
"...บทสรุป: เศรษฐศาสตร์แห่งการอยู่รอดจากภาระโรค สู่การแทรกแซงจัดการสุขภาพที่คุ้มค่า และผลกระทบทางงบประมาณ เส้นทางของระบบสุขภาพแห่งชาติคือเรื่องราวของ “การอยู่รอด” ไม่ใช่การอยู่รอดในความหมายของ “การอดทน” แต่คือ “การปรับตัวอย่างชาญฉลาด” ซึ่งหลอมรวม “หลักฐาน เศรษฐศาสตร์ และจริยธรรม” เข้าด้วยกัน..."
“โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย (UHC) แสดงให้เห็นว่า แม้จะมีแรงกดดันทางการคลัง แต่ระบบยังสามารถรักษาความครอบคลุมได้ ด้วยการใช้ข้อมูลจาก CEA และ BIA ในการตัดสินใจบรรจุสิทธิประโยชน์อย่างมีหลักฐานรองรับ”
ในศตวรรษที่ 21 การอยู่รอดของประเทศไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือกำลังทางทหารเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ขึ้นอยู่กับ ความสามารถในการบริหารจัดการสุขภาพของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ การเพิ่มขึ้นของโรคเรื้อรัง การระบาดของโรคอุบัติใหม่ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์ ทำให้ระบบสุขภาพกลายเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่ซับซ้อนและใช้งบประมาณมากที่สุดของประเทศ
จาก “ภาระโรค” ไปจนถึง “ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ของการแทรกแซงจัดการสุขภาพ” และ “ผลกระทบทางงบประมาณ” คำถามสำคัญสำหรับผู้กำหนดนโยบายคือ — ประเทศจะสามารถอยู่รอดและเติบโตภายใต้แรงกดดันทางสุขภาพและการเงินที่เพิ่มขึ้นได้อย่างไร
1. ภาระโรคที่เพิ่มขึ้น: ความจริงระดับโลกและระดับชาติ
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ภูมิทัศน์ของโรคทั่วโลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เมื่อประชากรมีอายุยืนยาวขึ้นและวิถีชีวิตเปลี่ยนไป โรคไม่ติดต่อ (NCDs) เช่น โรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน และโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง ได้เข้ามาแทนที่โรคติดเชื้อในฐานะสาเหตุการเสียชีวิตและความพิการหลักของโลก
จากข้อมูลของโครงการ Global Burden of Disease (GBD) โรคไม่ติดต่อในปัจจุบันมีสัดส่วนมากกว่า 70% ของการเสียชีวิตทั่วโลก
สำหรับประเทศรายได้ปานกลางและรายได้น้อย การเปลี่ยนแปลงนี้สร้าง “ทวิภาระ หรือ ภาระซ้อน (double burden)” — ขณะที่โรคติดเชื้ออย่างวัณโรคหรือไข้เลือดออกยังไม่หมดไป ก็ต้องเผชิญกับการเพิ่มขึ้นของโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง และปัญหาสุขภาพจิตไปพร้อมกัน ระบบสุขภาพที่ออกแบบมาเพื่อดูแลโรคเฉียบพลันจึงต้องปรับตัวเพื่อให้บริการ การดูแลระยะยาว ที่ต้องใช้ยา การตรวจวินิจฉัย และบุคลากรจำนวนมากขึ้น
ในหลายประเทศ เช่น ไทย บราซิล และแอฟริกาใต้ นโยบาย “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (UHC)” ได้เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างกว้างขวาง แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มแรงกดดันทางงบประมาณ ปัญหาหลักที่ตามมาคือ ไม่ใช่แค่ “จะรักษาทุกคนได้อย่างไร” แต่คือ “จะรักษาทุกคนอย่างยั่งยืนได้อย่างไร”
2. เศรษฐศาสตร์สุขภาพ: ความคุ้มค่าคือเครื่องมือในการอยู่รอด
ในโลกที่ทรัพยากรมีจำกัด ไม่มีประเทศใดสามารถจัดหาเทคโนโลยีทางการแพทย์หรือการรักษาทุกอย่างให้กับทุกคนได้ทั้งหมด นี่คือเหตุผลที่ การวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ (Cost-Effectiveness Analysis: CEA) กลายเป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อความอยู่รอดของระบบสุขภาพ
CEA เป็นการเปรียบเทียบ “ต้นทุนของการแทรกแซง หรือ จัดการทางสุขภาพ เช่น การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การฟื้นฟู ในรูปแบบต่างๆ” กับ “ปริมาณสุขภาพที่ได้รับกลับคืน” มักวัดผลในรูปของ ปีคุณภาพชีวิตที่เพิ่มขึ้น (QALY) หรือ การทดแทน ปีสุขภาวะที่สูญเสียไป (DALY)
ตัวอย่างที่นิยมกล่าวถึง คือ วัคซีน การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันเป็นหนึ่งในมาตรการที่คุ้มค่าที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะสามารถป้องกันโรคและช่วยประหยัดงบประมาณได้พร้อมกัน เช่นเดียวกับ การเก็บภาษีบุหรี่, การตรวจความดันโลหิต, และ การตรวจหามะเร็งในระยะเริ่มต้น ซึ่งให้ผลตอบแทนต่อการลงทุนสูงมาก
อย่างไรก็ตาม ความคุ้มค่าไม่ใช่เพียง “การคำนวณเชิงตัวเลข” แต่เป็นเรื่องของ จริยธรรมและสังคม ด้วย การแทรกแซงจัดการทางสุขภาพบางอย่างที่คุ้มค่าโดยเฉลี่ย อาจไม่ตอบโจทย์กลุ่มประชากรเปราะบาง ในขณะที่บางมาตรการที่มีต้นทุนสูง เช่น การรักษาโรคพบยาก มีคนเป็นน้อย หรือ เป็นในเด็ก ก็อาจได้รับการสนับสนุนเพราะสะท้อน “คุณค่าความเป็นมนุษย์” ของสังคม
ดังนั้น ความคุ้มค่าจึงเป็น “เครื่องมือช่วยตัดสินใจ” ที่ไม่ใช่ “คำตัดสินสุดท้าย”
3. ผลกระทบทางงบประมาณและความยั่งยืนทางการคลัง
แม้การแทรกแซงหรือการจัดการสุขภาพใด ๆ จะคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ แต่ก็อาจ ไม่สามารถจ่ายได้จริง เสมอไป ภายใต้งบประมาณของประเทศ จึงเป็น บทบาทของ การวิเคราะห์ผลกระทบทางงบประมาณ (Budget Impact Analysis: BIA) ซึ่งช่วยประเมินว่า มาตรการนั้น ๆ จะส่งผลต่อการใช้จ่ายของระบบสุขภาพในระยะสั้นถึงกลางอย่างไร
ตัวอย่างเช่น ยามะเร็งรุ่นใหม่อาจช่วยยืดอายุผู้ป่วยในราคาที่ถือว่าคุ้มค่าต่อหนึ่ง QALY แต่หากนำมาใช้ทั่วประเทศ อาจทำให้งบยาของชาติพุ่งสูงเกินขีดจำกัด เช่นเดียวกับการตรวจคัดกรองระดับชาติหรือยารักษาแบบยีน (gene therapy) ที่คุ้มค่าในเชิงผลลัพธ์แต่ไม่ยั่งยืนหากขาดการวางแผนและการต่อรองราคา
นี่คือทางเลือกให้สมดุล ระหว่าง “ความคุ้มค่า (value)” และ “ความสามารถในการจ่าย (affordability)” ซึ่งเป็นหัวใจของการกำหนดนโยบายสุขภาพยุคใหม่
หน่วยงานเช่น NICE ในสหราชอาณาจักร และ HITAP ในประเทศไทย มีบทบาทสำคัญในการประเมินเทคโนโลยีสุขภาพใหม่ ๆ เพื่อให้รัฐบาลตัดสินใจได้อย่างสมดุลระหว่าง “สิ่งที่มีประสิทธิผล” กับ “สิ่งที่ประเทศสามารถแบกรับได้”
4. ธรรมาภิบาลและการตัดสินใจเชิงนโยบาย: จากหลักฐานสู่การปฏิบัติ
การอยู่รอดของระบบสุขภาพไม่ใช่เพียงเรื่องเทคนิค แต่คือ ความท้าทายด้านธรรมาภิบาล (governance challenge) ที่ต้องแปลง “หลักฐานทางวิชาการ” ให้กลายเป็น “นโยบายสาธารณะ” ผ่านกระบวนการที่โปร่งใส มีส่วนร่วม และตรวจสอบได้
การประเมินเทคโนโลยีด้านสุขภาพ (HTA) คือกลไกสำคัญที่ช่วยเชื่อมโยงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และมุมมองของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อประกอบการตัดสินใจด้านนโยบาย ประเทศที่บูรณาการ HTA เข้าสู่กระบวนการตัดสินใจอย่างเป็นระบบ เช่น ไทย เกาหลีใต้ และแคนาดา มักสามารถจัดสรรทรัพยากรได้อย่างเป็นธรรมและต่อเนื่อง
แต่ “หลักฐาน” เพียงอย่างเดียวไม่พอ เพราะ “การเมือง” ก็มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นแรงกดดันจากสังคม กลุ่มผลประโยชน์ หรือรอบการเลือกตั้ง ดังนั้น การอยู่รอดของระบบสุขภาพยังขึ้นอยู่กับ “เจตจำนงทางการเมือง” และ “ความไว้วางใจของประชาชน” ด้วย
ตัวอย่างจาก โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย (UHC) แสดงให้เห็นว่า แม้จะมีแรงกดดันทางการคลัง แต่ระบบยังสามารถรักษาความครอบคลุมได้ ด้วยการใช้ข้อมูลจาก CEA และ BIA ในการตัดสินใจบรรจุสิทธิประโยชน์อย่างมีหลักฐานรองรับ
นี่คือแบบอย่างของ “สำนึกร่วมที่มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันบนฐานของหลักฐาน (evidence-based solidarity)” ซึ่งพิสูจน์แล้วว่ายั่งยืนได้จริง
5. เส้นทางสู่อนาคต: ความยืดหยุ่น นวัตกรรม และความสามัคคี
การอยู่รอดของประเทศในอนาคตต้องอาศัยระบบสุขภาพที่ ยืดหยุ่นและปรับตัวได้ (resilient and adaptive) มากกว่าการบริหารแบบแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การระบาดของโควิด-19 ทำให้เห็นชัดว่า แม้แต่ระบบสุขภาพที่ก้าวหน้าก็ยังเปราะบางเมื่อเผชิญวิกฤตระดับโลก
บทเรียนคือ การลงทุนใน “การป้องกันและความพร้อมรับมือ (prevention and preparedness)” ไม่ใช่ทางเลือก แต่คือ “เงื่อนไขการอยู่รอด” ของประเทศ
ความยืดหยุ่น ต้องเริ่มจากการกระจายแหล่งเงินทุน ระบบข้อมูลดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ และการเสริมสร้างบริการปฐมภูมิให้เข้มแข็งนวัตกรรม เช่น เทเลเมดิซีน ปัญญาประดิษฐ์ และการป้องกันเชิงแม่นยำ จะช่วยให้เข้าถึงประชาชนได้มากขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำลงและเหนือสิ่งอื่นใดคือ สำนึกร่วมกันทางสังคม (solidarity) — การมองว่าสุขภาพเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคนในสังคม
ประเทศที่มอง “สุขภาพ” ไม่ใช่ “รายจ่าย” แต่เป็น “การลงทุนในทุนมนุษย์” จะได้รับผลตอบแทนกลับมาในรูปของผลิตภาพ ความมั่นคง และความเป็นเอกภาพของสังคม
บทสรุป: เศรษฐศาสตร์แห่งการอยู่รอดจากภาระโรค สู่การแทรกแซงจัดการสุขภาพที่คุ้มค่า และผลกระทบทางงบประมาณ เส้นทางของระบบสุขภาพแห่งชาติคือเรื่องราวของ “การอยู่รอด” ไม่ใช่การอยู่รอดในความหมายของ “การอดทน” แต่คือ “การปรับตัวอย่างชาญฉลาด” ซึ่งหลอมรวม “หลักฐาน เศรษฐศาสตร์ และจริยธรรม” เข้าด้วยกัน
ประเทศจะอยู่รอดได้เมื่อสามารถ ตัดสินใจในเรื่องยากได้อย่างมีปัญญา, ใช้ทรัพยากรที่จำกัดอย่างมีประสิทธิภาพ, และ บริหารจัดการด้วยความโปร่งใสและความไว้วางใจจากประชาชน
สุขภาพจึงไม่ใช่เพียง “ความรู้สึกดีทางสังคม” แต่เป็น “รากฐานของความมั่นคง เศรษฐกิจ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”
ท้ายที่สุด ประเทศจะอยู่รอดได้ ไม่ใช่เพราะ “ใช้เงินมากกว่า” แต่เพราะ “ใช้เงินอย่างชาญฉลาดกว่า”
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก medicallinelab.co.th

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา