
"...สังคมจำนวนมากยังมองผู้เสพยาในแง่ลบว่าเป็น “คนไม่ดี” หรือ “ตัวปัญหา” ส่งผลให้ผู้เสพรู้สึกถูกตีตราและถูกผลักออกจากสังคม ขณะที่กลุ่มผู้ค้ายาเสพติดกลับฉวยโอกาสจากความเปราะบางนี้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ เกิดเป็นเครือข่ายค้ายาขนาดใหญ่ ตั้งแต่ต้นน้ำ (การผลิตและนำเข้า) กลางน้ำ (การกระจายและขายส่ง) จนถึงปลายน้ำ (การขายรายย่อย เครือข่าย) ซึ่งกลายเป็น “วงจรอุบาทว์ของยาเสพติด” ที่ยากต่อการควบคุม เมื่อผู้เสพขาดเงินซื้อยา หลายรายจึงกลายเป็นผู้ค้ารายย่อย ทำให้โครงสร้างเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดขยายตัวในลักษณะ “พีระมิด” จากผู้ผลิตรายใหญ่สู่ผู้ค้าระดับล่าง เป็นระบบอุปทานที่ซับซ้อนและยากต่อการปราบปราม..."
- สภาพปัญหา
ประเทศไทยประสบปัญหายาเสพติดในระดับรุนแรงและซับซ้อน จากการประมาณการพบว่ามีผู้เสพยาเสพติดหลายล้านคน โดยเฉพาะกลุ่มผู้เสพแอมเฟตามีน (ยาบ้า) ซึ่งมีจำนวนประมาณ 1–3 ล้านคน ผู้เสพยาเหล่านี้มีตั้งแต่ผู้เริ่มต้นเสพ ไปจนถึงผู้ที่มีอาการรุนแรงต้องเข้ารับการบำบัดในโรงพยาบาล ทำให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจำนวนมาก และสะท้อนถึงภาระโรคจากการใช้ยาเสพติดโดยรวมของประเทศ
การเสพยาทำให้สมองเสียสมดุลระหว่าง “สมองอยาก” (ส่วนที่เกี่ยวข้องกับความสุขและแรงกระตุ้น) กับ “สมองคิด” (ส่วนที่ควบคุมเหตุผลและพฤติกรรม) เมื่อ “สมองอยาก” ทำงานเหนือกว่า “สมองคิด” ผู้เสพจะเกิดความโหยหาและพึ่งพายาเสพติด เช่น แอมเฟตามีน ยาบ้า หรือยาอี จนไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมได้ และอาจแสดงพฤติกรรมเบี่ยงเบน เช่น โกหก ขโมย หรือใช้ความรุนแรง
สังคมจำนวนมากยังมองผู้เสพยาในแง่ลบว่าเป็น “คนไม่ดี” หรือ “ตัวปัญหา” ส่งผลให้ผู้เสพรู้สึกถูกตีตราและถูกผลักออกจากสังคม ขณะที่กลุ่มผู้ค้ายาเสพติดกลับฉวยโอกาสจากความเปราะบางนี้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ เกิดเป็นเครือข่ายค้ายาขนาดใหญ่ ตั้งแต่ต้นน้ำ (การผลิตและนำเข้า) กลางน้ำ (การกระจายและขายส่ง) จนถึงปลายน้ำ (การขายรายย่อย เครือข่าย) ซึ่งกลายเป็น “วงจรอุบาทว์ของยาเสพติด” ที่ยากต่อการควบคุม
เมื่อผู้เสพขาดเงินซื้อยา หลายรายจึงกลายเป็นผู้ค้ารายย่อย ทำให้โครงสร้างเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดขยายตัวในลักษณะ “พีระมิด” จากผู้ผลิตรายใหญ่สู่ผู้ค้าระดับล่าง เป็นระบบอุปทานที่ซับซ้อนและยากต่อการปราบปราม
- การจัดการด้านอุปทานและอุปสงค์
การลด “อุปทาน” หรือการควบคุมแหล่งผลิตและการค้ายา เป็นภารกิจหลักของหน่วยงานด้านความมั่นคง เช่น สำนักงาน ป.ป.ส. กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ เนื่องจากยาเสพติดจำนวนมากลักลอบมาจากแหล่งผลิตในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเมียนมาและลาว
ที่ผ่านมา การจำแนกผู้ค้ายาเสพติดมักใช้ “จำนวนเม็ดยา” เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาความผิด แต่แนวทางดังกล่าวยังมีข้อถกเถียงว่าอาจไม่สะท้อนความร้ายแรงที่แท้จริงของพฤติกรรม และอาจทำให้ผู้เสพรายย่อยถูกปฏิบัติเช่นเดียวกับผู้ค้ายารายใหญ่ จึงอาจต้องมีการปรับปรุงนโยบายให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาและหลักสากลมากขึ้น
ในอีกด้านหนึ่ง การลด “อุปสงค์” หรือความต้องการใช้ยาในหมู่ประชาชน เป็นภารกิจสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการปราบปราม ต้องอาศัยกระบวนการบำบัด ฟื้นฟู ให้โอกาสทางสังคม และการป้องกันการเริ่มเสพตั้งแต่ระดับครอบครัวและชุมชน
หลายประเทศ เช่น โปรตุเกส ได้เปลี่ยนแนวนโยบายจาก “การลงโทษ” สู่ “การบำบัดฟื้นฟู” ส่งผลให้จำนวนผู้เสพลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างนี้สะท้อนว่า เป้าหมายที่เป็นจริงได้มากกว่าการสร้าง “สังคมปลอดยาเสพติด 100%” คือ การสร้าง “สังคมที่ลดผลกระทบจากยาเสพติดอย่างยั่งยืน” แม้จะไม่ปลอดยาเสพติดสมบูรณ์
- วิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหายาเสพติด “คืนผู้เสพกลับสู่ชุมชน ด้วยพลังชุมชนล้อมรักษ์ (CBTx)”
ประเทศไทยในปัจจุบันยึด “การคืนผู้เสพกลับสู่ชุมชนอย่างปลอดภัยและยั่งยืน” เป็นวิสัยทัศน์หลัก โดยมุ่งเน้นให้ผู้เสพได้รับโอกาสในการบำบัด ฟื้นฟู และกลับมาใช้ชีวิตในสังคมอย่างมีศักดิ์ศรี มีอาชีพ มีรายได้ และไม่ถูกตีตรา
แนวทางสำคัญในการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์นี้ คือ ยุทธศาสตร์ “ชุมชนล้อมรักษ์” (Community-Based Treatment: CBTx) ซึ่งเน้นให้ “ชุมชน” เป็นฐานหลักในการบำบัด ฟื้นฟู และเฝ้าระวัง โดยมีภาคีทุกภาคส่วนร่วมบูรณาการทำงานอย่างต่อเนื่อง
- การส่งเสริมและสนับสนุนศักยภาพเครือข่ายระดับพื้นที่ โดย สสส.
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ดำเนินโครงการ “พัฒนาศักยภาพพลังอำเภอสู่การเป็นอำเภอต้นแบบและอำเภอขยายผล” เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ “ชุมชนล้อมรักษ์ (CBTx)” ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในระดับพื้นที่ทั่วประเทศ โครงการครอบคลุม 200 อำเภอใน 4 ภูมิภาค โดยมีเป้าหมายสร้าง “อำเภอต้นแบบอย่างน้อย 30 อำเภอ” ที่สามารถบำบัด ฟื้นฟู และคืนผู้เสพกลับสู่สังคมได้จริงอย่างยั่งยืน และขยายผลต่อไปให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
จากการติดตามการประชุมเชิงปฏิบัติการในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ จังหวัดนครพนม ในวันที่ 29-30 ตค 2568 พบว่า การนำเสนอผลการดำเนินงานของผู้เข้าร่วมในจังหวัดต่างๆ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลด้านยาเสพติด ซึ่งมุ่งสู่ผลลัพธ์ “Quick Big Win” มีผลจากความร่วมมือของพลัง พชอ อย่างเป็นรูปธรรม
โดยมีพื้นที่ที่มีผลงานโดดเด่นเป็นรูปธรรม เช่น อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ ที่ขยายและกำลังขยายต่อไปทุกอำเภอในจังหวัด ทั้งนี้ ในทุกจังหวัดที่นำเสนอการดำเนินงาน ทั้ง นครพนม สกลนคร อุบลราชธานี สุรินทร์ มุกดาหาร อำนาจเจริญ โดยที่จังหวัดสุรินทร์มีองค์กรภาคประชาสังคมเป็นหนึ่งในภาคีของ พชอ มาทำงานร่วมกัน ทุกจังหวัดล้วนมีพื้นที่ต้นแบบเป็นตัวอย่างที่โดดเด่น มีการดำเนินการต่อเนื่อง ทั้งด้านการค้นหา บำบัด ฟื้นฟูอาชีพ และติดตามหลังการบำบัด จนเกิดผลลัพธ์ที่ชัดเจนและต่อเนื่องเพื่อความยั่งยืน

- กลไกการดำเนินงานระดับอำเภอ : “พชอ.” เป็นฐานสำคัญ
ยุทธศาสตร์ CBTx ใช้กลไกของ คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) เป็น “Platform” สำคัญในการขับเคลื่อนงานระดับพื้นที่ โดยบูรณาการทุกภาคส่วน ได้แก่
- หน่วยงานปกครอง นำโดย นายอำเภอ
- สถานีตำรวจ
- หน่วยงานสาธารณสุข
- องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
- ภาคประชาชนและชุมชน
เพื่อร่วมกันบำบัด ฟื้นฟู และป้องกันปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน
- ขั้นตอนการดำเนินงาน “3 ต + 3 ค”
แนวทางปฏิบัติที่เป็นจุดแข็งของ CBTx ที่สังเกตุและเห็นว่าน่าสนใจ คือ กระบวนการ “3 ต + 3 ค” ซึ่งช่วยให้การดำเนินงานเป็นระบบและต่อเนื่อง ทีผลจริง
3 ต (ขั้นตอนการทำงาน)
1. เตรียมการ – พูดคุย ประสาน และวางแผนร่วมกับภาคี
2. ปฏิบัติการ – ค้นหา คัดกรอง และเข้าถึงผู้เสพในชุมชน
3. ส่งต่อ – บำบัด ฟื้นฟู และคืนผู้ผ่านการบำบัดสู่สังคม พร้อมสนับสนุนอาชีพ
3 ค (แนวทางปฏิบัติ)
1. คุยภาคี – สร้างความเข้าใจและความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายปกครอง ตำรวจ และ ฝ่ายบำบัดฟื้นฟู สาธารณสุข
2. ค้นผู้เสพ – เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างรอบด้าน โดยประสานความเข้าใจ ไม่ตีตราผู้เสพ
3. คืนสังคม – ส่งเสริมการกลับมามีชีวิตในสังคมอย่างมีคุณค่า โดยสร้างอาชีพ หางาน
- การดำเนินการของภาคี จะสำเร็จได้ ควรมีการปรับแนวคิดการขับเคลื่อนเพื่อการเปลี่ยนผ่านที่ยั่งยืน สามประการ ประกอบด้วย
1. จาก Self Problem → สู่ Social Determinants of Health เปลี่ยนมุมมองจาก “ยาเสพติดเป็นปัญหาของปัจเจกบุคคล” ไปสู่ “ปัญหาที่เกิดจากปัจจัยสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม”
2. จาก Silo Action → สู่ System Action เปลี่ยนจากการทำงานแบบแยกส่วน สู่การทำงานในระบบที่เชื่อมโยงและบูรณาการทุกภาคส่วน
3. จาก Stigma → สู่ Sympathy เปลี่ยนจากการตีตราผู้เสพ เป็นการเข้าใจ เห็นใจ และให้โอกาสในการกลับคืนสู่สังคมอย่างมีศักดิ์ศรี การมีแนวคิดที่สอดคล้องกันทำให้พลังรวมหมู่ของภาคี พชอ มีการดำเนินงานที่เปผ็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพ
- เป้าหมายสุดท้าย
“คืนผู้เสพและผู้ป่วยสู่ชุมชนอย่างยั่งยืน ด้วยความเข้าใจ เมตตา และโอกาสในการมีอาชีพและคุณภาพชีวิตที่ดี” หัวใจของความสำเร็จอยู่ที่ “ชุมชนเข้มแข็ง” เพราะเมื่อชุมชนมีพลังและระบบสนับสนุนภายใน ก็จะสามารถเฝ้าระวัง ป้องกัน และฟื้นฟูปัญหายาเสพติดได้ด้วยตนเองในระยะยาว
- สรุปผลและแนวโน้ม
จากการดำเนินงานในหลายพื้นที่ ภายใต้โครงการ “อำเภอชุมชนล้อมรักษ์” พบว่าสามารถคืนผู้เสพกลับสู่ชุมชนได้เป็นจำนวนมาก และเกิดการขยายผลจากอำเภอต้นแบบสู่พื้นที่อื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง
นี่คือ สัญญาณเชิงบวก ที่สะท้อนว่า ประเทศไทยกำลังเดินหน้าไปสู่การแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน ด้วยพลังของชุมชน ระบบสุขภาพ และความร่วมมือของทุกภาคส่วน และ ควรสนับสนุนต่อไปให้มีกลไกระดับอำเภอเพื่อความยั่งยืน
บทความโดย :
วิทยา กุลสมบูรณ์
29 ต.ค. 2568


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา