
“…เพื่อนร่วมวิชาชีพสื่อยังมีอุดมการณ์ และการเปิดกว้างให้ผู้คนเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์เนื้อหา ด้วยเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ว่าจะแก้ไขปัญหาสังคม จะทำให้สื่อสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกได้อย่างมีศักยภาพต่อไป…”
หมายเหตุสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org): เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2568 ผศ. ดร.สกุลศรี ศรีสารคาม รองคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้นำเสนอแนวโน้ม ‘Media & Innovation เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต’ โดยสรุปหัวใจสำคัญจากนวัตกรรมสื่อ 8 โครงงานวิจัยในหลักสูตรผู้บริหารยุทธศาสตร์การสื่อสารมวลชนระดับสูง (บยสส.) รุ่นที่ 4 ร่วมกับสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ที่มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมสื่อเพื่อสังคม สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
ผศ. ดร.สกุลศรี เปิดเผยว่า จากกระบวนการ Design Thinking และการเก็บข้อมูลเชิงลึก (Insight) ของผู้รับสารในทุกโครงงาน ได้ค้นพบแนวทางร่วมที่สำคัญสำหรับการสร้างสื่อที่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้อย่างแท้จริง ซึ่งกลั่นกรองออกมาเป็นแนวคิด ‘Art of Smart Media’ อันประกอบด้วย 5 คุณค่าสำคัญ (S M A R T) ที่สื่อยุคใหม่จำเป็นต้องมี
คุณค่าแรกคือ S - Story That Inspired หรือการเล่าเรื่องที่สร้างแรงบันดาลใจ สื่อต้องก้าวข้ามการให้ข้อมูลเพียงอย่างเดียว แต่ต้องใช้ประสบการณ์จริงของผู้คนมาจูงใจและเป็นตัวอย่างให้ผู้อื่นทำตามได้ เช่น งาน ‘Welliv’ ที่เปลี่ยนมุมมองว่าการดูแลสุขภาพไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย หรือ ‘Debt-free Gen Z’ ที่ใช้เรื่องราวของผู้ที่เคยล้มเหลวหรือเป็นหนี้แต่สามารถแก้ไขปัญหาได้จริง มาเป็นทางออก (Solution) และแรงผลักดันให้ผู้อื่น
ลำดับต่อมาคือ M - Media สื่อที่ฟังเข้าใจง่ายและ ‘ไม่ตัดสิน’ ผู้รับสาร โดยเฉพาะการสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเยาวชน เช่น โครงงาน ‘Shield Z’ ที่เป็นสื่อ Interactive ช่วยให้เข้าใจตัวเอง และจัดการอารมณ์ตัวเองได้ หรือโครงการ SafeQuest Game- ใช้เกมจำลองเหตุการณ์ให้เด็กเรียนรู้ป้องกันการถูกละเมิดทางเพศ
คุณค่าที่สามคือ A - Action for All ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนผ่านสำคัญ จากสื่อที่ผู้รับสารเป็นเพียงผู้รับ ไปสู่สื่อที่กระตุ้นให้เกิดการลงมือทำและนำไปสู่พฤติกรรมปลายทางให้ได้ โดยต้องอาศัยกลไกอย่าง Gamification และการสร้างสรรค์ร่วมกัน (Co-creation) เช่น โครงการ หัวกะทิ เกมโชว์ ที่เปลี่ยนให้ผู้สูงอายุมีบทบาทสู้ Fake News และ Influ for Good หลักสูตรอบรมให้ครีเอเตอร์สร้างเนื้อหาขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในสังคมได้
ตามมาด้วย R - Responsible Voice หรือเสียงที่มีความรับผิดชอบ สื่อต้องสร้างความน่าเชื่อถือ เป็นที่พึ่ง และตรวจสอบความโปร่งใสได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในสังคม ดังตัวอย่างโครงการ ‘Ethic Check’ ที่เป็นเครื่องมือให้ผู้รับสารร่วมประเมินจริยธรรมสื่อ หรือ ‘อนาคตธุรกิจ TV Digital’ โดยมี ‘Hybrid Model’ ที่ผสานเนื้อหา (Content) การค้า (Commerce) และชุมชน (Community) เพื่อให้สามารถสร้างคุณค่าและอยู่รอดได้
และคุณค่าสุดท้ายคือ T - Transformation Together ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
“หัวใจสำคัญของการสร้างสื่อเพื่อสังคมในยุคนี้ คือต้องเริ่มต้นจาก ‘การเข้าใจ Insight ของผู้คน’ อย่างลึกซึ้ง และใช้สื่อเป็น ‘พื้นที่เรียนรู้ร่วมกัน’ เพื่อเป้าหมายสูงสุดคือการนำไปสู่ ‘การสร้างพฤติกรรม’ ใหม่ในสังคมอย่างยั่งยืน” ผศ. ดร.สกุลศรี กล่าวทิ้งท้าย

นายก่อเขต จันทเลิศลักษณ์ ผู้อำนวยการสำนักข่าว ไทยพีบีเอส (ThaiPBS) กล่าวถอดบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการปฏิรูปบทบาทของสื่อมวลชนในยุคปัจจุบัน โดยชี้ให้เห็นว่า การรวมตัวของผู้คนจากหลากหลายอาชีพ ดังที่ปรากฏในหลักสูตร ผู้บริหารยุทธศาสตร์การสื่อสารมวลชนระดับสูง (บยสส.) ได้เผยให้เห็นถึงศักยภาพอันทรงพลังของ ‘การสร้างเนื้อหาแบบมีส่วนร่วม’ (Participatory Content) ซึ่งท้าทายแนวคิดการทำงานของสื่อแบบดั้งเดิมที่มุ่งเน้นเพียงการเป็นผู้คิด ผู้ผลิต และสื่อสารออกไปฝ่ายเดียว
นายก่อเขต กล่าวว่า ในอดีตคนทำสื่อมักยึดติดกับการทำงานที่รวดเร็วและสรุปจบภายในองค์กร โดยมองว่าการดึงคนภายนอกเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการนั้นเป็นเรื่อง ‘หลายคนหลายเรื่อง’ และอาจทำให้ล่าช้าไม่ทันการณ์ แต่บทเรียนที่ได้รับชี้ชัดว่า กระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงนั้นมีพลังมหาศาล และไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ชั่วข้ามคืน แต่ต้องผ่านกระบวนการที่ซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘การกำหนดประเด็นอย่างมีส่วนร่วม’ (Participatory Agenda-Setting) ซึ่งหมายถึงการทำงานร่วมกับผู้คนหลากหลายภาคส่วนตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มทำข่าวหรือผลิตรายการด้วยซ้ำ
กระบวนการนี้เริ่มต้นจากการระดมความคิดเห็นที่หลากหลายในประเด็นทางสังคมประเด็นเดียว ทำให้ได้ข้อมูลและมุมมองที่เข้มข้น ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องท้าทายในการ ‘หาจุดร่วม’ หรือ ‘ตกผลึกประเด็นร่วมกัน’ ท่ามกลางความเห็นที่แต่ละฝ่ายมองว่าสำคัญ แต่เมื่อผ่านการถกเถียงและหลอมรวมแนวคิดได้สำเร็จ ผลลัพธ์ที่ได้คือ ‘การสร้างเอกภาพท่ามกลางความหลากหลาย’ หรือที่นายก่อเขตเรียกว่าเป็น ‘คนละเรื่องเดียวกัน’ คือแม้จะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่าง แต่ทั้งหมดกลับสนับสนุนและสอดประสานกันภายใต้เป้าหมายร่วมกัน
นายก่อเขต เน้นย้ำถึงประเด็นสำคัญ คือ การสร้างสื่อที่เข้าใจและสะท้อนปัญหาอย่างลึกซึ้ง เป็นพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง สื่อยุคใหม่ต้องก้าวข้ามการทำงานกับแหล่งข้อมูลเดิม ๆ ไปสู่การลงลึกกับ ‘ผู้เกี่ยวข้อง’ ตัวจริง เช่น ในกรณีศึกษาเรื่องวัยรุ่น เขาและทีมได้ลงพื้นที่พบตำรวจสอบสวนกลางเพื่อเข้าใจกระบวนการทำงานจริง นอกจากนี้ ยังต้องให้ความสำคัญกับ ‘ผู้รับสาร’ (ผู้ชม/ผู้อ่าน) ในอดีตอาจถูกมองเป็นเพียงผู้รับ แต่ในกระบวนการใหม่นี้ ผู้รับสารจะมีส่วนร่วมในการกำหนดว่าพวกเขาอยากรู้อะไร และมีมุมมองต่อเรื่องนั้นอย่างไร ทำให้สื่อสามารถสร้างเนื้อหาที่ตรงจุดและ ‘สร้างมุมมองใหม่’ ที่คนทำสื่ออาจมองข้ามไป
“บทบาทของสื่อในอนาคตจะต้องเปลี่ยนจากการเป็นเพียงผู้ ‘รายงานปรากฏการณ์’ หรือบอกเล่าว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วปล่อยให้การแก้ปัญหาเป็นหน้าที่ของส่วนอื่น ไปสู่การทำหน้าที่ ‘สื่อสารเพื่อหาทางออกของปัญหา’ (Solution Journalism) โดยสื่อมวลชนต้องมีความตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่นำเสนอเพียงผิวเผิน แต่จะชี้ให้เห็นว่าทางออกของสังคมอยู่ที่ไหนและเป็นอย่างไร” นายก่อเขต ระบุ
บทสรุปของกระบวนการนี้ คือ ‘นวัตกรรมสื่อเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น’ ซึ่งต้องอาศัย ‘สื่อที่เข้าใจมนุษย์’ และทำหน้าที่เป็น ‘พื้นที่ปลอดภัยในการเปลี่ยนแปลง’ แม้ว่าการสร้างสื่อเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสังคมจะเป็นเรื่องยากและต้องใช้พลังงานสูง
ทั้งนี้ นายก่อเขต เชื่อมั่นว่า เพื่อนร่วมวิชาชีพสื่อยังมีอุดมการณ์ และการเปิดกว้างให้ผู้คนเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์เนื้อหา ด้วยเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ว่าจะแก้ไขปัญหาสังคม จะทำให้สื่อสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกได้อย่างมีศักยภาพต่อไป


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา