมือทำ ไม่ใช่เรื่องง่ายในระบบราชการที่มีกฎเกณฑ์แน่นหนา รัฐต้องอยู่ในกรอบของตัวเอง ต้องปกป้องกรอบนั้นให้ได้ เพื่อไม่ให้การทำงานของตัวเองผิดระเบียบ แต่นั่นก็ไม่ควรเป็นอุปสรรคในการร่วมมือกับคนที่อยู่นอกระบบ” (สัมภาษณ์ นางพาตีเมาะ สะดียามู ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี)

หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของการพัฒนาปัตตานีในวันนี้ คือการที่คนรุ่นใหม่เริ่มมีบทบาทในการออกแบบเมืองของตนเอง ไม่ใช่แค่ในระดับแนวคิด แต่ลงมือปฏิบัติจริงผ่านโครงการและกิจกรรมต่างๆ ภายใต้แนวคิดของ Pattani Living และนี่คือจุดที่ภาครัฐ โดยเฉพาะจังหวัดต้องตอบคำถามให้ได้ว่า “จะเป็นผู้ชี้นำหรือจะเป็นผู้สนับสนุน ?”
คำว่า “จินตนาการ” จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป หากมีช่องทางให้มันงอกงาม ผู้ว่าฯ เล่าถึงการตั้งศูนย์ประสานงานเชิงยุทธศาสตร์ (CDC) ซึ่งเป็นกลไกที่เปิดให้ภาคประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนและนักสร้างสรรค์ เข้ามาร่วมคิด ร่วมขับเคลื่อนกับราชการอย่างเป็นระบบ
“ที่ผ่านมา คนเหล่านี้เข้าหาราชการไม่ได้ เพราะต้องผ่านท้องถิ่น ต้องรอเลือกตั้ง รอขั้นตอน แต่ตอนนี้เราทำให้พวกเขาเข้ามาได้เลย ผ่านกลไกของจังหวัด แล้วเราใส่เรื่องนี้เข้าไปในแผนพัฒนาจังหวัดโดยตรง” นี่คือการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญ ที่ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แต่กลับกลายเป็นเจ้าของแผนร่วมกับภาครัฐ ไม่ใช่เพียงผู้ชม หรือ ผู้รับผลกระทบ
แน่นอนว่าความร่วมมือนี้ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ และต้องเผชิญข้อจำกัดมากมาย “เรารู้ว่าไม่มีอะไรสมบูรณ์ 100% แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องกล้าที่จะเริ่มต้น และให้พื้นที่กับแนวคิดใหม่ ๆ ได้หายใจ” ผู้ว่าฯ ทิ้งท้ายหัวข้อนี้ด้วยความหวัง
เมืองเก่า เมืองใหม่ และเมืองของทุกคน
การพัฒนาเมืองเก่าในปัตตานีไม่ใช่แค่การฟื้นฟูอาคารหรือตกแต่งถนน หากแต่คือการตั้งคำถามว่า ใครคือเจ้าของเมือง ? และ คนเดิมที่อยู่ในพื้นที่จะมีอนาคตแบบใด ?
ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานียืนยันหนักแน่นว่า คนที่อยู่ตรงนั้นต้องเป็นเจ้าของกระบวนการพัฒนา คนในเมืองเก่าควรจะได้มีส่วนร่วม เขาเสนอว่าเทศบาลและ อบจ. ควรรับบทนำในการเป็นเจ้าภาพฟื้นฟูเมืองเก่า เพราะเป็นหน่วยงานท้องถิ่นที่ใกล้ชิดกับพื้นที่มากที่สุด
“เวลาเราเห็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เขาพัฒนาเมืองเก่า เขาไม่ได้ไล่คนเก่าออก แต่ทำให้คนเดิมอยู่ได้อย่างมีคุณภาพชีวิต” ผู้ว่าฯ ยังยกตัวอย่างเมืองในต่างประเทศว่า แม้จะจัดระเบียบพื้นที่ให้มีความเป็นระเบียบสวยงาม แต่ยังคงรักษาศิลปะดั้งเดิมเดิมไว้ โดยออกแบบร่วมกันกับชุมชน “ถ้าเราจะพัฒนา ต้องคุยกับชุมชนก่อน ไม่ใช่แค่เอาแผนไปวาง เราต้องดูว่าคนในพื้นที่เขาอยู่ได้ไหม เขาได้อะไรจากการพัฒนา”
ประเด็นสำคัญคือ การไม่ผลักไสคนจนออกจากพื้นที่เมื่อมีการฟื้นฟูเมือง ผู้ว่าฯ ระบุว่า “เราต้องระวังไม่ให้เกิดการไล่รื้อโดยอ้อม เพราะถ้าเราปรับสภาพพื้นที่โดยไม่ถามเจ้าของเดิม มันคือการขับไล่กลาย ๆ” ในทางกลับกัน การมีส่วนร่วมของชาวบ้านสามารถกลายเป็นพลังสร้างสรรค์ทางเศรษฐกิจได้ เช่น การเปิดบ้านให้เป็นร้านค้าชุมชน ขายของพื้นถิ่น สร้างรายได้เสริมจากการท่องเที่ยว
“เวลาเราจัดงาน อย่าจัดเพื่อโชว์อย่างเดียว ต้องทำให้คนในพื้นที่รู้สึกภูมิใจ และได้ประโยชน์จริงๆ”ผู้ว่าฯ ทิ้งท้ายหัวข้อนี้ว่า เมืองเก่าที่ดี ไม่ใช่แค่สวยในสายตาคนนอก แต่ต้องดีในชีวิตคนที่อยู่ในนั้นด้วย การพัฒนาปัตตานีในวันนี้ตั้งอยู่บนฐานของความเข้าใจปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะความยากจนและความเหลื่อมล้ำที่กระจุกตัวอยู่ใน 8 อำเภอหลัก ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขจากรากฐาน ไม่ใช่เพียงมาตรการจากส่วนกลางเท่านั้น ขณะเดียวกันจังหวัดได้ใช้พลังของ Soft Power ที่หยั่งรากจากวัฒนธรรม วิถีชีวิต อาหาร และศรัทธา มาต่อยอดเป็นพลังสร้างสรรค์ในพื้นที่ เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้มีส่วนร่วมในการออกแบบอนาคตของเมืองผ่านกลไกอย่างศูนย์ยุทธศาสตร์ CDC ที่เชื่อมโยงกับภาคราชการโดยตรง
ในด้านเศรษฐกิจชุมชน มีการส่งเสริมการแปรรูปผลิตภัณฑ์พื้นถิ่นและจัดตั้งกองทุนเฉพาะกิจที่เข้าถึงง่ายเพื่อรองรับคนตัวเล็กที่มีแนวคิดแต่ขาดต้นทุน ฟื้นฟูเมืองเก่าด้วยแนวทางที่ไม่ผลักไสคนดั้งเดิม แต่เน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจและคุณภาพชีวิตที่ดี วิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจของจังหวัดยังมุ่งวางตัวเองเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ชายแดนใต้ เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านและตลาดระดับภูมิภาค แม้คำตอบเรื่องความมั่นคงยังไม่แน่ชัด แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดเชื่อว่า การพัฒนาคือคำตอบที่เป็นรูปธรรมที่สุดในการสร้างความไว้วางใจระหว่างรัฐกับประชาชน และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของสันติภาพอย่างยั่งยืน
ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีไม่ได้มองบทบาทของตนเองเป็นเพียงผู้บริหารราชการแผ่นดิน หากแต่เป็น ผู้เปิดพื้นที่ ให้คนในจังหวัดได้ลุกขึ้นมากำหนดอนาคตของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเยาวชน ผู้หญิงในชุมชน หรือกลุ่มนักออกแบบเมืองรุ่นใหม่
เธอเชื่อมั่นในพลังของวัฒนธรรม วิถีชีวิต และเศรษฐกิจฐานรากว่าเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนจังหวัดนี้ให้พ้นจากวงจรของความกลัวและความเหลื่อมล้ำ และแม้จะยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าคำตอบเรื่องความมั่นคงยังไม่ชัดเจน แต่ผู้ว่าฯ เชื่อว่า การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง คือ คำตอบที่จับต้องได้ในวันนี้
ดังนั้น ภายใต้การบริหารของผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีคนปัจจุบัน โอกาสในการเปลี่ยนแปลงปัตตานีในทางที่ดีขึ้นเริ่มเห็นเป็นรูปธรรมผ่านวิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นการเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วม ขณะเดียวกันก็ไม่ละเลยคนในพื้นที่ดั้งเดิมที่อยู่มาก่อน
โดยผู้ว่าฯ ได้ริเริ่มแนวทางการบริหารที่เปิดกว้าง ยืดหยุ่น และเข้าถึงประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการพัฒนาเมือง ทำให้เกิดความหวังใหม่ว่า ปัตตานีอาจหลุดพ้นจากกับดักของความยากจนและความเหลื่อมล้ำได้ในอนาคตอันใกล้
“วันนี้เราต้องเอาเรื่องเหล่านี้มาสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้น ไม่ใช่รอให้สงบก่อนแล้วค่อยพัฒนา เพราะบางที ความสงบมันอาจจะมาพร้อมกับการพัฒนา” ผู้ว่าฯ ปัตตานี กล่าว
บทส่งท้าย: ปัญหาความมั่นคงจะจบลงอย่างไร
แม้ปัตตานีจะมีพลังสร้างสรรค์จากภายในมากเพียงใด คำถามเรื่องความมั่นคงยังคงเป็นเงาใหญ่ที่ปกคลุมอยู่ และไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้อย่างชัดเจน แม้แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดเอง “คนที่อยู่ในพื้นที่ยังตอบไม่ได้ว่า เมื่อไหร่จะหยุดยิง เราทำได้แค่หวังว่า สักวันมันจะค่อย ๆ คลี่คลาย” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สะท้อนทั้งความจริงใจ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ไม่เพียงส่งผลต่อความรู้สึกปลอดภัยของประชาชน แต่ยังลดทอนความมั่นใจของนักลงทุนและผู้มาเยือน “ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์ คนข้างนอกจะไม่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จะถามว่า ยังไม่จบอีกเหรอ ?” ผู้ว่าฯ สะท้อนอย่างตรงไปตรงมา
แม้ไม่มีใครรู้ว่า จุดจบของความมั่นคง จะหน้าตาเป็นอย่างไร แต่เธอเชื่อว่า รัฐต้องไม่หยุดพัฒนาในมิติเศรษฐกิจและสังคม ไม่ใช่รอให้ความสงบมาก่อน แล้วค่อยพัฒนา เพราะในทางกลับกัน การพัฒนาเองต่างหาก ที่อาจเป็นคำตอบของความสงบ
ผู้ว่าฯ ยกตัวอย่างนโยบายอย่างซอฟต์โซน หรือ เขตพัฒนาพิเศษ ที่ควรนำมาใช้ให้เกิดผลจริงจัง “ถ้ามาตรการเหล่านี้ทำให้คนในพื้นที่เข้าถึงทรัพยากร เข้าถึงโอกาส เขาจะมีพลังต่อรองมากขึ้น และไม่รู้สึกว่าเขาถูกทอดทิ้ง”
ท้ายที่สุด ความมั่นคงอาจไม่ได้วัดจากจำนวนทหารที่ลาดตระเวน หรือจำนวนระเบิดที่ลดลงเท่านั้น หากแต่วัดจากระดับความไว้วางใจระหว่างรัฐกับประชาชน และนั่นคือสิ่งที่ผู้ว่าฯ กำลังพยายามสะสมทีละเล็กละน้อย
//////////////////////
[11] บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยแวรุงมลายูกับเรื่องเล่าใหม่: น่าอยู่ น่าเที่ยว น่าลงทุน ในสามจังหวัดชายแดนใต้ ที่ได้รับทุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ โดยทีมวิจัยประกอบด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม อาจารย์ ดร.นันท์วิสิทธิ์ ตั้งแสงประทีป และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อดิพล เอื้อจรัสพันธุ์ เนื้อหาในบทความนี้เป็นมุมมองของนางพาตีเมาะ สะดียามู ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ต่อพื้นที่จังหวัดปัตตานี ภายใต้คำถามใหญ่ “การสร้างเรื่องเล่าใหม่ต่อพื้นที่ ผู้คนในสามจังหวัดชายแดนใต้ภายใต้แนวความคิดการสื่อสารเมืองน่าอยู่ น่าเที่ยวและน่าลงทุน” โดยใช้เครื่องมือการสัมภาษณ์เชิงลึก (indepth interview)

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา