
"...องค์กรแพทย์แสดงความกังวลอย่างยิ่งว่า หากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไข อาจนำไปสู่การลาออกของบุคลากรทางการแพทย์ และส่งผลให้ การให้บริการรักษาพยาบาลหยุดชะงัก กระทบต่อประชาชนผู้เจ็บป่วยทั้งประเทศ..."
วิกฤตด้านสุขภาพที่ซ่อนอยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) กำลังถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน
หมายเหตุสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org): เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 256 เครือข่ายโรงพยาบาลกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย ชมรมนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ชมรมโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป และองค์กรแพทย์รวมหลายหน่วยงาน ได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมและเสนอการปฏิรูปการบริหารกองทุนฯ อย่างเร่งด่วน โดยชี้ว่า การบริหารงานของ สปสช. ได้ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทางการเงินของโรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัญหาเชิงนโยบายที่มีลักษณะเป็นการสั่งการฝ่ายเดียวมากกว่าการแสวงหาความร่วมมือ
@ อัตราจ่ายต่ำกว่าต้นทุน ปัญหาเรื้อรัง
แก่นของปัญหาทางการเงินของโรงพยาบาลรัฐ โดยเฉพาะโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป ซึ่งรองรับผู้ป่วยบัตรทองเฉลี่ยราวร้อยละ 60–70 ของผู้ป่วยทั้งหมด คือ การจัดสรรชดเชยค่ารักษาพยาบาลในสัดส่วนที่ต่ำกว่าความเป็นจริง อัตราการจ่ายชดเชยโดยเฉลี่ยอยู่ที่เพียงร้อยละไม่เกิน 50 ของต้นทุนการรักษาพยาบาลในกองทุนผู้ป่วยใน
จดหมายเปิดผนึกระบุข้อมูลที่ชี้ให้เห็นช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างต้นทุนจริงกับอัตราที่ สปสช. จ่าย โดยมีการศึกษาค่าต้นทุนเฉลี่ยเมื่อ 5 ปีที่แล้วไว้ที่ 1,3240 บาทต่อ 1 น้ำหนักสัมพัทธ์ แต่ สปสช. กำหนดอัตราจ่ายไว้เพียง 8,350 บาทต่อ 1 น้ำหนักสัมพัทธ์ ซึ่งคิดเป็นเพียงร้อยละ 63 ของต้นทุนเดิม
การกำหนดอัตราจ่ายที่ต่ำกว่าต้นทุนเช่นนี้ได้ส่งผลกระทบสะสมต่อสภาพคล่องในการบริหารเงินของโรงพยาบาลอย่างรุนแรง
สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อการบริหารกองทุนฯ ดำเนินการในลักษณะที่เพิ่มภาระให้โรงพยาบาลซ้ำซ้อน
-
การลดอัตราจ่าย ในปีงบประมาณ 2568 อัตราจ่ายได้ลดลงเหลือเพียง 7000 บาทต่อ 1 น้ำหนักสัมพัทธ์ ในหลายโรงพยาบาล แม้ว่าก่อนหน้านี้ สปสช. ได้ยอมรับในหลักการที่จะคงอัตราจ่ายที่ 8350 บาท และเคยมีการเสนอขอของบกลางจากรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหางบไม่เพียงพอ
-
การหักเงินย้อนหลัง (Rerun) สปสช. ได้ดำเนินการหักเงินคืนย้อนหลังไปตั้งแต่ต้นปีงบประมาณมา 2 ปีงบประมาณอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568 ได้มีการคำนวณย้อนกลับ (Rerun) สำหรับช่วง 1 ตุลาคม 2567 ถึง 31 กรกฎาคม 2568 การดำเนินการนี้ทำให้อัตราจ่ายลดลงเหลือไม่ถึง 7000 บาทต่อ 1 น้ำหนักสัมพัทธ์ในหลายโรงพยาบาล และมีการดึงเงินคืนจำนวนมาก
-
บทลงโทษ 33 เท่า นอกจากนี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติยังได้นำผลตรวจสอบคุณภาพเวชระเบียนมา ขยายผลถึง 33 เท่า เพื่อหักเงินเพิ่มจากโรงพยาบาลอีกด้วย
หน่วยบริการระบุว่า การบริหารจัดการงบผู้ป่วยในปัจจุบันเป็นหลักการบริหารแบบงบปลายปิดอยู่แล้วตามกลุ่มโรค (DRG) การที่ สปสช. บริหารแบบงบปลายปิดซ้ำซ้อนอีกจึงเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
ผลกระทบสะสมจากการขาดสภาพคล่องทางการเงินได้ลุกลามจากปัญหาหนี้สินค่ายา วัสดุ และครุภัณฑ์ทางการแพทย์ ไปสู่ปัญหาที่ใกล้ตัวบุคลากรที่สุด คือ การขาดงบประมาณในการจ่ายค่าล่วงเวลาแก่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล
องค์กรแพทย์แสดงความกังวลอย่างยิ่งว่า หากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไข อาจนำไปสู่การลาออกของบุคลากรทางการแพทย์ และส่งผลให้ การให้บริการรักษาพยาบาลหยุดชะงัก กระทบต่อประชาชนผู้เจ็บป่วยทั้งประเทศ
@ ข้อเรียกร้องเพื่อกู้วิกฤต หยุดหัก-ปฏิรูปโครงสร้าง
เพื่อกู้วิกฤตครั้งนี้ องค์กรแพทย์ได้เสนอมาตรการเร่งด่วนและข้อเสนอเชิงโครงสร้างต่อประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
มาตรการเร่งด่วน
-
ยกเลิกการหักเงินจากการ Rerun และการยกเลิกการขยายผลเวชระเบียน 33 เท่าเพื่อหักงบผู้ป่วยในของทุกโรงพยาบาล
-
หากงบผู้ป่วยในไม่เพียงพอ สปสช. ต้อง บันทึกเป็นลูกหนี้ของโรงพยาบาลแทน และรีบชำระหนี้ทันทีเมื่อได้รับงบประมาณเพิ่มเติม
-
ต้องหามาตรการในการจ่ายชดเชยกองทุนผู้ป่วยใน ปี 2568 ให้ได้ในอัตรา 8,350 บาทต่อ 1 น้ำหนักสัมพัทธ์ โดยอาจใช้มาตรการระยะสั้นคือการขอของบกลางจากรัฐบาลมาชดเชย
ข้อเสนอการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง
-
สร้างความร่วมมือ นโยบายใดที่กระทบต่อการบริการและการเงินของสถานพยาบาล ควรหารือและทำความตกลงร่วมกับสถานพยาบาลก่อนมีการประกาศใช้
-
ปฏิรูปคณะกรรมการ เปิดเผยและทบทวนหลักเกณฑ์การคัดเลือกคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและอนุกรรมการฯ เพื่อให้มีบุคลากรที่มีศักยภาพบริหารกองทุนอย่างมืออาชีพ
-
กองทุนคุ้มครองผู้ป่วยในแยกต่างหาก จัดตั้งกองทุนคุ้มครองผู้ป่วยในเป็นกองทุนที่จัดแยกไว้ต่างหาก (มิใช่เงินงบจัดสรรรายหัว) เพื่อให้ค่าบาทต่อน้ำหนักสัมพัทธ์มีค่านิ่งตลอดปีในอัตราที่กำหนด
-
วางแผนงบประมาณร่วมกัน ขอให้ชะลอการประกาศหลักเกณฑ์การบริหารกองทุนฯ ปี 2569 และตั้งคณะทำงานร่วมกันระหว่าง สปสช. และสถานบริการ เนื่องจากข้อเสนอของผู้ให้บริการในอดีตไม่ได้รับการนำมาปรับปรุงเลย
-
หยุดเพิ่มสิทธิที่ไม่จำเป็น ในภาวะที่งบผู้ป่วยในยังไม่เพียงพอ ไม่ควรเพิ่มสิทธิประโยชน์ที่ไม่จำเป็น และไม่ควรผลักภาระใหม่ในการเพิ่มกองทุนใหม่ให้โรงพยาบาล
-
ความโปร่งใส ต้องเปิดเผยการบริหารกองทุนโดย สปสช. ที่โปร่งใส มีธรรมาภิบาล และตรวจสอบได้
องค์กรแพทย์ได้สรุปย้ำเตือนว่า ถึงเวลาแล้วที่ สปสช. ต้องฟังเสียงหน้างาน หากไม่มีการแก้ไขอย่างจริงจัง ระบบสาธารณสุขที่ทุกคนภาคภูมิใจอาจล้มครืนลงในไม่ช้า







Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา