
"...แต่อาจไม่เป็นเช่นนั้นเสียทีเดียว เพราะมีนักวิชาการและประชาชนส่วนหนึ่งเห็นว่า MOA ระหว่างหัวหน้าพรรคประชาชน กับหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย อาจไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เนื่องจาก 2 พรรคการเมืองนี้ที่ได้ลงนามใน MOA ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยรัฐบาลนายอนุทินได้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินมาโดยไม่ครบถ้วน ขาดไป 2 เรื่องสำคัญ โดยได้แบ่งปันอำนาจ 2 เรื่องนั้น ให้กับพรรคประชาชนที่เป็นฝ่ายค้านคือ ทำให้พรรคประชาชนมีอำนาจกำหนดให้คู่แลกเปลี่ยนตาม MOA คือนายกรัฐมนตรีต้องกราบบังคมทูลถวายคำแนะนำเพื่อตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ภายใน 4 เดือน หรือภายในวันที่ 31 ม.ค.2569 กับทำให้พรรคประชาชนมีอำนาจกำหนดให้คู่แลกเปลี่ยนตาม MOA คือนายกรัฐมนตรีดำเนินการให้ ครม.จัดให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งการได้อำนาจด้วยวิธีการเช่นนี้อาจขัดต่อหลักการตามรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นหลักการพื้นฐานที่ปรากฏอยู่ในคำปรารภของรัฐธรรมนูญในเรื่องการสร้างความเข้มแข็งแก่การปกครองประเทศด้วยการให้มีสัมพันธภาพที่เหมาะสมระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร และหลักการสำคัญตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหมวดต่าง ๆ ที่อาจถือว่าเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งประชาชนที่เห็นว่าเป็นการกระทำที่มีความมุ่งหมายเช่นนี้ อาจยื่นเรื่องผ่านอัยการสูงสุดไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้เลิกการกระทำได้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49..."
รัฐบาลที่มี MOA เป็นชนักติดหลัง เหมือนกับซื้อ “มือถือ” ติดสัญญา ห้ามย้ายค่ายเปลี่ยนโปร ซึ่งทุกท่านที่เคยซื้อโทรศัพท์มือถือ คงเคยเห็นโปรโมชั่นขายเครื่องราคาถูกกว่าปกติ แต่ความถูกของราคาจะต้องแลกด้วยการติดสัญญาการห้ามย้ายค่ายหรือเปลี่ยนโปรใหม่ในช่วงระยะเวลาที่ผู้ขายกำหนด หรือเรียกกันว่าการซื้อเครื่องแบบติดสัญญา ไม่ใช่ซื้อเครื่องเปล่าที่เปลี่ยนโปรได้ตลอดเวลา ซึ่งหากราคาเครื่องที่ถูกลง แต่ต้องผูกพันให้ใช้โปรราคาสูงเกินกว่าความจำเป็นในช่วงเวลาที่กำหนด การได้เครื่องราคาถูกก็อาจไม่คุ้มค่าก็ได้
เปรียบเสมือนรัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูลในเวลานี้ ได้รับโปรไฟไหม้ที่เป็นคะแนนเสียง 143 เสียง มาจากพรรคประชาชน เพื่อให้ได้ความเป็นนายกรัฐมนตรีมาจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แต่รัฐบาลนายอนุทินต้องติดสัญญาตาม MOA กับพรรคประชาชน ทำให้ดูเหมือนว่ารัฐบาลไม่สามารถย้ายค่ายหรือเปลี่ยนโปร และจะอยู่ได้ไม่เกินช่วงเวลาที่โปรกำหนดไว้คือ 31 ม.ค.2569
แต่อาจไม่เป็นเช่นนั้นเสียทีเดียว เพราะมีนักวิชาการและประชาชนส่วนหนึ่งเห็นว่า MOA ระหว่างหัวหน้าพรรคประชาชน กับหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย อาจไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เนื่องจาก 2 พรรคการเมืองนี้ที่ได้ลงนามใน MOA ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยรัฐบาลนายอนุทินได้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินมาโดยไม่ครบถ้วน ขาดไป 2 เรื่องสำคัญ โดยได้แบ่งปันอำนาจ 2 เรื่องนั้น ให้กับพรรคประชาชนที่เป็นฝ่ายค้านคือ ทำให้พรรคประชาชนมีอำนาจกำหนดให้คู่แลกเปลี่ยนตาม MOA คือนายกรัฐมนตรีต้องกราบบังคมทูลถวายคำแนะนำเพื่อตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ภายใน 4 เดือน หรือภายในวันที่ 31 ม.ค.2569 กับทำให้พรรคประชาชนมีอำนาจกำหนดให้คู่แลกเปลี่ยนตาม MOA คือนายกรัฐมนตรีดำเนินการให้ ครม.จัดให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งการได้อำนาจด้วยวิธีการเช่นนี้อาจขัดต่อหลักการตามรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นหลักการพื้นฐานที่ปรากฏอยู่ในคำปรารภของรัฐธรรมนูญในเรื่องการสร้างความเข้มแข็งแก่การปกครองประเทศด้วยการให้มีสัมพันธภาพที่เหมาะสมระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร และหลักการสำคัญตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหมวดต่าง ๆ ที่อาจถือว่าเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งประชาชนที่เห็นว่าเป็นการกระทำที่มีความมุ่งหมายเช่นนี้ อาจยื่นเรื่องผ่านอัยการสูงสุดไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้เลิกการกระทำได้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49
โดยขณะนี้มีอย่างน้อย 3 คำร้องที่ยื่นผ่านขั้นตอนไปถึงศาลรัฐธรรมนูญแล้วในเวลาไล่เลี่ยกัน ได้แก่ คำร้องของกลุ่มคนเสื้อแดง คำร้องของ สว.สำรอง และอีก 1 คำร้อง ยังไม่ระบุว่าเป็นของผู้ใด โดยเนื้อหาของคำร้องทั้งสามน่าจะมีประเด็นหลักใกล้เคียงกันคือ เห็นว่า MOA ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และนำไปสู่การล้มล้างการปกครอง โดยแต่ละคำร้องระบุผู้ถูกร้องแตกต่างกันเป็นไปตามการบรรยายคำร้องว่าใครมีส่วนร่วมในการกระทำบ้าง ซึ่งน่าจะมีผู้ที่เกี่ยวข้องได้แก่ พรรคประชาชน หัวหน้าพรรคและ สส.ของพรรคประชาชน พรรคภูมิใจไทย หัวหน้าพรรคและ สส.ของพรรคภูมิใจไทย และบางคำร้องยังรวมถึง สส.ทุกคนของพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่ลงมติให้ความเห็นชอบนายอนุทินให้เป็นนายกรัฐมนตรีด้วย
ศาลรัฐธรรมนูญน่าจะมีคำสั่งรับหรือไม่รับคำร้องไว้พิจารณาในช่วงปลายเดือน ต.ค.หรืออย่างช้าต้นเดือน พ.ย.นี้
ข้อมูลบางส่วนที่บรรยายอยู่ในบางคำร้องที่กล่าวหาว่า MOA น่าจะขัดต่อหลักการตามรัฐธรรมนูญ และนำไปสู่การล้มล้างการปกครอง เท่าที่รับทราบมา เช่น
การขัดต่อหลักการ เรื่องการให้ความเคารพสักการะและเทิดทูนต่อองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้ โดย MOA มีความเชื่อมโยงที่ส่งผลกระทบไปถึงพระราชอำนาจขององค์พระมหากษัตริย์อย่างมีนัยสำคัญ คือ การกำหนดให้นายกรัฐมนตรีจะต้องกราบบังคมทูลถวายคำแนะนำเรื่องหนึ่งเรื่องใดเอาไว้ล่วงหน้าเป็นเวลาถึง 4 เดือน ทั้งที่ยังไม่อาจรู้ได้ว่าจะมีเหตุผลและความจำเป็นที่นายกรัฐมนตรีจะต้องกระทำเรื่องนั้นหรือไม่ในอีก 4 เดือนข้างหน้า ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้กำหนดเงื่อนไขนี้ขึ้นมา ไม่ได้คำนึงว่าการกราบบังคมทูลถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์จะต้องเป็นกรณีที่มีเหตุผลและความจำเป็นอย่างแท้จริงในช่วงเวลานั้นเท่านั้น แต่กลับเห็นว่านายกรัฐมนตรีจะกราบบังคมทูลต่อพระมหากษัตริย์โดยใช้เหตุผลเช่นไรและเมื่อใดก็ได้ พระมหากษัตริย์ก็จะต้องทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยให้เป็นเช่นนั้นเสมอไป การทำข้อตกลงหรือการมีแนวความคิดเช่นนี้ไม่เป็นการให้ความเคารพสักการะต่อองค์พระมหากษัตริย์
การขัดต่อหลักการ เรื่องการแบ่งแยกอำนาจและการถ่วงดุลระหว่างอำนาจอธิปไตยทั้งสามอำนาจในการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยรัฐธรรมนูญมีเจตนารมณ์ให้ สส.ของพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่มีหัวหน้าพรรคเป็นผู้นำฝ่ายค้าน ทำหน้าที่เฉพาะการตรวจสอบหรือเสนอแนะรัฐบาลเท่านั้น โดยไม่มีเจตนารมณ์ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของรัฐบาล หรือร่วมตัดสินใจในการใช้อำนาจบริหาร หรือกระทำการที่มีลักษณะเป็นการร่วมบริหารราชการแผ่นดินกับรัฐบาลในบางเรื่อง และยิ่งไปกว่านั้นรัฐธรรมนูญย่อมไม่มีเจตนารมณ์ให้ผู้นำฝ่ายค้านเข้าไปควบคุมหรือกำหนดทิศทางการทำงานของรัฐบาลที่เกินกว่าหน้าที่ของฝ่ายค้าน เช่น การใช้มาตรการหรือสร้างหลักประกันเพื่อควบคุมในลักษณะบงการนายกรัฐมนตรีให้กราบบังคมทูลร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาต่อพระมหากษัตริย์ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ชัดเจน และกำหนดให้รัฐบาลใช้อำนาจจัดให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งทำให้อำนาจอธิปไตยขององค์กรฝ่ายบริหารที่สำคัญบางเรื่องต้องถูกกระทบกระเทือน การบริหารราชการแผ่นดินบางเรื่องต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจควบคุมของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน และมีผลทำให้ผู้นำฝ่ายค้าน ดำรงสถานะเป็นทั้งฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อตรวจสอบรัฐบาล และเป็นผู้ใช้อำนาจแฝงเข้าไปมีส่วนร่วมกับรัฐบาลในการใช้อำนาจบริหารในบางเรื่อง ทำให้ขัดต่อหลักการถ่วงดุลอำนาจระหว่างผู้นำฝ่ายค้านที่เป็นองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ กับรัฐบาลที่เป็นองค์กรฝ่ายบริหาร และขัดต่อหลักการในการกำหนดคุณสมบัติผู้นำฝ่ายค้าน
การขัดต่อหลักการ เรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี ที่ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม โดยการทำ MOA ที่ทำให้พรรคประชาชนได้รับการแบ่งปันอำนาจบริหารราชการแผ่นดินบางเรื่องมาจากรัฐบาลที่มีลักษณะเป็นอำนาจแฝง โดย ครม.ที่จัดตั้งขึ้นได้อำนาจบริหารไปโดยไม่ครบถ้วน จากการตกลงกันให้พรรคประชาชนได้อำนาจในการดำเนินนโยบายของพรรคในลักษณะที่มีอำนาจเหนือรัฐบาลเพื่อควบคุมให้ดำเนินนโยบาย 2 เรื่องสำคัญ ภายใต้มาตรการควบคุมอย่างเข้มงวดที่กำหนดขึ้นมา เสมือนว่าเป็นการสถาปนาอำนาจอธิปไตยขึ้นมาใหม่เป็นอำนาจที่ 4 โดยเป็นอำนาจของพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่ไม่ใช่อำนาจนิติบัญญัติ แต่เป็นอำนาจควบคุมรัฐบาลให้ใช้อำนาจบริหารเป็นการเฉพาะกิจในบางเรื่อง ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยไม่ได้ให้สิทธิหรืออำนาจแก่ผู้ใดที่จะกำหนดข้อตกลงที่มีลักษณะเป็นการสถาปนาอำนาจขึ้นมาเองโดยไม่ได้อยู่ภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายที่ตราขึ้นโดยฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อที่จะนำเอาอำนาจนั้นไปใช้ลิดรอนอำนาจฝ่ายบริหารหรือควบคุมการกระทำของผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญในองค์กรฝ่ายบริหาร โดยรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติให้กระทำได้ทั้งโดยลายลักษณ์อักษรและโดยเจตนารมณ์ รวมทั้งประเพณีการปกครองที่ผ่านมาไม่เคยมีการกระทำเช่นนี้มาก่อน
การขัดต่อหลักการ เรื่องความเป็นอิสระของพรรคการเมือง โดยพรรคประชาชนได้จัดทำ MOA ด้วยเงื่อนไขที่กำหนดขึ้นแต่เพียงฝ่ายเดียว เป็นบันทึกข้อตกลงที่ทำขึ้นระหว่างพรรคการเมืองที่ต้องการเป็นรัฐบาล กับพรรคการเมืองที่ต้องการเป็นฝ่ายค้านแต่มีเจตนาแฝงเร้นต้องการมีอำนาจบริหารบางเรื่องเช่นเดียวกับรัฐบาล โดยหลีกเลี่ยงหลักความรับผิดชอบร่วมกันในการเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 หรือต้องการมีอำนาจบริหารบางเรื่องแต่ให้พรรคการเมืองอื่นรับผิดชอบต่อการกระทำแทนพรรคของตน โดยจะเป็นเพียงผู้บงการด้วยการกำหนดมาตรการบังคับให้รัฐบาลต้องปฏิบัติตาม และมุ่งหวังให้ MOA มีสภาพบังคับใกล้เคียงกับบทบัญญัติแห่งกฎหมาย แสดงถึงเจตนาของพรรคประชาชนที่ต้องการควบคุมพรรคภูมิใจไทยให้ขาดความอิสระในการดำเนินนโยบายของพรรคที่เป็นแกนนำรัฐบาล และต้องการจำกัดเวลาในการดำรงสถานะการเป็นรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทยและพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งแน่นอนว่าทุกรัฐบาลย่อมต้องการที่จะทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินต่อเนื่องไปจนสิ้นสุดอายุของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งกรณีนี้เหลือเวลาอยู่อีกถึงประมาณ 1 ปี 8 เดือน ในขณะที่ทำ MOA มิใช่ต้องการให้รัฐบาลอยู่ได้เพียง 4 เดือนแล้วยุบสภา อีกทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งพรรคภูมิใจไทยเคยไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจนมาก่อน ก็จะต้องถูกควบคุมให้ขาดความอิสระ โดยจะต้องดำเนินการเพื่อให้มีการออกเสียงประชามติในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทำให้พรรคภูมิใจไทยซึ่งตกลงทำ MOA ด้วย ขาดความอิสระ จำต้องยอมรับต่อเงื่อนไขทั้งที่ไม่ใช่นโยบายของพรรคภูมิใจไทย อีกทั้งไม่ใช่การผสมผสานนโยบายระหว่างพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล แต่มีลักษณะเป็นการที่พรรคภูมิใจไทยถูกกระทำให้ยอมจำนนต่อเงื่อนไขที่พรรคการเมืองฝ่ายค้านกำหนดขึ้นมา เพื่อให้หัวหน้าพรรคได้รับความเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
การขัดต่อหลักการ เรื่องความสุจริตในการดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมือง โดยการกระทำของพรรคประชาชน อาจถือว่าเป็นการเรียกหรือยอมจะรับประโยชน์อื่นใดจากนายอนุทิน เพื่อที่จะกำหนดให้ สส.143 คน ลงคะแนนเสียงเห็นชอบให้นายอนุทินมีคะแนนเสียงเพียงพอที่จะได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นนายกรัฐมนตรี โดยได้เรียกหรือยอมจะรับเอาอำนาจบริหารราชการแผ่นดิน 2 เรื่องสำคัญ ที่ไม่ควรเป็นอำนาจของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน แต่ใช้วิธีกำหนดมาตรการบังคับให้รัฐบาลที่มีนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องนำเอานโยบายหรือความต้องการของพรรคประชาชนที่เป็นฝ่ายค้านไปปฏิบัติ โดยจะเป็นประโยชน์ต่อพรรคประชาชนให้ได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งในการเลือกตั้ง สส.ครั้งต่อไปภายหลังการยุบสภา
การขัดต่อหลักการ เรื่องความอิสระและความสุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ของ สส.ในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดยสส.143 คน ของพรรคประชาชน ได้ทำหน้าที่ลงคะแนนเสียงโดยพร้อมเพรียงกันทั้ง 143 คน เห็นชอบให้นายอนุทินได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีเจตนาพิเศษเพื่อแลกเปลี่ยนกับประโยชน์ของพรรคที่ตนสังกัดจะได้รับอำนาจบริหารบางเรื่องแม้ไม่ได้เป็นรัฐบาล ซึ่งเป็นอำนาจแฝงที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และจะเป็นประโยชน์แก่ตนและพรรคการเมืองที่ตนสังกัด ทำให้ได้รับความนิยมจากประชาชนในการเลือกตั้ง สส.ครั้งต่อไป และแม้จะเป็นการลงคะแนนเสียงตามมติของพรรค แต่ สส.ของพรรคจำนวนหนึ่งย่อมไม่เห็นด้วย เนื่องจากเป็นการสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างกันให้ได้เป็นรัฐบาล จึงเป็นการลงคะแนนเสียงที่จำต้องอยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงำใด ๆ ซึ่งแม้จะเป็นมติของพรรคก็ตาม แต่รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติยกเว้นให้คณะกรรมการบริหารพรรคมีสิทธิครอบงำ สส.ของพรรคตนได้ จึงอาจขัดต่อหลักความอิสระและหลักความสุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ของ สส.
คำร้องทั้ง 3 อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ โดยอาจจะวินิจฉัยว่าการทำ MOA ทำให้วิญญูชนพึงเห็นได้ว่า เป็นการแบ่งปันอำนาจอธิปไตยและเกิดการใช้อำนาจแฝง ที่มีความมุ่งหมายที่จะล้มล้างหลักการสำคัญตามรัฐธรรมนูญหรือประเพณีการปกครองของประเทศไทยในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นตัวอย่างและก่อให้เกิดการลอกเลียนแบบลุกลามออกไปในวงกว้าง อันเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายที่จะนำไปสู่การล้มล้างระบอบการปกครองของประเทศ หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาและการใช้ดุลพินิจตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายของศาลรัฐธรรมนูญ
หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องใดคำร้องหนึ่งไว้พิจารณา และเห็นว่า MOA ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ โดยสั่งให้เลิกการกระทำที่เป็นการปฏิบัติตาม MOA อาจจะทำให้รัฐบาลของนายอนุทินอยู่ได้เกินกว่า 4 เดือน ซึ่งอาจอยู่ต่อไปได้อีกมากกว่า 1 ปี หรือตามอายุของสภาผู้แทนราษฎร
ภายในสิ้นเดือนนี้หรือต้นเดือนหน้าก็คงจะรู้...แต่ก็น่าจะมีโอกาสน้อยที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องไว้พิจารณา
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก thaipost.net

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา