
"...“เปตะเฟสติวัล ผูกพันกตัญญู” เป็นกิจกรรมกตัญญุตาธรรม ของประชาชนชาวทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ควรค่าแก่ความสนใจและควรที่เยาวชนคนรุ่นใหม่จะได้ใส่ใจในรากเหง้าของกตัญญุตาธรรม อันเป็นจิตวิญญาณของวัฒนธรรมตะวันออก..."
ใช่หรือไม่ว่า กตัญญุตาธรรม เป็นจิตวิญญาณและวิถีชีวิตของผู้คนในซีกโลกตะวันออกที่ ฝังรากลึกมายาวนานนับพันปีผ่านศาสนาและความเชื่อต่างๆ ซึ่งปรากฏในคาบมหาสมุทรอินเดีย จีน ตลอดมาถึงญี่ปุ่น เกาหลี และประเทศอาเซียนทั้งหมด
ทั้งพุทธศาสนา อิสลาม ฮินดู พราหมณ์ ขงจื่อ ล้วนแล้วแต่ให้คุณค่าต่อความกตัญญูไว้อย่างสูงส่ง พุทธศาสนาถือว่า กตัญญุตาธรรม เป็นข้อธรรมสำคัญที่เป็นเครื่องหมายของคนดี ภาษิตจีนสำคัญ มีจารึกไว้ว่า “ได้ดื่มน้ำ อย่าลืมต้นธาร” เป็นภาษิตที่ผู้นำจีนหยิบยกมาอ้างถึงเป็นประจำ
“กตัญญู” เป็นภาษาบาลี หมายถึงสำนึกในบุญคุณ รับรู้ในสิ่งที่ได้ทำ
แต่ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงเร็ว ที่มีขนาดใหญ่ทั่วทั้งโลกด้วยอานุภาพของปัญญาประดิษฐ์ที่เข้ามาแทนที่ภูมิปัญญาดั้งเดิม ทำให้เกิดคำถาม โดยเฉพาะในหมู่เยาวชน มีจำนวนมากที่เห็นว่าความกตัญญูเป็นภาระ
มีบางคนบอกว่า “ไม่ใช่ไม่รักพ่อแม่ แต่สภาพสังคมที่ย่ำแย่ ทำให้คนรุ่นใหม่แบกรับความกตัญญูไม่ไหว”
บางคนคิดไปไกลถึงขั้นว่า เขาไม่ได้เลือกที่จะเกิดมา เขาเป็นเพียง “ผลพวงความสนุกของพ่อแม่” ดังนั้นเมื่อพ่อแม่ทำให้เขาเกิด พ่อแม่ก็ต้องมีหน้าที่เลี้ยงดูพวกเขา
พ่อแม่บางคนจึงตอบโต้อย่างดุเดือดว่า “พ่อแม่ก็ไม่ได้เลือกสเปิร์มตัวนี้เหมือนกัน”
นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้คนรุ่นเก่ากำลังตั้งคำถามกับคนรุ่นใหม่ว่า คนรุ่นใหม่สะกดคำว่า “กตัญญู” เป็นไหม

“เปตะเฟสติวัล ผูกพันกตัญญู” เป็นกิจกรรมกตัญญุตาธรรม ของประชาชนชาวทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ควรค่าแก่ความสนใจและควรที่เยาวชนคนรุ่นใหม่จะได้ใส่ใจในรากเหง้าของกตัญญุตาธรรม อันเป็นจิตวิญญาณของวัฒนธรรมตะวันออก
วันสารทไทย ในงานบุญเดือนสิบของทุกปี คือประเพณีกตัญญู ของคนไทยทั่วประเทศ ถือเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว บางพื้นที่ใช้คำว่า “เปตะพลี” บางแห่งใช้คำว่า “บุญเปตะ” ซึ่งจัดวางไว้เป็น 2 วาระ
วันแรกคือ วันแรม 1 ค่ำ เดือนสิบ
วันสุดท้ายคือ วันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบ
ปี 2568 นี้ วันแรกตรงกับวันที่ 8 กันยายน 2568 ถือเป็นวันรับตายาย ซึ่งเป็นวาระแรกของประเพณีบุญสารท ส่วนวันสุดท้าย ตรงกับวันที่ 22 กันยายน 2568 เป็นวันส่งตายาย ทางใต้เรียกว่าวันยกหมรับใหญ่และชิงเปรต
อาจารย์ปิยะนาถ กลิ่นภักดี ปราชญ์ชาวบ้านและเป็นนักวิจัยพื้นที่ อธิบายว่า
“เปตะ หมายถึง ผู้ล่วงลับไปแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในภพภูมิต่ำ หรือภพภูมิอื่นใด พวกเขาจะออกมาจากภพภูมินั้น เป็นเวลาต่อเนื่องกัน 15 วันคือ แรม 1 ค่ำถึงแรม 15 ค่ำ ในเดือนสิบ
ช่วง 15 วันนี้เอง ที่บรรดาลูกเต้าเหล่าหลาน ทั้งที่อยู่ต่างถิ่น จะกลับมาบ้านร่วมกับคนในท้องถิ่น เพื่อแสดงความกตัญญู ด้วยการทำบุญร่วมกัน
ใน 15 วันนี้ เป็นการเปิดโอกาสอย่างกว้างขวางให้สามารถทำบุญได้ทุกวันด้วยข้าวปลาอาหารต่างๆ ที่เตรียมมาอย่างดีจากบ้าน ไปทำบุญกันที่วัด ทำบุญแล้ว จะรับบุญกลับไปด้วยความสุข ความอิ่มเอมใจกันทุกคน”

ตอนสายของวันที่ 8 กย. 68 ณ ศาลาวัดชัยชุมพล กลางเมืองทุ่งสง
ชาวบ้านหลายร้อยคน หิ้วปิ่นโตข้าวปลาอาหาร ขนม ดอกไม้ธูปเทียน ไปถวายพระที่กำลังสวดพิธีบังสุกุลตายาย
ทุกคนนั่งพับเพียบรับบุญต่อหน้าพระ ด้วยความปิติในบุญที่ทำไป คำสวดมนต์ภาษาบาลี อาจไม่เป็นที่เข้าใจนัก แต่ก็ทำให้ทุกคนพนมมือด้วยใจสงบ แล้วพากันถวายอาหารให้พระสงฆ์ พร้อมกันไปกับการถวายปัจจัยไทยทาน โดยเขียนชื่อผู้ล่วงลับ ซึ่งเป็นผู้รับบุญลงในแบบฟอร์มที่วัดจัดเตรียมไว้
7 กย. 68 ภาคบ่ายถึงค่ำ “หลาดชุมทางทุ่งสง” ณ ถนนชัยชุมพล ตลอดสาย มีร้านค้านานาสิ่งของขาย อาหาร ขนม ผักผลไม้ตามฤดูกาล งานหัตถกรรม ร้านลูกปัดโนรา ร้านเสื้อผ้า ฯลฯ เรียงขายกันเต็มท้องถนน โดยมีประชาชนเดินซื้อหากันคับคั่ง เป็นตลาดประจำวันอาทิตย์ ที่เกิดขึ้นมานับเป็นปีที่ 8 แล้ว
ตั้งแต่เปิดตลาดครั้งแรกเมื่อ 14 มค. 61 จนมาถึงปัจจุบัน มีร้านค้าราว 200 ร้าน มีผู้คนมาจับจ่ายใช้สอยวันละ 2,500 คน สร้างรายได้เฉลี่ยวันละ 100,000 บาท รวมรายได้ตั้งแต่ต้นจนปัจจุบัน ราว 150 ล้านบาท
เสน่ห์ของหลาดชุมทางทุ่งสง อยู่ตรงของกิน ขนม และของขายทั้งหมดต้องเป็นผลผลิตจากน้ำมือชาวบ้านในท้องถิ่น ทุ่งสง เท่านั้น ชาวบ้านปลูกผักเอง ทำขนมเอง ร้อยลูกปัดเอง ทอผ้าเอง ปรุงอาหารเอง ห้ามสินค้าจากโรงงานมาขาย ห้ามอาหารกล่องสำเร็จรูป จากกรุงเทพฯ อาหารต่างภาค เข้าไปขายไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อให้เงินรายได้ทั้งหมดหมุนเวียนอยู่กับชาวบ้านในพื้นถิ่น ไม่ใช่ส่งเงินไปบำรุงธุรกิจของห้างสะดวกซื้อใดๆ

หลาดชุมทางทุ่งสง เป็นเหงื่อแรงร่วมกันของภาคีเครือข่ายเมืองของภาครัฐและเอกชน อำเภอ เทศบาลทุ่งสง ประชาคมวัฒนธรรมเมืองทุ่งสง ภายใต้การสนับสนุนตามโครงการวิจัย ที่มหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นเจ้าของโครงการ โดยรับทุนสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ของกระทรวงอุดมศึกษาและวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ซึ่งมี รศ. ดร. สุพรรณี ฉายะวงศ์ เป็นหัวหน้าโครงการ
อาจเรียกได้ว่า หลาดชุมทางทุ่งสง เป็นผลจากงานวิจัยกินได้ กล่าวคือ ไม่ใช่งานวิจัยขึ้นหิ้งแบบทั่วๆ ไป ที่มักจะจัดทำขึ้นเพียงเพื่อมีผลทางวิชาการให้ได้รับวุฒิทางการศึกษาตามที่สถาน
ศึกษากำหนด
แต่การวิจัยที่อาศัยคุณค่าหมายถึง ต้นทุนทางวัฒนธรรม คือ ตลาดสินค้าวัฒนธรรมเป็นพื้นที่ขับเคลื่อน สร้างเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้ ยกระดับชีวิตชุมชนได้ ทั้งชีวิตทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ซึ่งในวันนี้ขยายไปแล้ว 40 จังหวัด จำนวน 60 พื้นที่
ในภาคกลางคืน ของวันที่ 8 กย. 68 ผู้ร่วมงานทุกคนต่างได้เห็นขบวนแถวของ “เปตะกตัญญู” เป็นรายขบวนจาก 13 ตำบลในอำเภอทุ่งสง ท่ามกลางสภาพหลังฝน
ขบวนแถว เปตะกตัญญู นำด้วยหุ่นเปตะรูปทรงต่างๆ ดนตรีให้จังหวะ และตามด้วยขบวนฟ้อนรำหญิงชาย ที่แต่ละพื้นที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ เดินพาเหรดจากเทศบาลทุ่งสง มาสู่ตลาดยิบ ทีละตำบล ไปรวมกันที่เวทีตลาดยิบที่จัดไว้
ฟังชื่อขบวนแล้วอาจจะรู้สึกหวาดกลัว แต่เปล่าเลย ขบวนพาเหรดอันงดงามทุกตำบล มีรูปหุ่นอันเป็นตัวแทนบรรพชนผู้ล่วงลับร่วมกับ ลูกหลานผู้ยังมีชีวิตอยู่ในโลก
ทุกขบวนสะท้อนถ่ายอารมณ์ความรู้สึกกตัญญูต่อบรรพชน พากันเดินไปสู่พิธีเปิดงาน “เปตะเฟสติวัล ผูกพันกตัญญู” โดยมี ดร. กิตติ สัจจาวัฒนา ดร. ธนภณ วัฒนกุล นายก อบจ. นครศรีธรรมราช นายอำเภอทุ่งสง ประธานหอการค้าทุ่งสง ประธานประชาคมวัฒนธรรมทุ่งสง วัฒนธรรม ททท. และส่วนราชการต่างๆ ร่วมงานอันมีความหมายยิ่งต่อการคารวะจิตวิญญาณ บรรพชนผู้ล่วงลับไปแล้ว
งานดังกล่าวดำเนินไปจนถึงวันสุดท้าย
โดยเฉพาะในวันส่งตายาย คือแรม 15 ค่ำ เดือน10 ลูกหลานจัดเตรียมอาหาร ขนม และผลไม้ที่บรรพบุรุษชื่นชอบ ใส่ “หมรับ” (สำรับ) โดยมีการตั้งเปรตในศาลา ขนม 5 อย่าง มีความหมายในตัวเอง

1. ขนมลา ทำจากแป้งน้ำตาลเป็นเส้นไยสีเหลืองทอง เป็นสัญลักษณ์แทนเครื่องนุ่งห่มผ้าแพร คล้ายการถักทอผ้าเป็นร่างแห
2. ขนมพอง ทำจากข้าวเหนียวนึ่งสุก ตากแห้งแล้วทอดฟู เป็นแผ่นน้ำหนักเบา สัญลักษณ์แทนเรือแพ เพื่อข้ามห้วงมหรรณพ
3. ขนมกงหรือไข่ปลา ทำจากถั่วเขียวบดละเอียด เป็นสัญลักษณ์แทนเครื่องประดับร่างกายให้บรรพบุรุษ
4. ขนมดีซำ หรือเจาะหู ทำจากแป้ง คล้ายโดนัท เหมือนสตางค์มีรูในอดีต แทนเบี้ยหรือเงิน ไปใช้สอยในโลกวิญญาณ
5. ขนมบ้าหรือสะบ้า ทำจากแป้งและน้ำตาล เป็นก้อนกลมคลุกงา แทนลูกสะบ้า เพื่อสร้างความเพลิดเพลินให้บรรพบุรุษ
ในวันส่งตายายนี้ หลังพิธีสงฆ์ คนแก่ คนเฒ่า หนุ่มสาว และเด็ก ต่างกรูกันเข้าไปแย่งขนมที่ตั้งเปรตไว้อย่างมุ่งมั่นตั้งใจ โดยถือว่าของเหลือที่เซ่นไหว้บรรพบุรุษ หากใครได้กินจะเป็นสิริมงคลต่อชีวิตและครอบครัว จึงเรียกพิธีกรรมนี้ว่า “ชิงเปรต”
กตัญญุตาธรรม ธรรมอันเป็นเครื่องหมายของคนดี สะท้อนผ่านกิจกรรมหลากหลายทั้งการทำบุญ ขบวนพาเหรด การแต่งกาย รวมกระทั่งขนม 5 อย่างที่ใช้ในการทำบุญ จึงเป็นประเพณีที่แฝงฝังไว้ด้วยความรู้ค่ารู้คนของลูกหลานต่อบุพการีอย่างล้ำลึก
เยาวชนคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน จะตระหนักค่าหรือไม่ก็ตาม กตัญญูวิถี เป็นวัฒนธรรมรากเหง้าที่ยังคงค่าคู่สังคมไทยไปอีกนานเท่านาน


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา