
"...เครดิตของพรรคการเมือง (party credibility) เป็น “ดาบสองคม” ของการรบในสนามการเมือง ด้านหนึ่ง ถ้าพรรคใดมีเครดิตดี พรรคนั้น ไม่จำเป็นต้อง “ซื้อเสียง” เช่น กรณีของพรรคอนาคตใหม่ หรือพรรคประชาชนในปัจจุบัน ส่วนอีกด้านหนึ่ง เครดิตของพรรคกลับเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมต่อการ “ซื้อเสียง” เป็นอย่างมาก เพราะพรรคจะใช้เงินซื้อเสียงน้อยลง ยิ่งกว่านั้น การที่พรรคเป็นรัฐบาลด้วย พรรคย่อมสามารถจัดตั้ง “กลไก” (machine) ของระบบราชการให้เอื้ออำนวยต่อการซื้อเสียงได้ เช่น ผู้ว่า นายอำเภอ ผู้กำกับ กกต. จังหวัด และอสม. อย่างไรก็ตาม พรรคที่ชำนาญในการรบในป่า เช่น พรรคภูมิใจไทย พรรคกล้าธรรม ในเวลาอันใกล้ก็ต้องหันมารบในเมือง และต้องสนใจการสร้าง เครดิตของพรรคการเมือง..."
1. ความนำ
ผู้เขียนเคยกล่าวถึงการแคมเปญ (Campaign) หรือการรณรงค์หาเสียงไปบ้างแล้วว่า มีทั้งทางบวกและทางลบ ทางบวกต้องเสนอนโยบายว่าจะทำอะไร และทางลบ ต้องโจมตีอะไรสักอย่าง ไม่โจมตีระบบ หรือไม่ก็โจมตีตัวบุคคล
อันที่จริง การเลือกตั้งก็เหมือนกับการทำสงคราม (warfare) มีทั้งสงครามในแบบ (conventional warfare) และนอกแบบ (unconventional warfare) หรือพูดง่าย ๆ ว่า รบกัน ”บนดิน” กับ “ใต้ดิน
สงคราม “บนดิน” ก็คือการรบกันตรง ๆ ขนอาวุธยุทโธปกรณ์ทุกอย่างมารบกัน ไม่ว่าจะเป็นรถถัง ปืนใหญ่ ทหารราบ สมัยนี้ก็มีขีปนาวุธ จรวดร่อน แล้วก็โดรน
ส่วนสงคราม “ใต้ดิน” มีการจารกรรม (espionage) นิติสงคราม (political warfare) ก่อวินาศกรรม (sabotage) การทำสงครามกองโจร (guerrilla warfare) และการส่งกองกำลังโจมตีจำกัดเป้าหมาย (direct action) ตัวอย่างเช่น การรบของหน่วย OSS และ SOE ที่มีชื่อเสียงจากการต่อต้านการยึดครองยุโรปของกองทัพนาซี
สำหรับการเลือกตั้งบ้านเรา การรบ “บนดิน” ก็คือ การสู้กันด้วยการหาเสียง เสนอนโยบาย โจมตีระบบ โจมตีตัวบุคคล ที่เห็นชัดที่สุด ได้แก่ การเลือกตั้งในเขตกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ ๆ
ส่วนการรบ “ใต้ดิน” ได้แก่ การจัดตั้งหัวคะแนนและการซื้อเสียง (vote buying) อันที่จริงเป็นการปรับเปลี่ยนทางสังคมจาก “ระบบอุปถัมภ์ดั้งเดิม” มาสู่ “ระบบเครือข่ายหัวคะแนนสมัยใหม่”
ในสหรัฐอเมริกาแม้เป็นประเทศพัฒนาแล้ว เขาก็มีการซื้อเสียงมาอย่างยาวนาน เริ่มจากท้องถิ่นขึ้นมาข้างบน ปัญหาของสหรัฐอเมริกาก่อนปี ค.ศ. 1900 นั้นท้องถิ่นซื้อเสียงกันมาก สร้างอิทธิพลนักเลงโตมาก และคอร์รัปชันมาก ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรีพับลิกันและดิโมแครต
ผู้สมัครพรรครีพับลิกันที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อระบบทุนนิยมพวกพ้อง (crony capitalism) ก็อย่างเช่น เจมส์ จี แบลน (James G. Blaine) ค.ศ. 1884 ส่วนพรรคดิโมแครตก็มีองค์กรแทมมานี ฮอล (Tammany Hall) ที่ยึดครองเทศบาลนครนิวยอร์กมาอย่างยาวนาน และมีชื่อด้านการซื้อเสียงและการคอร์รัปชัน
ระบอบการซื้อเสียงของสหรัฐอเมริกามีมายาวนานตั้งแต่ ค.ศ. 1884-1900 แต่หลังจากนั้นก็เข้าสู่ยุคปฏิรูปโดยขบวนการก้าวหน้า (the Progressive Movement) ช่วง ค.ศ. 1900-1920
โดยเริ่มที่ท้องถิ่นก่อน วิธีการของเขา คือ การสร้างระบบให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่เป็นกลางทางการเมือง การต่อต้านการซื้อเสียงของเขาเกิดขึ้นเริ่มจากเหตุการณ์การเลือกตั้ง ค.ศ. 1904 และเกิดเหตุการณ์โกงการเลือกตั้งครั้งใหญ่ช่วง ค.ศ. 1904-1907
ส่วนบ้านเรา ถึงอย่างไรก็น่าจะยังดีกว่าประเทศแถบอาฟริกา เพราะเวลานี้ในประเทศอาฟริกาเกือบทุกประเทศ ยกเว้นอาฟริกาใต้กับกานา ได้เปลี่ยนจาก “การซื้อเสียง” (vote buying) มาเป็น “การขายเสียง” (vote selling) แล้ว คือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งรวบรวมรายชื่อกันมาขอเงินจากผู้สมัครเอง โดยไม่ผ่านหัวคะแนน อันก้าวหน้ากว่า “บ้านเรา” อย่างไรก็ตาม เป็นที่รู้กันว่าการซื้อเสียงทำลายระบบการเมืองโดยรวม
วิธีการแก้ไข “การซื้อเสียง” ของโลกมีอยู่ 5 วิธี ได้แก่ (1) สร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันทางการเมือง (strengthening democratic institution) โดยมีสถาบันที่สำคัญที่สุด คือ พรรคการเมือง
(2) บังคับใช้กฎหมายเลือกตั้งให้เข้มงวด (enforcing strict electoral laws)
(3) รณรงค์สร้างจิตสำนึกความโปร่งใสทางการเมือง (promoting transparency)
(4) กระทำการร่วมกันเป็นกลุ่มเพื่อฟื้นฟูความไว้วางใจกันและการยึดมั่นในหลักประชาธิปไตย (collective action to restore trust) สำหรับวิธีการระดับโลก คือ การให้องค์การต่างประเทศส่งตัวแทนมาสังเกตการณ์เลือกตั้ง ส่วนภายในประเทศก็สร้างกลุ่มก้อนองค์กรอาสาสมัครเข้ามาตรวจสอบการเลือกตั้ง และ
(5) ทำให้คนเกิดความเข้มแข็งทางสังคมและเศรษฐกิจที่จะไม่ซื้อสิทธิ์ขายเสียง ซึ่งเป็นวิธีการในระยะยาว
2. การเลือกตั้งของไทย
การเลือกตั้งของไทยคงยากที่จะหนีพ้นไปจากกระแสสากล อีกไม่นาน ประเทศไทยคงเกิดการปฏิรูปการเลือกตั้ง โดยเฉพาะ กกต. จะ “กินก๋วยเตี๋ยว” อยู่อย่างนี้ไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ปัจจุบัน พรรคที่ “ฝ่ากระสุนสีเทา” มาได้อย่างพรรคอนาคตใหม่ หรือก้าวไกล หรือประชาชนในปัจจุบัน จึงเป็นพรรคที่น่ายกย่องเป็นอย่างมาก
ขณะเดียวกัน ความพ่ายแพ้ของพรรคประชาธิปัตย์ มีสาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนการรบ “บนดิน” ไปเป็นการรบ “ใต้ดิน” “การเมืองสุจริต” ซึ่งเป็นอุดมการณ์พรรคจึงหายไป
คำพูดที่น้าชวนเคยพูดหลังเลือกตั้งว่า “กว่าจะฝ่ากระสุนสีม่วงมาได้แทบตาย” ไม่ได้ยินอีกต่อไป ความผิดส่วนหนึ่งไม่ใช่เกิดจากพรรคประชาธิปัตย์ทั้งหมด ยังมีความผิดที่เกิดจากความไร้ประสิทธิภาพของ กกต. ด้วย
ที่จริง ความไร้ประสิทธิภาพของ กกต. ก็เริ่มต้นมาจากยุคทหารที่ “ล็อก” คน และเปิดโอกาสให้พรรคทหารซื้อเสียงอย่างขนานใหญ่ชนิดไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย ในการเลือกตั้งยุคต้นทศวรรษ 2560
กระบวนการคัดเลือกคนตั้งแต่ตอนเข้า (at the entry) จึงแทบจะเป็น “หัวใจ” ของสถาบันการเมืองทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็น “กกต.” หรือ “พรรคการเมือง”
แต่ทำนองเดียวกัน พรรคที่ชำนาญการรบ “ใต้ดิน” อย่าง “พรรคภูมิใจไทย” หรือ “กล้าธรรม” หรือ “พรรคที่รบได้ทั้งสองแบบ” อย่าง “พรรคเพื่อไทย” กำลังสั่นคลอนจากกระแสการเมือง
“พรรคภูมิใจไทย” ถูก “กระแส” หล่นใส่หัวแม่เท้าจน “บวมเป่ง” กำลังตกใจจาก “ความนิยม” ที่เพิ่มขึ้น กลับกันกับ “พรรคเพื่อไทย” ถูก “กระแส” อย่างจังใส่กระบาล หัวแตกเป็นแผลเบ้อเร้อ กำลังตกใจจาก “ความนิยม” ที่ลดลง
ในทางวิชาการ จึงน่าคิดว่า “พรรคการเมืองไทยเหล่านี้” จะปรับตัวเข้าสู่การรบ “บนดิน” อย่างไร
เหตุผลเพราะ “พรรคภูมิใจไทย” กำลังเปลี่ยนไป คงไม่อาจอาศัยการรบ “ใต้ดิน” ได้ตลอด แม้ปัจจุบันในเขตอีสานใต้เห็น ๆ ว่า “ทั้งหมด 54 เขต พรรคภูมิใจไทยเคยได้ 22 เขต” การเลือกตั้งครั้งต่อไปจึงเป็นไปได้ว่าอาจถึง 40 เขต คะแนนปาร์ตี้ลิสต์คู่กัน แม้แยกคนละเบอร์ แต่ก็มีสหสัมพันธ์ทางบวกต่อกัน หากพรรคภูมิใจไทยได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ในเขตอีสานใต้ เขตละสองหมื่น 40 เขตก็ตกเกือบล้านคะแนน
เมื่อคิดภาคอีสานเหนือ กับภาคใต้ประกอบ เป้าหมายคะแนนปาร์ตี้ลิสต์สี่ล้านคะแนนของพรรคภูมิใจไทย ก็น่าจะมีความเป็นไปได้
ปัญหาอยู่ที่การจะเป็น “รัฐบาลที่สง่างาม” นั้น ต้องได้รับชัยชนะในสนามรบ “บนดิน” (battle on the ground) นั่นคือ สนามกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสนามที่ชกกันสมศักดิ์ศรีที่สุด เพราะว่าเป็นเวทีมาตรฐาน มีทั้งเวทีลุมพินีและราชดำเนิน ผิดกับต่างจังหวัดที่มาตรฐานต่ำกว่า
ปัญหา คือ พรรคภูมิใจไทยจะเอาอาวุธยุทโธปกรณ์อะไรมาสู้แชมป์เดิม ตอนนี้รถถังก็ยังไม่ได้ซื้อ จรวดหรือเครื่องบินก็ยังไม่มี โดรนยิ่งไม่ได้ต้องพูด นักคิดในพรรคชำนาญเฉพาะการรบในป่า ยัง “ไม่รู้จัก” อาวุธเหล่านี้
พรรคภูมิใจไทย ไม่รู้จัก “พิธาโมเดล” และวิธีการสร้างกระแสในเมือง ส่วนการรบแบบ “คนป่ามีปืน” ใช้กับกรุงเทพฯ ไม่ได้ ไม่มีใครเขายอมให้ซุ่มยิงฝ่ายเดียวแล้ววิ่งหนีไปได้
ตรงกันข้ามกับ พรรคประชาธิปัตย์ หลังจาก “หลงผิด” ไปรบแบบ “กองโจร” มาพักใหญ่ เริ่มรู้ตัวว่าต้องหันกลับมาพัฒนา “ขีปนาวุธชนิดเร็วกว่าเสียง” และมีอานุภาพมากกว่า “หนังสะติ๊ก”
การสละตำแหน่งในพรรคของ “เสี่ยต่อ” และ “พี่เดะ-อิ” เป็นคุณูปการณ์อย่างสำคัญต่อพรรคประชาธิปัตย์
“คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” รู้จัก “พิธาโมเดล” เป็นอย่างดี พิธาใช้คุณสมบัติของความเป็นนักเรียนนอก มีการศึกษาดี พูดภาษาอังกฤษ ตอบโต้กับผู้สื่อข่าวต่างประเทศอย่างคล่องแคล่ว และมีความคิดก้าวหน้า นึกถึงแม่แบบที่เป็น “Western Democracy” อยู่ตลอดเวลา
หากคุณอภิสิทธิ์กลับมา หันมาใช้ “พิธาโมเดล” บ้าง เดี๋ยวให้สัมภาษณ์ฝรั่ง เดี๋ยวพูดภาษาอังกฤษออกโทรทัศน์ เดี๋ยวแสดงออกความคิดที่ก้าวหน้า และเสนอแนวทางการปฏิรูปประเทศ ไม่แพ้พรรคก้าวไกล แต่ไม่ร้อนรน และดูเป็นผู้ใหญ่กว่า ประชาธิปัตย์น่าจะถอดสายน้ำเกลือได้
ปัญหาคุณอภิสิทธิ์อยู่ที่จะปรับ “Western Democracy” มาหาเสียงกับคนกรุงเทพฯ อย่างไร เพราะปัจจุบันพรรคประชาธิปัตย์ยังยึด “Thai Democracy” อยู่ และทำอย่างไรให้พรรคประชาธิปัตย์หันมาพูดเรื่อง “สิทธิและเสรีภาพ” ที่ก้าวหน้ามากขึ้น เช่น พูดถึงสิทธิการประกันตัวของผู้ต้องหาในคดี 112 หรือเสนอความเห็นคม ๆ ถึงปัญหาความมั่นคงชายแดนไทย ว่าจะมีทางออกอย่างไร
โดยเฉพาะทำอย่างไร จึงจะให้พรรคประชาธิปัตย์เลิกพูดคำว่า “ความเป็นสถาบันการเมืองเก่าแก่” เพราะคำนี้แทงใจดำคนกรุงเทพฯ เนื่องจากคนกรุงเทพฯเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ “เก่า” ตามระยะเวลา แต่การพัฒนาพรรคการเมืองไม่ได้มีแบบแผนตามทฤษฎีพรรคการเมืองสมัยใหม่ เช่น การแคมเปญพรรค การใช้เทคโนโลยีในการหาเสียง หรือปัญหา “โซตัส” ในพรรค
หากคุณอภิสิทธิ์เข้าใจ “โอบามาโมเดล” ปี ค.ศ. 2008 ตอนแข่งกับฮิลลารี คลินตัน เพื่อเป็นตัวแทนพรรคดิโมแครต โอบามาตามหลังฮิลลารีอยู่ถึง 10-40 จุด แต่จากชัยชนะของโอบามาที่ไอโอวาเป็นต้นมา คะแนนโอบามากลับมาแซงฮิลลารีอย่างน่าอัศจรรย์ รวมถึงยังเอาชนะแม็คเคนคู่แข่งจากรีพับลิกันได้ด้วย
คุณอภิสิทธิ์ต้องเอา “เขต” หนึ่งในกรุงเทพฯ เป็น “benchmark” ก่อน แล้วค่อย ๆ ทำโดมิโนไปเขตอื่น
ปัญหาของคุณอภิสิทธิ์ คือ จะถ่อมตนเหมือนโอบามา ที่เอาความถ่อมตนชนะฮิลลารี ผู้เย่อหยิ่งได้ไหม
โอบามาอาศัยการเป็นนักต่อสู้เรื่องสิทธิพลเมือง ที่ไปไหนมาไหนยกแต่เรื่องการต่อสู้เรื่องสิทธิพลเมืองของตนหาเสียงอย่างเดียว คะแนนตีตื้นขึ้นมา ทั้งที่บรรดา “คนดำ” ทั้งหมดศรัทธาในครอบครัวฮิลลารีมาตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีคลินตัน
สิ่งหนึ่งที่เหลือเชื่อ คือ โอบามา อ่อนน้อมยอมรับ “ฮิลลารีแคร์” และกลับเอามาขยายผลให้เป็นจริงในนโยบาย “โอบามาแคร์” ในสมัยของตัวเอง
หากคุณอภิสิทธิ์ปรับตัวได้ พรรคประชาธิปัตย์จะพลิกหน้ากระดาษแผ่นใหม่เหมือน “โอบามา” คุณอภิสิทธิ์อาจเป็น “ก้างขวางคอ” ของแชมป์เก่าอย่างพรรคก้าวไกล อย่างน้อยได้สัก 2-3 เขต
ยิ่งุคุณจิรัฏฐ์ ส.ส.คนเก่งของพรรคประชาชน เคยพูดผ่านสื่อไทยทำนองว่ากองทัพ “ไทยรบยังไงก็ไม่ชนะ” อันนั้นยิ่งเป็นจุดอ่อนที่จะถูกพรรคอื่นเอามาขยายผลในสนามกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่
เพราะความจริงอีกเพียงปีหนึ่งถัดมา “ทหาร” กลับพิสูจน์ความจริงตรงกันข้ามกับที่คุณจิรัฏฐ์เคยทำนาย สามารถเอาชนะสงครามห้าวันกับกัมพูชาได้อย่างราบคาบ และทหารมีประโยชน์ต่อการป้องกันประเทศเป็นอย่างมาก ปัจจุบัน ทหารหลายคนเสียชีวิต และ “ขายังขาดอยู่” จากการเสียสละให้กับประเทศ
เขตกรุงเทพฯ เป็น “สวิงสเตท” ตัวจริงของไทย เพราะ (1) เป็นเขตของชัยชนะที่สง่างาม (2) เป็นเขตที่รบพุ่งกันด้วยอาวุธหนักตามแบบฉบับของการรบที่เป็นสากล และ (3) เป็นตัวตัดสินการเป็นรัฐบาลไทยที่มั่นคงในอนาคต
นอกจากนั้น เขตกรุงเทพฯ ยังเหมาะกับ “ผู้ท้าชิง” (challenger) เพราะอันที่จริง คนกรุงเทพฯ เป็น “คนหัวแข็ง” และ “เห็นต่าง” จากรัฐบาลมาตลอด ดังที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตที่พรรคประชากรไทย พรรคพลังธรรม สามารถกวาดที่นั่งส.ส.ในกรุงเทพได้ พลิกคำทำนาย
ส่วนพรรคใหม่ อย่างพรรคคุณเอ้และคุณหญิงกัลยา ยังน่าจะสับสนกับตำแหน่งของพรรค เพราะพรรคไม่รู้ว่าตัวเองเป็น “Niche Party” หรือ “Mainstream Party” กันแน่
การที่พรรคชูนโยบาย “การศึกษา” อย่างเดียว ก็แสดงว่าต้องการเจาะกลุ่มลูกค้า “สายการศึกษา” เหมือนเช่นถ้าเราตั้งพรรคใหม่ ตั้งชื่อว่า “พรรครถตุ๊ก ๆ” แสดงว่าเราต้องการเจาะกลุ่มคนขับรถตุ๊ก ๆ
แต่หลักของการตั้งพรรค Niche Party นั้น กลุ่มที่ลูกค้าที่เราเจาะ ต้องเป็นกลุ่มลูกค้าที่พรรคอื่นมองข้าม แล้วเราให้ความสนใจเป็นพิเศษ ข้อสำคัญขนาดของกลุ่มที่เราเจาะต้องเป็นฐานเพียงพอที่จะทำให้เรามีตัวแทนพอที่จะไปสู้ในสภา
ถ้ากลุ่มลูกค้ากลุ่มเฉพาะของเราเล็กเกินไป ฐานของกลุ่มสนับสนุนพรรคก็จะแคบ เช่น พรรคทวงคืนผืนป่า พรรคครูไทย หรือแม้แต่พรรค “ไทยภักดี”
กลับกัน ถ้าเราจะเป็นพรรค Mainstream นโยบายพรรคต้องขยายออกมาและมีฐานตอบสนองต่อกลุ่มที่กว้างกว่ากลุ่มที่เราต้องการเจาะ จึงต้องเป็นพรรคที่มีนโยบายตอบสนองต่อทุกกลุ่ม (Catch-All Party)
ปัญหาของพรรคคุณเอ้ คือ มุ่งนโยบายการศึกษา แต่ตั้งกลุ่มเป้าหมายอยู่ที่กรุงเทพฯ และคิดคำนวณจากคะแนนที่คุณเอ้เคยได้รับจากการลงสมัครผู้ว่ากทม. สามแสนคะแนน แล้วคำนวณออกมาเป็นที่นั่ง ส.ส. พร้อมกับบวก-ลบ เป็นจำนวนเป้าหมายของ ส.ส.
จึงก่อให้เกิดปัญหาในการทำแคมเปญมาก เพราะถ้าจะเอาเป้าหมายเป็นกรุงเทพฯ ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นการเอา “ปัญหา” ของกรุงเทพฯ เป็นตัวตั้ง และเสนอทางเลือกทางนโยบายใหม่ ๆ ที่ถูกใจคนกรุงเทพฯ พร้อมกับต้องเข้าใจ “จิตวิทยา” ของคนเมือง ว่า “ต้องการพลิกหน้ากระดาษแผ่นใหม่” เหมือนที่โอบามาหาเสียงว่า เขาไม่ต้องการอ่านอะไรซ้ำ ๆ อยู่หน้าเดิม
ความจริงที่คุณธนาธร กล่าวว่า เผด็จการใกล้มาถึงหน้าสุดท้ายของบทของหนังสือ กำลังจะเข้าสู่บทใหม่ คือ พรรคประชาชนได้เสียงข้างมาก 250-270 และเกิดการ grand compromise นั้น ที่จริงแล้ว ก็คือ การจุดประเด็นของการเปลี่ยนแปลงระบบการเมือง โดยเงื่อนไขว่าพรรคประชาชนได้เสียงข้างมากนั่นเอง
ที่จริง “grand compromise” เป็นทั้งทางออกและทางลงของพรรคประชาชน เพราะการต่อต้านระบบอย่างรุนแรงนั้น คุณธนาธรรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ และจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พรรคหายไป
3. เครดิตของพรรคการเมือง
เครดิตของพรรคการเมือง (party credibility) เป็น “ดาบสองคม” ของการรบในสนามการเมือง
ด้านหนึ่ง ถ้าพรรคใดมีเครดิตดี พรรคนั้น ไม่จำเป็นต้อง “ซื้อเสียง” เช่น กรณีของพรรคอนาคตใหม่ หรือพรรคประชาชนในปัจจุบัน
ส่วนอีกด้านหนึ่ง เครดิตของพรรคกลับเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมต่อการ “ซื้อเสียง” เป็นอย่างมาก เพราะพรรคจะใช้เงินซื้อเสียงน้อยลง
ยิ่งกว่านั้น การที่พรรคเป็นรัฐบาลด้วย พรรคย่อมสามารถจัดตั้ง “กลไก” (machine) ของระบบราชการให้เอื้ออำนวยต่อการซื้อเสียงได้ เช่น ผู้ว่า นายอำเภอ ผู้กำกับ กกต. จังหวัด และอสม.
อย่างไรก็ตาม พรรคที่ชำนาญในการรบในป่า เช่น พรรคภูมิใจไทย พรรคกล้าธรรม ในเวลาอันใกล้ก็ต้องหันมารบในเมือง และต้องสนใจการสร้าง “เครดิตของพรรคการเมือง”
3.1 กรณีของพรรคเพื่อไทย
พรรคเพื่อไทยเป็นตัวอย่างของพรรคการเมืองไทย ในแง่ที่เป็นพรรคที่สูญเสียเครดิตทางการเมืองจากกรณีคลิปเสียงอังเคิล และส่งผลเป็นลูกโซ่ทางการเมือง
แต่ถ้ามองย้อนขึ้นไปจะพบว่า “เป็นความผิดพลาด” ของยอดนักขายอย่าง “ทักษิณ” เริ่มตั้งแต่ที่ตัดสินใจให้ “แพทองธาร” เป็นนายกรัฐมนตรี
ปัญหา Leadership เป็นปัญหาเบื้องต้นของพรรคการเมือง “แพทองธาร” พูดอะไรในทางการเมืองไม่เป็น มีความรู้รอบตัวน้อย ตัดสินใจไม่ได้ ต้องให้ “หมอมิ้งค์” และ “น้าอ้วน” ประกบอยู่ตลอด พูดไปก็อ่านไอแพคไป เหมือนนักเรียนที่ยังรวบรวมความคิดเป็นของตัวเองไม่ได้
เมื่อเทียบกับ “คุณเท้ง” แม้ดูด้อยกว่า “พิธา” แต่พูดจาเป็นกระบวนความมากกว่า แม้ว่าจะสั้นและห้วนเกินไป ชอบยกมาพูดเฉพาะส่วนที่เป็นตัวบทและไม่มีตัวอย่างประกอบ แต่ระบบพรรคประชาชนดีกว่าพรรคเพื่อไทยมาก จึงดูเป็นอิสระมากกว่า และข้อสำคัญมีขุนพลอย่างคุณโรม คุณไหมหรือคุณวิโรจน์ช่วยประคับประคอง
ยุคหลังอังเคิล เป็นยุคที่พรรคเพื่อไทย ควร “ยกเครื่อง” อันมีความหมายทำนองว่า “เรือยอร์ช” ลำนี้ใช้ “เครื่องเซียงกง” ต้องเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ที่ใหม่กว่าและดีกว่า
แต่พรรคเพื่อไทยกลับเลือกยกเครื่อง โดยเอาเครื่อง “เรือหางยาว” มาใส่ คือ “แพทองธาร” ยังเป็นหัวหน้าพรรค “หมอมิ้งค์” ยังเป็นเสนาธิการพรรคผู้ปราดเปรื่อง พอถึงหน้าเลือกตั้งแกมีสูตรสำเร็จว่าต้องพูดถึง “อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน” แต่พอแกได้ดี แกลืมประชาชนทุกที ส่วนทีมบ้านพิษณุโลกที่มี “น้าพันศักดิ์” เป็นผู้นำยังคงเป็น “มันสมอง” ก้อนโตที่ฝ่อลง แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือ ทุกอย่างยังถูกสั่งการจาก “ทักษิณ” ที่ยังติดธุระ ไม่ว่างมาสั่งการเอง
การปรับเปลี่ยนสำนักงานเป็นเพียงการ “Reorganization” ซึ่งไม่ได้เปลี่ยนอะไรมาก และเป็นการเปลี่ยนทางกายภาพ
ส่วนสำคัญจริง ๆ ที่จำเป็นต้องเปลี่ยน คือ “ความคิด” (ideational turn) ในการทำพรรคการเมือง ทักษิณและแพทองธาร ต้องถอยไป คุณหญิงจะมายกสองนิ้ว “สู้ลมสู้แดดอยู่” ไม่ได้ ส่วน “โอ๊ก” เลี้ยงลูกนะเหมาะสมแล้ว ยังไม่ต้องไปคิดเรื่อง “ลูกเขย” หากมา จะยิ่งทำให้เรื่องราววุ่นวายสับสน จนไม่รู้ว่านิยายเรื่องนี้จะจบอย่างไร
ประเด็นสำคัญอยู่ที่พรรคจะเปลี่ยนการรบ “ใต้ดิน” มาเป็น “บนดิน” ได้อย่างไร หมดสมัยที่จะบริหารประเทศในระบบ “วัดครึ่งหนึ่ง กรรมการครึ่งหนึ่ง”
การอาศัยการรบ “ใต้ดิน” เมื่อเครดิตพรรคลดลง แค่ข่าว “เสี่ยแป้งมัน” จะกล่าวอำลาก็สะเทือนไปทั้งพรรค ยังไม่พูดถึง “ครูสุทิน” หรือ “เสี่ยเกรียง” ผู้คงกระพันชาตรี การแก้เกมด้วยวิธีการ “เด็ก ๆ” ยิ่งสะท้อนถึง “น้ำยา” พรรค
ยิ่ง “น้ำเลี้ยง” จากบ้านจันทร์ส่องหล้า เป็นที่รู้กันมานานแล้วว่า บ้านนี้ไม่ได้ผลิต “น้ำประปา” ใช้เอง อาศัยท่อส่งต่อมาจาก “โรงประปา” เจ้าอื่นนานแล้ว การเอา “เสี่ยยะ” มาเป็นผู้อำนวยการแคมเปญ ก็บ่งบอกชัดว่า “ใครเป็นเจ้าของโรงงานผู้ปล่อยน้ำ” และแน่ละ “เสี่ยยะ” ต้องเก็บ “น้ำประปา” ไว้ใช้เองด้วย ไม่เช่นนั้นแกก็ไม่มี “น้ำกิน” เหมือนกัน
เมื่อมองจากยุทธศาสตร์การรบของพรรคเพื่อไทยดังกล่าว การตั้งความหวังว่าจะได้ ส.ส. 200 ที่นั่ง จึงห่างไกลจากความจริง ไม่ต้องพูดตามหลักวิชาอย่างการทำโพล (polling) หรือการวิเคราะห์อัตราความผันผวนของการเลือกตั้ง (Electoral Volatility Rate)
3.2 ทฤษฎีเครดิตพรรคกับการทำแคมเปญพรรค
ทฤษฎีเครดิตพรรคกับแคมเปญพรรค ในทางรัฐศาสตร์เรียกว่า “preference-mediated partisan motivation”
หมายความว่า ผู้เลือกตั้งเขาจะให้เครดิตผู้สมัครแค่ไหน อยู่ที่ความชอบพรรค ทีนี้ ความชอบพรรคยังขึ้นอยู่กับ “นโยบาย” ของพรรค และ “ความรู้สึก” ที่มีต่อพรรคด้วย
เช่น คนใต้สมัยก่อนเลือกพรรคประชาธิปัตย์ เพราะชอบ “นโยบาย” พรรคประชาธิปัตย์ และ “มีความรู้สึกชอบ” พรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์ส่ง “เสาไฟฟ้า” ลงสมัคร คนใต้ก็เลือกเสาไฟฟ้า
หรือ คนกรุงเทพฯ สมัยนี้เลือกพรรคประชาชน เพราะชอบ “นโยบาย” พรรคประชาชน และ “มีความรู้สึกชอบ” พรรคประชาชน ดังนั้น พรรคประชาชน ส่ง “ใคร” ลงสมัคร คนกรุงเทพฯ ก็เลือกคนนั้น
ในทางกลับกัน คนอีสานใต้ปัจจุบัน ไม่ชอบ “นโยบาย” พรรคเพื่อไทย และ “มีความรู้สึก” ไม่ชอบพรรคเพื่อไทย ดังนั้น พรรคเพื่อไทย ส่ง “คนดีขนาดไหน” คนอีสานใต้ปัจจุบัน ก็จะไม่เลือก
ภารกิจของ “ผู้ท้าชิง” จึงได้แก่ การเปลี่ยน “ความรู้สึก” ของผู้เลือกตั้ง สำหรับวิธีการเปลี่ยนมี 3 วิธี คือ
(1) เปลี่ยนจาก “การให้เครดิตแก่พรรคหนึ่งอย่างเต็มที่” (full credibility) มาเป็น “การตั้งข้อสงสัย” (skepticism) แก่พรรคนั้น
(2) เปลี่ยนจาก “ความรู้สึกที่ดีที่มีแก่พรรคหนึ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตา” (Naïve Partisan Motivation) มาเป็นมา “การมีเหตุผล” (Motivated Resoning)
(3) เปลี่ยนจาก “ความรู้สึกที่ดีแก่พรรคหนึ่ง” (Preference-Mediated Partisan Motivation) มาเป็น “ความรู้สึกที่ดีแก่ผู้สมัคร” (Candidate Motivation) แทน
ภารกิจนี้ คือ หลักการในการแคมเปญในการเลือกตั้ง ดังนั้น “เครดิตพรรค” จึงเป็น “ป้อมค่าย” ของแชมป์ที่ได้รับชัยชนะอยู่เดิม
ส่วน “การตีป้อมค่าย” ดังกล่าว จึงทำโดยการลดทอน “เครดิตพรรค” โดยการ “ตั้งข้อสงสัย” และ “ให้เหตุผล” ถ้าไม่มีทางตีได้เลย ก็เอา “ความดี” ของผู้สมัครมาทดแทนพรรค
ในสนามรบ “บนดิน” เช่น กรุงเทพฯ เจ้าของแชมป์กับผู้ท้าชิงจึงสู้กันตรงไปตรงมา ซดกันหมัดต่อหมัด คนที่สะใจและได้กำไร คือ คนดู
ส่วนสนามรบ “ใต้ดิน” เช่น ในต่างจังหวัด อาจมีการต่อยใต้เข็มขัดอยู่ด้วย คนดูได้แต่ส่ายหน้าเอือมระอา แต่ไม่รู้จะทำยังไง
ในอนาคต ประเทศไทยคงหันมารบกัน “บนดิน” มากกว่า “ใต้ดิน” เหมือนนานาอารยประเทศ และเมื่อถึงวันนั้น กกต.ไทย ก็น่าจะหยุด “กินก๋วยเตี๋ยว” ได้แล้ว
บทความโดย :
ทนายบ้าน ๆ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา