
"...ความจริงการผลิตคำว่า “บ้านใหญ่” เป็นการผลิตซ้ำ (reproduction) ความเหลื่อมล้ำทางการเมือง หากมองในแง่อุดมการณ์ชุมชนาธิปไตย (communitarianism) ความสัมพันธ์ระหว่าง ส.ส.หรือนักการเมืองท้องถิ่นกับคนในพื้นที่เป็นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันระหว่างนักการเมืองกับชุมชน ถือว่าคนกับชุมชนไม่ได้แยกกัน นักการเมืองท้องถิ่นช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ไม่ได้ขาด เช่น เอาน้ำแข็งไปแจกงานศพ หรือเอาเต๊นท์ไปกาง ช่วยเงินกฐินผ้าป่า งานบวช งานแต่ง ฯลฯ ส่วนคนในพื้นที่ก็แลกเปลี่ยนกับนักการเมืองด้วยการให้ความนับถือและไว้วางใจ รวมทั้งสนับสนุนการเลือกตั้ง..."
1. การผลิตถ้อยคำที่มีอำนาจครอบงำสังคมของสื่อ
“สื่อ” (media) มีบทบาทอย่างมากในการผลิตถ้อยคำที่มีอำนาจครอบงำสังคม หรือในทางวิชาการเรียกว่า “วาทกรรม” (discourse)
เมื่อไม่นานมานี้ มีคำเรียกที่แพร่หลายในสื่อสาธารณะ คือว่า “บ้านใหญ่” ตรงตัวหมายถึง “บ้านหลังใหญ่” (big house or large house) เช่นเดียวกัน ในสหรัฐอเมริกาคำสแลงคำนี้หมายถึง “เรือนจำ”
ผู้ผลิตคำนี้ ผู้เขียนเข้าใจว่ามาจากพรรคก้าวไกล เนื่องจากพรรคลงไปแข่งขันการเมืองท้องถิ่นในต่างจังหวัดแล้วแพ้นักการเมืองท้องถิ่น จึงสร้างคำว่า “บ้านใหญ่” ขึ้น
ต่อมา ผู้ช่วยหาเสียงในพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะ “คุณช่อ” เรียกการเมืองต่างจังหวัดว่า “การเมืองบ้านใหญ่” และนำเอาไปเผยแพร่ในรายการโทรทัศน์ บรรดาพิธีกรและวิทยากรที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลเห็นด้วยและเรียกตามคุณช่อว่า “การเมืองต่างจังหวัดเป็นการเมืองบ้านใหญ่” เจตนาของการพูดคำนี้คงต้องการให้มีความหมายนัยประหวัดว่า เป็นการเมืองของผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ซึ่งให้การอุปถัมภ์ช่วยเหลือคนในพื้นที่ รวมทั้งใช้เงินหาเสียง โดยที่ไม่สู้กันทางนโยบายเหมือนพรรคก้าวไกล
ความจริงการผลิตคำว่า “บ้านใหญ่” เป็นการผลิตซ้ำ (reproduction) ความเหลื่อมล้ำทางการเมือง หากมองในแง่อุดมการณ์ชุมชนาธิปไตย (communitarianism) ความสัมพันธ์ระหว่าง ส.ส.หรือนักการเมืองท้องถิ่นกับคนในพื้นที่เป็นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันระหว่างนักการเมืองกับชุมชน ถือว่าคนกับชุมชนไม่ได้แยกกัน นักการเมืองท้องถิ่นช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ไม่ได้ขาด เช่น เอาน้ำแข็งไปแจกงานศพ หรือเอาเต๊นท์ไปกาง ช่วยเงินกฐินผ้าป่า งานบวช งานแต่ง ฯลฯ ส่วนคนในพื้นที่ก็แลกเปลี่ยนกับนักการเมืองด้วยการให้ความนับถือและไว้วางใจ รวมทั้งสนับสนุนการเลือกตั้ง
ความสัมพันธ์เช่นนี้ดีหรือไม่ดี ยากที่จะเอา “คุณค่า” ของคนกรุงเทพฯ ไปตัดสินได้
แต่กลับตรงกับแนวคิดสมัยใหม่เรื่อง “ทุนทางสังคม” (social capital) หมายถึงการอยู่ในเครือข่ายทางสังคมเดียวกันและไว้วางใจกัน ตลอดจนมีความสัมพันธ์ต่างตอบแทนกัน
ส่วนกรณี “การซื้อเสียง” (vote buying) เป็นปรากฏการณ์สมัยใหม่ สำหรับประเทศไทยเพิ่งมีแพร่ระบาดสมัยโรคร้อยเอ็ดยุคพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เมื่อพ.ศ. 2519-2520 เป็นต้นมา และนักการเมืองในพื้นที่สมัยหลัง ๆ นำ “ทุนทางสังคม” ไปใช้ในทางที่ผิด
การซื้อเสียงในชนบทได้ผลมากกว่าในเมือง เพราะเป็นการซื้อเสียงผ่านทางเครือข่ายทางสังคมในแนวนอนที่ผูกพันกันมานาน (horizontal networks)
อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาการซื้อเสียง มิใช่กระทำโดยการประณามว่า “เป็นการเมืองบ้านใหญ่” ต้องมองไปที่การบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะ กกต. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญที่สร้างปัญหารุนแรงที่สุดแก่ประเทศไทยมาตลอด จนทำให้การเลือกตั้งไม่บริสุทธิ์และยุติธรรม ดังที่ทราบกันทั่วไป
การที่คนในชนบทมีชุมชนและมีทุนทางสังคมสูงกว่าคนในกรุงเทพฯ นักการเมืองในพื้นที่จึงค่อนข้างมั่นใจว่า “เศรษฐีจากเมืองกรุง” เอาเงินใส่กระสอบมาซื้อเสียงทันทีทันใด โดยไม่มีความสัมพันธ์กับคนในพื้นที่ นั้น ไม่มีทางที่จะเอาชนะเขาได้
ทำนองเดียวกัน พรรคก้าวไกล เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ อยู่ ๆ มาเสนอว่าจะทำประปาดื่มได้ สร้างถนนหนทาง สร้างสถานท่องเที่ยว หรือกระตุ้นให้เศรษฐกิจเจริญขึ้นรุดหน้าอย่างทันตาเห็น กับทั้งอ้างว่าตนมีการศึกษาสูงส่ง จบเมืองนอกเมืองนา เสนอนโยบายพร้อมกัน 300 นโยบาย โดยที่คนในชนบทไม่มีทางเข้าใจ
ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องความน่าเชื่อถือ เพราะคนในชนบทไม่เคยรู้จัก รวมทั้งผู้สมัครพรรคก้าวไกลไม่เคยมาเยี่ยมเยือน พอถึงเวลาเลือกตั้ง มาขอคะแนนเสียง โดยใช้วิธีการเอารถแห่ไปตามถนน แล้วปราศรัยอ้างว่าเป็นการเสนอนโยบายอันทันสมัย ทำให้เมืองเจริญขึ้นทันตาเห็น หากไม่เลือกเขา จะยิ่งเสียเวลาพัฒนา “เมือง”
ยิ่งพรรคก้าวไกลเอาผู้สมัครมาจากนักการเมืองเดิม เช่น ในจังหวัดภาคอีสานแห่งหนึ่ง ผู้สมัคร อบจ. พรรคก้าวไกล มาจาก “รองนายกอบจ.” ของนักการเมืองในพื้นที่
คนในพื้นที่จึงไม่เห็นความแตกต่าง เพราะเพียงเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว อดีตของความเป็น “ลูกน้องเจ้าพ่อ” จะหายไป การเอา “สีเสื้อผ้า” มาหาเสียง จึงไม่น่าจะเอาชนะ “ความผูกพันกัน” ในชุมชนได้
การตราหน้านักการเมืองในต่างจังหวัดว่า “เป็นการเมืองบ้านใหญ่” จึงเป็น “การเย้ยหยันทางการเมือง” (political cynicism) อันเป็นการประทุษกรรมทางจริยธรรมทางการเมืองผ่านสื่อสาธารณะ และเป็นปัญหา “ความป่วยไข้ของสื่อ” (Media Malaise)
2. การเย้ยหยันทางการเมืองกับความป่วยไข้ของสื่อ
“การเย้ยหยันทางการเมือง” (political cynicism) เป็นทัศนคติทางการเมืองเชิงลบ ตั้งอยู่บนฐานของความเชื่อว่าตัวแสดงทางการเมือง สถาบันและระบบการเมือง ไม่มีศีลธรรมและไม่มีความสามารถ (Political cynicism is defined as a negative political attitude based on beliefs that political actors, institutions, and systems are immoral and incompetent. อ้างใน Dekker & Meijerink, 2012)
ส่วน “ความป่วยไข้ของสื่อ” หมายถึง ความเสื่อมทางด้านความไว้วางใจที่มีต่อการเมืองและการมีส่วนร่วมของพลเมือง เป็นลักษณะสื่อสารทางลบส่วนหนึ่งของสื่อ (Media malaises refers to the decline in trust towards politics and civic engagement, partly attributed to negative media coverage. อ้างใน Schuck, 2017)
สาระสำคัญของทฤษฎีความป่วยไข้ของสื่อ (Media malaises theory) คือ สื่อมักเสนอข่าวสารการเมืองในร้าย เช่น ความขัดแย้ง ยุทธศาสตร์การเมือง และเหตุการณ์ทางลบ ยิ่งทำให้คนเย้ยหยันการเมือง ไม่ไว้วางใจและมีส่วนร่วมทางการเมืองน้อยลง
เนื่องจาก “สื่อ” สามารถปั่นกระแสความเย้ยหยัน (the spiral of cynicism) ได้ การปั่นกระแสความเย้ยหยันของสื่อเป็นการสื่อสารทางลบ อาจทำลายความไว้วางใจทางการเมืองและเพิ่มการไม่สนใจการเมือง
การปั่นกระแสข่าวสารทางลบทางการเมืองสะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างที่รับรู้ได้ระหว่างผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งกับผู้แทนของเขา นำไปสู่การมีส่วนร่วมทางการเมืองต่ำลง
ความไว้วางใจสถาบันการเมืองเป็นสิ่งสำคัญต่อการมีส่วนร่วมของพลเมืองและทุนทางสังคม แค็ปเปลล่าและเจมีสัน (Cappelt & Jamieson, 1997) จึงนิยาม “การเย้ยหยันทางการเมือง“ ว่าเป็นความไม่ไว้วางใจที่ปรากฏอยู่ทั่วไปในกระบวนการทางการเมือง
งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าการเย้ยหยันทางการเมืองอาจทำให้พลเมืองเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายต่อการเมืองและมีส่วนร่วมน้อยลง
ส่วนการรายงานข่าวสารยุทธศาสตร์การเมืองเน้นที่แท็กติกส์ทางการเมืองมากกว่าประเด็นเนื้อหาทางการเมือง จึงมีโอกาสเพิ่มการเย้ยหยันการเมือง
มีการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการเสนอข่าวสารประเภทการเอาแพ้-เอาชนะกันทางการเมือง (game frame) และการใช้ยุทธศาสตร์ทางการเมือง (strategic frame) ในช่วงเลือกตั้ง อาจนำไปสู่การรับรู้นักการเมืองและการเมืองทางลบ ข่าวสารประเภทนี้อาจลดการมีส่วนร่วมทางการเมืองและเพิ่มความไม่ไว้วางใจต่อสถาบันการเมือง
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบทางลบดังกล่าวขึ้นอยู่กับการเข้าใจความสลับซับซ้อนของการเมือง คนที่เข้าใจน้อย จะยิ่งมีผลกระทบทางลบมาก
3. งานวิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างรายงานข่าวสารยุทธศาสตร์การเมืองกับการเย้ยหยันทางการเมือง
ข่าวสารยุทธศาสตร์การเมือง หมายความว่า การที่สื่อรายงานข่าวสารว่า พรรคการเมืองต่าง ๆ จะใช้ยุทธศาสตร์ใดในการต่อสู้กัน ข่าวนี้จะมาพร้อมกับการคาดคะเนถึงผลการเลือกตั้ง ว่าพรรคใดจะชนะ-จะแพ้ พร้อมกับข่าวการทำโพล ทางด้านการสื่อสารการเมืองนิยมนำมาวิเคราะห์ร่วมกัน เรียกว่า “strategic game frame”
จากการวิจัยเรื่องการเย้ยหยันทางการเมือง พบว่า จำนวนการมาลงคะแนนของผู้เลือกตั้งของประเทศในสหภาพยุโรปตั้งแต่ครั้งแรก ค.ศ. 1979 สัมพันธ์กับการเบื่อหน่ายทางการเมือง และพบว่ายิ่งเสนอข่าวสารยุทธศาสตร์การเมือง ยิ่งเกิดการเย้ยหยันทางการเมือง สอดคล้องกับในการวิจัยในประเทศอังกฤษ การเสนอข่าวสารยุทธศาสตร์เด่น ๆ เป็นการเสนอข่าวสารเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ของสหภาพยุโรปและมีอิทธิพลต่อการเย้ยหยันต่อประเด็นดังกล่าว
ส่วนในเดนมาร์ก การเสนอข่าวสารการลงประชามติยิ่งเพิ่มความเย้ยหยันทางการเมือง แต่ไม่กระทบต่ออัตราการมาเลือกตั้ง
สรุปว่า “สื่อ” มีบทบาทปั่นกระแสและสร้างความเย้ยหยันทางการเมือง โดยเฉพาะการนำเสนอข่าวสารเชิงลบทางการเมืองและการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง
หากเป็นไปได้ “สื่อไทย” น่าจะยึดหลักความเป็นธรรมในการสื่อสาร (fairness doctrine) โดยการให้พื้นที่ข่าวแก่ฝ่ายที่โต้แย้งกันบ้างอย่างเสมอหน้า คือ ไม่ควรโอนเอียงตามความชอบทางการเมืองส่วนตัวจนน่าเกลียด
ข้อสำคัญอยู่ที่ “สื่อ” ไม่น่าจะเป็น “ผู้ผลิตซ้ำความเหลื่อมล้ำทางการเมือง” เสียเอง

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา