
"...ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ วิกฤตซ้อนวิกฤต ซึ่งปัญหาที่แท้จริงคือ ปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่สะสมมานานหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นหลักนิติธรรมที่ถดถอย ภาระหนี้สินที่รัดตัว ระบบราชการที่ซ้ำซ้อน และการทุจริตที่รุนแรงขึ้น..."
หมายเหตุสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org): เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 2568 เวทีสาธารณะด้านหลักนิติธรรม ครั้งที่ 3 The Third Rule of Law Forum จัดโดยสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) จัดวงเสวนาในหัวข้อ 'ความพร้อมของกลไกเชิงสถาบันกับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ'
วงเสวนาประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจและชี้ตรงกันว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ วิกฤตซ้อนวิกฤต ซึ่งปัญหาที่แท้จริงคือ ปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่สะสมมานานหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นหลักนิติธรรมที่ถดถอย ภาระหนี้สินที่รัดตัว ระบบราชการที่ซ้ำซ้อน และการทุจริตที่รุนแรงขึ้น
ดร. พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ระบุอย่างชัดเจนว่า ปัญหาใหญ่ที่เป็นรากฐานของวิกฤตเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันคือ 'หลักนิติธรรมที่ถดถอย' หรือที่เรียกว่า 'Rule of Floor' ซึ่งกำลังสร้าง 'ต้นทุนที่มองไม่เห็น' มหาศาลให้กับภาคธุรกิจและนักลงทุน โดยเฉพาะชาวต่างชาติ
ดร. พจน์ กล่าวว่า ระบบข้าราชการและระเบียบซ้ำซ้อน สร้างอุปสรรคต่อการลงทุนและ 'เปิดช่อง' ให้เกิดกระบวนการเรียกร้องผลประโยชน์หรือ คอร์รัปชัน และเสถียรภาพทางการเมืองที่ไม่นิ่ง บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน เนื่องจากขาดความต่อเนื่องของนโยบายแห่งชาติ

ดร. มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) (ACT) ย้ำว่า วิกฤตคอร์รัปชันของไทยได้ก้าวสู่ขั้นที่ 'คนทั่วไปรู้กันว่าต้องจ่ายเท่าไหร่' เพื่อให้กระบวนการของรัฐเดินหน้า ซึ่งกลายเป็นการทุจริตเชิงโครงสร้างที่เปิดเผย อาทิ สินบนใบอนุญาต ในการติดต่อเรื่อง ที่ดิน ขนส่ง ก่อสร้าง หรือ อ.ย. นอกจากนี้ ปัญหาเส้นสายในระบบราชการยังทำให้หลักธรรมาภิบาลและความสามารถไม่ใช่ปัจจัยหลักในการเติบโต ผลที่ตามมาคือ ประชาชนขาดความเชื่อมั่นต่อระบบราชการและกระบวนการยุติธรรมอย่างรุนแรง
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ชี้ว่าแม้จะมีปัจจัยภายนอกมากระทบ แต่ปัญหาภายในที่วิกฤตกว่าคือ วิกฤตหนี้สินครัวเรือนและธุรกิจ โดยระบุว่าหนี้ครัวเรือนไทยพุ่งสูงถึง 104% ของ GDP (รวมหนี้นอกระบบ) ทำให้กำลังซื้อของประชาชนหดหาย ที่น่ากังวลคือ หนี้เสีย (NPL) ของผู้ประกอบการ SME (วงเงินกู้ต่ำกว่า 500 ล้านบาท) ได้พุ่งไปแตะระดับ 7.62% ซึ่งสูงกว่าช่วงเวลาที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ชี้ให้เห็นถึงวิกฤตเงียบที่เกิดจาก 'เศรษฐกิจนอกระบบ' ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 48% ของประเทศ และมีแรงงานนอกระบบถึง 53% สิ่งนี้สะท้อนว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจจำนวนมากไม่ได้อยู่ในระบบภาษีและกฎหมาย
นายผยง กล่าวว่า สัดส่วนเศรษฐกิจนอกระบบสูง ทำให้ฐานภาษีของประเทศไม่สมดุล มีผู้ยื่นเสียภาษีเงินได้จริงเพียง 4 ล้านคน ซึ่งไม่พอจัดสวัสดิการสังคม ความเหลื่อมล้ำสูง โดยประชากรเพียง 10% ของประเทศที่มีรายได้ถึง 52% นอกจากนี้ ตลาดทุนไม่จูงใจ มูลค่าตามบัญชีต่อราคาตลาดอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนว่าการลงทุนในประเทศไทยไม่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ และSME อ่อนแอ โดยจำนวนธุรกิจที่ ปิดตัวมีมากกว่าเปิดใหม่ เป็นครั้งแรก และ NPL ของ SME อยู่ในระดับที่น่าตกใจ

@ข้อเรียกร้องเร่งด่วน
ผู้ร่วมเสวนาต่างเห็นพ้องต้องกันว่า การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้ไม่สามารถรอได้อีกต่อไป โดยได้เรียกร้องให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการอย่างจริงจังและเร่งด่วนภายในช่วง 4 เดือนแรก โดยได้เสนอแนะมาตราการ ดังนี้
1. เร่งใช้มาตรการ 'กิโยตินกฎหมาย'
มาตรการ 'กิโยตินกฎหมาย' (Regulatory Guillotine) ถูกระบุว่าเป็น Quick Big Win และเป็นหัวใจสำคัญของการฟื้นฟูความสามารถในการแข่งขัน
การยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมายและขั้นตอนที่ซ้ำซ้อนให้ได้มากที่สุดนั้น การลดขั้นตอนเพียงพันกว่ากระบวนงาน ก็สามารถ เพิ่ม GDP ได้ 0.8% ทันที และยังช่วยลดช่องโหว่ของคอร์รัปชัน
โดยความล่าช้าในการออกกฎหมายใหม่ที่ใช้เวลาเฉลี่ยสูงถึง 18-26 เดือน ต่อฉบับ เป็นอุปสรรคสำคัญ จึงเรียกร้องให้รัฐบาลเอาจริงเอาจังกับการ 'กิโยตินกฎหมาย' โดยเฉพาะในระดับกฎหมายรอง (เช่น กฎกระทรวงและประกาศ) ที่สามารถทำได้รวดเร็ว
2. ปฏิรูปโครงสร้างภาษีและการคลัง
ความไม่สมดุลของฐานภาษี เป็นปัญหาใหญ่ โดยบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีเพียงประมาณ 800 แห่ง แบกรับการจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลถึง 30% ในขณะที่อีกเกือบ 9 แสนบริษัทอยู่นอกระบบ ทางตลาดหลักทรัพย์จึงเสนอแนวคิดเชิงรุกเพื่อดึงคนเข้าสู่ระบบ โดยการผลักดันระบบ e-Filing และ e-Tax Invoice เพื่อสร้างความโปร่งใสและดึงบริษัทในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เข้าสู่ระบบ
รวมถึงการสร้าง 'บัตรภาษี' (Tax Card) ให้ผู้ที่เข้าระบบอย่างถูกต้อง เพื่อให้สามารถใช้เป็นสิทธิประโยชน์ในการชำระภาษีประเภทอื่น ๆ หรือใช้เป็นหลักฐานในการขอสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อเปลี่ยนทัศนคติของคนไทยว่า 'การเสียภาษีเป็นหน้าที่ที่ได้รับผลตอบแทน'

3. ประกาศจุดยืน 'ไม่ทน' ต่อคอร์รัปชัน
ผู้ร่วมเสวนา สะท้อนว่า เอกชนเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่แสดงความจริงจังในการปราบปรามคอร์รัปชัน โดยการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างเด็ดขาด และให้ภาคเอกชนและสังคมต้องลุกขึ้นมาแสดงจุดยืน 'ไม่ทน' ต่อการทุจริต พร้อมนำเสนอแผนการทำงานร่วมกันของภาคเอกชนในการเผยแพร่ 3 ดัชนีหลัก อย่างสม่ำเสมอ ได้แก่ ดัชนีคอร์รัปชัน ดัชนีหนี้นอกระบบ และดัชนีเศรษฐกิจนอกระบบ เพื่อสร้างความตระหนักรู้และกดดันให้เกิดการปรับปรุงประสิทธิภาพภาครัฐ
ทั้งหมดนี้ คือ สิ่งที่วงเสวนาสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายที่ซ้ำซ้อน การทุจริตที่รุนแรง ความไม่แน่นอนทางการเมือง และวิกฤตหนี้สิน ล้วนแต่เป็นรากที่ทำให้ทุกภาคส่วนของประเทศ 'ขาดหลัก' และยากต่อการพัฒนา การดำเนินการแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจังและเร่งด่วน โดยเฉพาะการจัดการกับคอร์รัปชัน และการสร้าง Rule of Law ที่เข้มแข็งให้กลับคืนมา รวมถึงการปลดล็อกกฎหมายที่ล้าสมัยอย่างรวดเร็ว จะเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงและช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมไทยสามารถรับมือกับความท้าทายในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา