
"...สาเหตุใหญ่อีกอย่างหนึ่งที่ทายผลเลือกตั้งไม่ถูก เป็นเพราะเหตุการณ์ทางการเมือง (Political Events) เปลี่ยนไป เช่น ช่วงตั้งแต่เวลานี้จนไปถึงวันเลือกตั้งอีกสามเดือนเศษ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง..."
1. ความนำ
สาเหตุที่พรรคการเมืองและนักวิเคราะห์การเมืองทำนายผลการเลือกตั้งไม่ถูก สาเหตุใหญ่มาจากชอบเอาตัวเลข ส.ส. เดิมเป็นตัวตั้ง เช่น สมมติเดิมได้ส.ส. 10 คน แต่พรรคคาดว่าคราวหน้าจะได้ 20 คน
แต่ “ชีวิตจริงของมนุษย์” ไม่ได้เป็นเส้นตรง (linear) และไม่ได้เพิ่มอย่างก้าวกระโดด (exponential transformation)
บางทีก็วกวนและย้อนกลับ บางพรรคถูกควบรวมด้วยกระบวนการผูกขาดทางการเมือง (Political Cartelization) เช่น พรรคความหวังใหม่ บางพรรคเกิดขึ้นแล้วก็ตายเลย (rise and fall) เช่น ไม่ได้ส.ส.แล้วเลิกไปเลย หรือบางทีเมื่อเกิดแล้ว เคยรุ่งเรืองถึงขีดสุด ต่อมาแม้ยังไม่ตาย แต่เสื่อมถอยลง (rise and decline) เช่น ยุคพรรคไทยรักไทยเคยรุ่งเรืองสูงสุด แล้วยุคพรรคพลังประชาชน และยุคพรรคเพื่อไทยเสื่อมถอยจนปัจจุบัน
ตัวเลขจำนวนส.ส.ที่พรรคนึกเอาเอง เป็นตัวเลขที่คาดหวัง (Expectation) ไม่มีเหตุผลรองรับ บางทีพรรคตั้งเป้าสูง ๆ เป็นยุทธวิธี เพื่อ “ข่มขวัญ” คู่ต่อสู้ และสร้าง “ความฮึกเหิม” ให้กับลูกพรรค หรือฉวยโอกาสสร้าง “กระแส” ไปในตัว
ส่วนการคาดหวังที่พอมีเหตุผลขึ้นมาหน่อย ได้แก่ การทำโพล (Polling) เพราะเป็นการสำรวจ (survey) ความเห็นจากคนมีสิทธิเลือกตั้ง แต่สมัยนี้ใช้วิธีสุ่มตัวอย่างและถามกันทางโทรศัพท์มือถือ
แม้จะสร้าง dataset คือ ชุดข้อมูลของคนตอบกระจายทั่วประเทศ แต่ dataset ของไทยก็สร้างขึ้นมาในระยะเวลาอันสั้นและไม่ครอบคลุม ผิดกับ dataset ของศูนย์การศึกษาการเลือกตั้งของต่างประเทศ เช่น American National Election Study (ANES) ซึ่งมี dataset ครอบคลุมกว่าเพราะตั้งมาตั้งแต่ ค.ศ. 1948
ปัญหาใหญ่ของโพล คือ ปัญหาคนไม่ตอบ (non-response bias) หมายความว่า “คนที่เราไม่ได้ถาม” นั้น เขามีความเห็นต่างจาก “คนที่ตอบเรา” อย่างเป็นระบบ คำตอบที่เราได้ จึงไม่ใช่ “ตัวแทน” (representatives) ของคนมีสิทธิเลือกตั้ง
คนที่ตอบเรานั้น ยังมีปัญหาเรื่องความต่อเนื่องของระยะเวลา (Time Series) เพราะความคิดเห็นของคนจะเปลี่ยนไปเรื่อย ตามช่วงเวลาที่ถูกถามแต่ละช่วง
ประเทศไทยยังมี “โพลหลอกลวง” (Deception Poll) หรือ “โพลผลักดัน” (Push Poll) โพลพวกนี้ทำโดยคนบางกลุ่ม เพื่อชี้นำการเลือกตั้ง หรือบางทีก็ไม่ได้ไปเก็บข้อมูลจริง แต่ make up ขึ้นมา เพื่อ “สร้างภาพ” ให้กับพรรคการเมือง หรือเพื่อหลอก “เอาเงิน” จากนักการเมือง
โพลที่ทายใกล้เคียงที่สุดน่าจะเป็น “Exit Poll” แต่ต้องไปถามหลังจากที่เขาลงคะแนนแล้ว ตอนหลังมานี้ ประเทศไทยก็ห้ามถาม เพราะเป็นการรบกวนการเลือกตั้งและอาจส่งผลต่อการลงคะแนนในขณะที่ถาม
อีกอย่างถามไป ไม่ค่อยมีประโยชน์ เพราะการเลือกตั้งผ่านไปแล้ว เว้นแต่ว่านักการเมืองจะเอาไปเป็นเครื่องมือ “จัดการ” กับ “หัวคะแนน” ว่าคะแนนหน่วยไหนไม่เข้าเป้า หรืออาจเป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปในทางวิชาการ
2. Political Events
สาเหตุใหญ่อีกอย่างหนึ่งที่ทายผลเลือกตั้งไม่ถูก เป็นเพราะเหตุการณ์ทางการเมือง (Political Events) เปลี่ยนไป เช่น ช่วงตั้งแต่เวลานี้จนไปถึงวันเลือกตั้งอีกสามเดือนเศษ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เหตุการณ์การเมืองดังกล่าวแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่ง คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติซึ่งเป็นบริบท (context) ที่กระทบต่อการเลือกตั้ง เพราะว่าจะมีผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกของคน เช่น สมมติว่าไทยกับกัมพูชารบกันอีกรอบ หรือเกิดจับหัวหน้าสแกมเมอร์ได้ ปรากฏว่า “เป็นรัฐมนตรี” อยู่ในรัฐบาลปัจจุบัน หรือสมมติว่าคนไทยไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ เพราะไม่เข้าใจว่าปัจจุบัน “ประชาธิปไตยถดถอย” (Democratic Recession) ตรงไหน พรรคประชาชนได้เสียงมากขึ้นกว่าเดิม ก็มาจากรัฐธรรมนูญปัจจุบัน แล้วก็พรรคประชาชนไม่สามารถบอกได้ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญตรงไหนบ้าง ยิ่งพรรคก้าวไกลเคยมีประวัติขอแก้ไขกฎหมายให้สำนักพระราชวังเป็นคู่ความในคดีอาญามาตรา 112 ยิ่งทำให้คนรู้สึกตกใจกลัว
อีกส่วนหนึ่งมาจากการปรุงแต่งของพรรคการเมือง โดยการนำเอาเหตุการณ์ดังกล่าวมาย่อ/ขยาย เพื่อจี้จุดอ่อนของคู่แข่งในสนามเลือกตั้ง ซึ่งแบ่งออกเป็นสองจุด คือ โจมตีบุคลิกของบุคคล (personal character) กับโจมตีประเด็นปัญหาทางนโยบาย (pertinent policy matter)
ยกตัวอย่าง พรรคประชาชนซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน “โจมตี” รัฐบาลอยู่ดี ๆ พอถึงเวลาหาเสียงเลือกตั้ง พรรครัฐบาล “โจมตีกลับ” บ้าง พรรคประชาชนจะรับมือได้หรือไม่ หรืออาจถูกฝ่ายค้านอื่น “โจมตี” เช่น พรรคประชาธิปัตย์โจมตีพรรคประชาชน หรือพรรคเกิดใหม่เห็นช่องว่างที่ไม่มีพรรคใดพูดถึง นำมาเป็นประเด็นในการหาเสียง เกิดจุดติดขึ้นมา
การสร้างกระแสขึ้นมานี้เป็นฝีมือของผู้เชี่ยวชาญการปั่นกระแส เรียกว่า “Spin Doctors” ตัวอย่างเช่น พ.ศ. 2518 กระแส “พรรคพลังใหม่“ ในกรุงเทพฯ พุ่งสูงปริ๊ด ผลของนิด้าโพลคะแนนนำหลายช่วงตัว พอก่อนเลือกตั้งอาทิตย์เดียว มีคนเอาป้ายไปติดตามเสาไฟฟ้าว่า “สังคมนิยมทุกชนิดคือคอมมิวนิสต์ทั้งสิ้น” ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า “พรรคพลังใหม่” แพ้ย่อยยับในสนามกรุงเทพฯ หรือกระแส “จำลองพาคนไปตาย” ในการเลือกตั้งพ.ศ. 2535 สมัยหลังพฤษภาทมิฬ ทำให้พรรคลุงจำลองแพ้หมดรูป
สมัยก่อนยังไม่มีสื่ออิเล็กโทรนิกส์อย่างทุกวันนี้ ช่วง พ.ศ. 2518 ใช้วิธี “ติดป้าย” ตามเสาไฟฟ้า หรือ พ.ศ. 2535 ก้าวหน้าขึ้นมาหน่อย ก็ใช้วิธีส่ง message ผ่านทางมือถือหรือเพจเจอร์ต่อ ๆ กัน ยิ่งสมัยก่อน 2500 เห็นว่าใช้วิธีเอาคนไปตะโกนในโรงหนังด้วยซ้ำ
3. Mediatization
ปัจจุบัน สื่อก้าวหน้ามาก และเป็นยุคที่ “สื่อ” (media) “รุกล้ำ” (intrusion) การเมือง อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ในพื้นที่สาธารณะ (public sphere) สมัยปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อ ค.ศ. 1789 ฮาเบอร์มาส (Habermas) อธิบายว่าคนสื่อสารการเมือง โดยอาศัยการคุยกันตามร้านกาแฟ ร้านตัดผม-ทำผม สื่อที่มีบทบาทต่อการเมืองมากที่สุด คือ หนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะ “บทบรรณาธิการ”
แต่ปัจจุบันเกิดโซเชี่ยลมีเดีย เช่น ทีวีออนไลน์ แพลทฟอร์มในเว็บเพจ อินสตราแกรม ทวิตเตอร์ เฟสบุ๊ค หรือยูทิวป์ สื่อขยายออกไปอย่างกว้างขวางและกระจัดกระจาย ความจริงน่าจะทำให้ความคิดเห็นของคนกระจัดกระจาย และไม่สามารถรวมกลุ่มก้อนกันได้ แต่ตรงกันข้าม สื่อกลับสามารถชี้นำการเมืองได้
“สื่อ” สามารถสร้างคุณค่าทางการเมือง (Political Value) ให้ใคร “ชอบใคร” หรือ “ชังใคร” อย่างไรก็ได้ เพราะ “สื่อ” เป็นผู้เลือกข่าวสาร (news selection) ที่จะสื่อสาร ขณะเดียวกัน ก็เลือกที่จะสอดแทรกทัศนคติและการชี้นำทางการเมืองเข้าไปในเนื้อหานั้น
ตัวอย่าง การประดิษฐ์คำว่า “บ้านใหญ่” หรือการแบ่งการเมืองไทยออกเป็น “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” กับ “ฝ่ายประชาธิปไตย” ของสื่อ ที่จริงเป็นวาทกรรม (discourse) ที่ลดรูปความซับซ้อนของความหมายทางการเมือง เพื่อมุ่ง “ด้อยค่า” (devalue) และสร้างขั้วการเมือง (political polarization)
คำว่า “บ้านใหญ่” เป็นการดูแคลนการเมืองของคนในต่างจังหวัด ขณะเดียวกันเป็นการซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการเมือง แทนที่จะหาทางช่วยกันแก้ปัญหาการทุจริตในการเลือกตั้ง เช่น การบังคับใช้กฎหมายในการเลือกตั้งอย่างสุจริตและยุติธรรมและการลงโทษ กกต.ที่ทำผิดกฎหมายหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ กลับดูถูกว่าเป็นการเมือง “บ้านใหญ่”
อีกทั้งยังละเลยต่อคุณค่าของ “เครือข่ายความสัมพันธ์ทางสังคม” ของคนในต่างจังหวัด ซึ่งมีด้านดีอีกมาก ไม่ได้มีแต่ด้านลบด้านเดียว เช่น สมัย พ.ศ. 2540 สังคมชนบทเป็นเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคม (Social Safety Net) ของคนตกงานจากกรุงเทพฯ หรือสังคมชนบทเป็นสังคมที่คนมีรากหยั่งลึกลงในชุมชน (self-situated) ไม่ใช่ “หลักลอย” เหมือนคนในเมืองหรือกรุงเทพฯ
ส่วนคำว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” กับ “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” เป็นการสะท้อนความพื้นผิวของการวิเคราะห์ของ “สื่อ” เพราะตามความเป็นจริงก็ไม่ได้มีฝ่ายใดเป็นประชาธิปไตย “สูงส่ง” หรือฝ่ายใดเป็นประชาธิปไตย “ต่ำเตี้ย”
การแบ่งเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” กับ “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” สะท้อนว่า “สื่อ” กำลังเชียร์พรรคประชาชน ต้องการแบ่งแยกว่า “พรรคประชาชน” เป็นพรรคที่ดีกว่าหรืออยู่สูงกว่า “พรรคอื่น ๆ”
ความจริง พรรคที่ต่อต้านระบบ (anti-establishment parties) เช่น พรรคประชาชน เมื่อได้เป็นรัฐบาลเมื่อใดจะได้รับความนิยมน้อยลง เพราะ “ความจริง” กับ “ความฝัน” แตกต่างกัน อันเป็นวงจรของพรรคการเมืองประเภทนี้ ดังที่เกิดมาแล้วกับกรณีของ “พรรคไทยรักไทย” เมื่อ พ.ศ. 2544-2549 และศึกษาได้จากกรณีศึกษาทั่วโลก
การเข้ามารุกล้ำพื้นที่สาธารณะและสร้างอิทธิพลทางการเมืองที่เรียกว่า “Mediatization” ดังกล่าว ปัจจุบันได้กลายปัญหาใหญ่ควบคู่กับปัญหาอิทธิพลของโลกาภิวัตน์ (Globalization)
โลกปัจจุบันตกอยู่ใต้เหตุผลของสื่อ หรือ “Media Logic” หมายถึง การทำสื่อในปัจจุบัน ไม่ได้อาศัยความรู้และหลักวิชาชีพทาง “วารสารศาสตร์” แต่อาศัย “หลักการพาณิชย์” และความได้เปรียบทางเทคโนโลยี
คนที่มีความสามารถสร้างสื่อให้มีอิทธิพลทางการเมือง ไม่ต้องจบหรือต้องมีวิชาชีพ (professionalism) ทางวารสารศาสตร์
ตัวอย่าง บางคนจบสังคมศาสตร์ที่มีความรู้เรื่องการตลาด อย่างเช่น “พี่ตุ้ม” บางคนจบนิติศาสตร์ที่มีความรู้ทางการเมืองและรัฐธรรมนูญ อย่าง “อาจารย์ปริญญา” ซึ่งสามารถสร้างพื้นที่ข่าวสารทางการเมืองและมีอิทธิพลทางการเมืองได้อย่างมาก หรือบางคนอาจให้ทั้งความรู้สาระและความบันเทิงอย่างเช่น “พี่เทพไท ไข่กระดก” ซึ่งเต็มไปด้วยประสบการณ์ทางการเมือง ยิ่งไม่ต้องพูดถึง “อาจารย์จ๊ะ” สุดยอดของนักวิจารณ์การเมืองไทยในยุคปัจจุบัน ไม่เคยทายผิดในเรื่องใหญ่ ๆ แม้แต่ครั้งเดียว รวมถึงคนอื่น ๆ
จนกระทั่งปัจจุบัน สาขาวิชา “วารสารศาสตร์” ในมหาวิทยาลัยไทย หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยตะวันตกรู้สึกว่าสาขาของตนปรับตัวกับความสามารถของนักสื่อสารการเมืองสมัยใหม่ไม่ทัน
บางประเทศจึงหันมาศึกษา “Mediatization” อย่างแพร่หลาย ตัวอย่างเช่น ในยุโรปตะวันตก งาน “Mediatization” มาจากสวิสเซอร์แลนด์และสแกนดิเนเวีย ส่วนใหญ่นำเสนอปัญหา “Mediatization” และเร่งหาทางแก้ไขเพื่อหาทางให้ “สื่อ” มีความเป็นวิชาชีพมากกว่าปัจจุบัน
4. Backlash Politics
ย้อนมาพูดถึงประเด็นหลักว่า “ทำไมจึงทายผลการเลือกตั้งไม่ค่อยถูก”
ปัจจุบัน การเลือกตั้งในเขตเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ ต้องอาศัย “สื่อ” และ “การปั่นกระแส” ช่วงตั้งแต่ระยะเวลานี้ไปถึงวันเลือกตั้ง จึงคาดการณ์ได้ไม่ยากว่าจะมีการสื่อสารการเมืองโดยการสร้างกระแสใหม่ ๆ ขึ้นมาอีกมาก เพราะ “สื่อไทย” สามารถสร้าง “กระแส” ได้ทุกวัน
ปัญหาอยู่ที่กระแสใดจุดติด กระแสใดจุดไม่ติด หรือ กระแสใด ถูกตีกลับ ซึ่งต้องวัดผลผ่านทางการทำโพลการรับรู้กระแสแต่ละระยะ
ปัจจุบันใกล้เลือกตั้ง สถานการณ์การเมือง เช่น ในกรุงเทพฯ กำลังเป็น “การเมืองโต้กลับ” หรือ เรียกว่า “Backlash Politics”
ตัวอย่าง “พรรคประชาชน” เป็นฝ่ายโจมตีระบบและตัวบุคคลเพื่อสร้างคะแนนนิยมฝ่ายเดียว โดยมี “สื่อ” บางส่วนคอยอุ้มชู ทั้งทางตรงและทางอ้อม
แต่พอถึงเลือกตั้งครั้งต่อไป “พรรคประชาชน” เป็นพรรคที่ได้เสียงมากที่สุดในกรุงเทพฯ ย่อมตกเป็นเป้าของการโจมตี และเป็นฝ่าย “รับมือ” พรรคอื่นบ้าง เพราะใคร ๆ ก็ต้องการ “ล้มแชมป์เก่า”
การเลือกตั้งจึงไม่แน่นอน เพราะขึ้นอยู่กับว่า “พรรคอื่น” จะสร้าง “Backlash Politics” ขึ้นมาอย่างไร ประกอบกับ “สื่อ” บางส่วนที่คอยอุ้มชูพรรคประชาชนอยู่จะสามารถปกป้องพรรคประชาชนไว้ได้เพียงใด
ส่วน “คนในเมือง” และ “นิสิตนักศึกษา” สมาชิกพรรคที่มีอุดมการณ์ (Militants) ซึ่งคอยปกป้องพรรคประชาชนนั้น อาจเลือกอยู่ข้างพรรคประชาชนน้อยลง เนื่องจากเหตุผลทางด้าน “Political Identification”
5. Party Identification
“Party Identification” หมายถึงการแสดงออกว่าตนเองสังกัดพรรคการเมืองพรรคใด หรือเข้าข้างพรรคใด (partisanship) พูดง่าย ๆ ว่า “เป็นแฟน” พรรคใดและ “เหนียวแน่น” เพียงใด
สายัณห์ สัญญา รู้สัจธรรมของแฟนเพลงเขาดี จึงพูดเสมอว่า “ให้รักสายัณห์น้อย ๆ แต่นาน ๆ”
“มิตรรักแฟนเพลง” ไม่ต่างจาก “Party Identification” ต่างเป็นความรู้สึกใกล้ชิดทางจิตใจ เดี๋ยวตัวอยู่ใกล้ เดี๋ยวตัวอยู่ไกล แต่ใจใกล้ชิดกัน บางคนรักกันแทบตาย แต่ไม่ได้แต่งงานกัน เพราะเมื่อ “แฟน” ห่างไกล เขาก็แพ้ “ระยะทาง”
สายัณห์ สัญญา รู้ดีว่า วันหนึ่งต้องมี “ก้อง ห้วยไร่” หรือ “ไมค์ ภิรมย์พร” แม้แต่ “จ๊ะ ผงมณี”
สมัยก่อนคนคิดว่า “Party Identification” อยู่คงที่ เมื่อเขาอยู่ข้างพรรคไหนก็อยู่ข้างพรรคนั้นไปตลอด อาจจริงกับบางประเทศและบางพรรค เช่น ในสหรัฐอเมริกา คนเป็นดิโมแครตหรือรีพับลิกันมาอย่างยาวนาน สืบทอดกันถึงลูกหลาน หรือคนใต้สมัยหนึ่งมีความเป็น “ประชาธิปัตย์” อย่างเข้มข้น
แต่ภายหลัง พบว่า “Party Identification” เปลี่ยนแปลงได้ เช่น ความสัมพันธ์ของคนกับพรรคในประเทศเนเธอร์แลนด์ หรือกรณีที่แฟน “ประชาธิปัตย์” นอกใจ
ปัจจัยที่ทำให้คนเปลี่ยนใจเข้าข้างพรรคการเมืองมีมากมาย ตั้งแต่ “คุณค่าทางการเมือง” เปลี่ยนไป บทบาทการเมืองเปลี่ยนไป หรือการตัดสินใจทางการเมืองไป หรือแม้แต่คู่แข่งเปลี่ยนไป และสถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนไป นอกจากนั้นยังขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อม เช่น การย้ายถิ่น การเปลี่ยนอาชีพ หรือการเข้าสู่วัยผู้ใหญ่และสังคม
การศึกษายุคใหม่ พบว่า “Party Identification” มีความสลับซับซ้อนมากกว่าอดีต เป็นปัจจัยที่ตอบสนองต่อแรงผลักดันทางการเมืองที่เกิดขึ้นในแต่ละระยะของตัวคนแต่ละคน มากกว่าจะอยู่ “คงที่”
โดยเฉพาะ “คนหนุ่มสาว” กลับพบว่า เขาเกิดความสงสัยในตัวเขาเองว่าจะเปลี่ยนแปลง “Party Identification” มากกว่าผู้สูงอายุ
นอกจากนี้ยังพบว่า “Party Identification” ยังไม่ได้สัมพันธ์กับการลงคะแนนเสียง (Vote Choice) เสมอไป หมายความว่า เมื่อคนรู้สึกว่าตนอยู่พรรคหนึ่ง อาจไม่จำเป็นว่า “เขาต้องเลือกพรรคนั้นเสมอไป” เช่น เขาเป็นสมาชิกพรรค ก. แต่เวลาลงคะแนนไปลงให้พรรค ข. เป็นต้น
ปัญหานี้น่าจะเกิดมากกับประเทศประชาธิปไตยเกิดใหม่ (emerging democracy) อย่างประเทศไทย เพราะเวลาเลือกตั้งจริง ๆ มีการใช้เงินกันมาก เมื่อก่อน “น้าชวน” เคยพูดว่า “กว่าจะฝ่าม่านสีม่วงมาได้แทบเลือดตากระเด็น” แต่สมัยนี้ ไม่ใช่ “สีม่วง” แล้วก็ไม่ใช่ “สีเทา” ด้วย แต่เป็นกระแส “สี่ใบเทา”
การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์และยุติธรรมจึงสำคัญมาก หากเกิดการซื้อเสียงได้ ก็ซื้อประเทศได้ และเมื่อเขาซื้อเสียงได้ เขาก็สามารถซื้อ กกต. ได้ ดังที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่ทั่วไป
6. Electoral Volatility
การเลือกตั้งจึงมีความผันผวน ในเชิงปริมาณวัดได้จากดัชนีความผันผวนของการเลือกตั้ง (Electoral Volatility Index) วิธีคิด คือ เอาการเลือกตั้งพรรคครั้งนี้ เทียบกับครั้งต่อไป ค่าจะวิ่งอยู่ระหว่าง 0-100 ถ้าค่า 0 ก็แปลว่า “ไม่ผันผวนเลย” ส่วนถ้าค่า 100 เท่ากับมีความผันผวนอย่างสัมบูรณ์

อัตราความผันผวนนี้ยังแยกออกเป็นความผันผวนในระบบ (within system) กับนอกระบบ (extra system) ค่าความผันผวนในระบบ คือ ค่าของความผันผวนของพรรคเดิมที่อยู่ในระบบการเมืองเดียวกัน ส่วนค่าความผันผวนนอกระบบ คือ ค่าความผันผวนสำหรับ “พรรคใหม่” ที่จะเข้ามามีที่นั่งส.ส.ใหม่ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปนั่นเอง
อัตราความผันผวนของการเลือกตั้งของประเทศไทย ปี ค.ศ. 2010 เท่ากับ 27.2 แสดงว่า การเลือกตั้งในปีดังกล่าว ที่นั่งส.ส.เปลี่ยนไปทั้งระบบโดยเฉลี่ย 27.2% เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกาในปีเดียวกันที่มีการเปลี่ยนแปลงเพียง 3.4%
ส่วนตัวเลขปัจจุบัน ผู้เขียนไม่มีตัวเลขชัดเจน แต่คาดว่าอัตราน่าจะยิ่งผันผวนกว่านี้อีก เพราะประเทศเราเป็นระบบหลายพรรคและการแข่งขันไม่แน่นอน ทั้งไม่ได้เป็นระบบเดียวกัน แต่สหรัฐอเมริกาเป็นระบบสองพรรค และการแข่งขันมีแบบแผนชัดเจนกว่า
ดังนั้น อัตราความผันผวนดังกล่าว ยิ่งเป็นที่ประจักษ์ว่า ผลการเลือกตั้งแต่ละครั้งไม่ได้คงที่ พรรคแต่ละพรรคได้ส.ส.ไม่เท่าเดิม มีขึ้นมีลงตลอด และมีช่องให้พรรคใหม่ ๆ เข้ามาได้เสมอ
การคาดหวังจากตัวเลขเดิม ๆ บนพื้นฐานเดิม ๆ และด้วยเหตุผลเดิม ๆ จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เราเดาผลการเลือกตั้งผิดตลอด
ตัวเลขส.ส. มีขึ้นมีลง นักเลงพนันจึงกล่าวว่า เวลาได้อย่า “สั่นขา” พอเวลาเสียก็อย่า “ขาสั่น” ก็แล้วกัน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา