
"...โพลในปัจจุบันมีปัญหาตั้งแต่ไม่ได้ถามจริง หรือถามจริง 10 คน แต่เขียนรายงานว่าถามมา 100 คน หรือใช้วิธีจ้างคน 40-50 คนมาเปิดสมุดโทรศัพท์/ลิสต์รายชื่อแล้วใช้มือถือโทรไปถาม หรือที่ดีหน่อย คือ การส่งนักศึกษาออกไปสำรวจตามกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ แต่ถ้าไม่คุมดี ๆ บางทีนักศึกษาก็แอบกากันเอง ปัญหาของโพลมีตั้งแต่การตั้งคำถามด้วยคำพูดที่เหมาะสม การเรียงลำดับคำถาม การเลือกตัวอย่าง การสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลและเขียนรายงาน ซึ่งมีปัญหาทุกขั้นตอน..."
1. โพลคืออะไร?
โพล (Poll) คือ การหยั่งเสียงประชาชน อาจเป็นโพลมติมหาชน (Public Opinion Polling) หรือโพลที่ถามสั้น ๆ 2-3 คำถามในบางประเด็น (Straw Polling) โพลเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญในการเมืองระหว่างประเทศและในประเทศ
บางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ทำโพลตลอด เพื่อต้องการรู้ว่าคนชาติอื่นคิดอย่างไร เช่น ปี 2002-2003 ช่วงสงครามอิรัก คนอเมริกันรู้สึกประหลาดใจที่ได้ข้อมูลความความเห็นจากคนชาติอื่นหรือคนเดินขบวนตามท้องถนนว่าพวกเขาไม่เห็นด้วยกับการบุกอิรักของสหรัฐอเมริกา หรือปี 2006 โพลที่ทำกับคนเลบานอน ปรากฏว่าคนเลบานอนไม่เชื่อว่าสหรัฐอเมริกาวางตัวเป็นกลางในการทำสงครามระหว่างเฮซบุลเลาะห์กับอิสราเอล
ในสหรัฐอเมริกาใช้โพลมาก ไม่เพียงให้ข้อมูล แต่ยังใช้เป็นเครื่องมือชักจูงคนอเมริกันให้เชื่อตามผลโพล หรือแม้แต่บงการความคิดตามที่ผู้สนับสนุนการทำโพลต้องการ
2. ประเภทของโพลเลือกตั้ง
สำหรับโพลเลือกตั้ง (Election Polls) ยังแบ่งย่อยได้อีกหลายประเภท ผู้เขียนขอยกมาเฉพาะที่สำคัญ ดังนี้
(1) Benchmark Surveys
เป็นโพลที่ทำเพื่อหา “Benchmark” ภายหลังจากที่ผู้สมัครตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งแล้ว
คำว่า “Benchmark” ในที่นี้ หมายถึง มาตรฐานข้อมูลเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของผู้สมัคร ตำแหน่งประเด็นปัญหาที่คนสนใจ และลักษณะประชากรที่เป็นผู้ออกเสียงเลือกตั้ง เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการรณรงค์หาเสียง
โพลประเภทนี้มีจุดสำคัญ 3 จุด คือ (1) การรับรู้ชื่อของผู้สมัคร (2) จุดแข็งของผู้สมัครเทียบกับคู่แข่ง และ (3) ผลงานของผู้ครองตำแหน่งในปัจจุบัน
ปัญหาการสำรวจ “Benchmark” อยู่ที่ระยะเวลา ยิ่งทำก่อนเลือกตั้งเท่าใด ยิ่งรู้ข้อมูลเกี่ยวกับคู่แข่งน้อย ขณะสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจยิ่งเปลี่ยนไปมาก
ส่วนที่เป็นประโยชน์อยู่ที่ข้อมูลจุดแข็ง-จุดอ่อนของผู้ครองตำแหน่ง ความคิดเกี่ยวกับผู้สมัครที่ ผู้ลงคะแนนต้องการให้เป็น และความเห็นของผู้ลงคะแนนต่อนโยบายที่สำคัญ ๆ
ข้อมูลการสำรวจ “Benchmark” มักเก็บไว้เป็นความลับ เว้นแต่ผู้สมัครจะนำเอาออกมาโชว์เพื่อแสดงถึงความตั้งใจทำงานของตัวเอง
(2) Trial Heat Surveys
โพลประเภทนี้คนไทยกำลังเจอมากที่สุดในปัจจุบัน เป็น “การทดสอบความร้อนแรง” ของการแข่งขัน หรือบางทีเรียกว่าโพล “ม้าแข่ง”
จริง ๆ ไม่ถือว่าเป็นการวิจัยสำรวจเต็มรูป เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น โดยการตั้งคำถามเปรียบเทียบกันระหว่างคู่แข่ง และให้ผู้มีสิทธิลงคะแนนเลือก
ปกติจะตั้งคำถามว่า “ถ้าการเลือกตั้งจัดขึ้นวันนี้ ท่านจะเลือก ก. หรือ ข.”
บางทีใช้วิธีจับคู่ (matchups) ตัวอย่างเช่น
ก่อนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ปี 2006 CNN ทำโพลให้ประชาชนจับคู่ระหว่างผู้สมัครพรรครีพับลิกันสองคน คือ จอห์น แม็คเคน (John McCain) กับรูดี กุยเลียนี (Rudy Giuliani) กับผู้สมัครพรรคดิโมแครสามคน คือ ฮิลลารี คลินตัน (Hillary Clinton) บารัก โอบามา (Barack Obama) และจอห์น เคอรี (John Kerry) ว่า “จะให้ใครแข่งกันกับใครดี”
ข้อมูลจากการวัด “ความร้อนแรง” จะทำให้มองเห็น “ม้าแข่ง” (horse race) สื่อจะได้นำเสนอแนวทางการทำแคมเปญของ “ม้าแข่ง” ต่อไป ทำให้คนดูได้สนุกกับข้อมูลที่สื่อย่อยไว้ให้แล้วสำหรับการคาดการณ์และวิจารณ์ ภาษาการสื่อสารการเมือง เรียกว่า “Game Frame” และ “Strategic Frame”
ข่าว “ม้าแข่ง” และแคมเปญ มีข้อเสีย คือ คนจะสนใจเฉพาะประเด็นการหาเสียง
ตัวอย่างเช่น ประเทศไทยในปัจจุบัน นักการเมืองนำเอาประเด็นสแกมเมอร์มาโจมตีกันเพื่อมุ่งหาเสียงมากกว่าต้องการแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์จริงจัง
ทั้งที่ประเด็นเนื้อหานโยบายที่ต้องนำเสนอสำคัญกว่ามาก เช่น รัฐบาลจะมีนโยบายการปราบปรามองค์กรอาชญากรรมอย่างไร
ในเมื่อคนไทยรู้กันทั่วไปว่า ประเทศไทยอยู่ในภาวะจำกัดอย่างยิ่งยวดจากปัญหาการขาดกฎหมายองค์กรอาชญากรรม การบังคับใช้กฎหมายอ่อนแอ การคอร์รัปชันเกิดขึ้นทั่วไป โดยเฉพาะขั้นตอนขั้นต้นของกระบวนการยุติธรรม หรือแผนหรือพิมพ์เขียวในการแก้ปัญหาที่แท้จริงจะมีภาพออกมาอย่างไร มีกรอบระยะเวลาและขั้นตอนการปฏิบัติอย่างไร นอกเหนือไปจากลงนาม MOU
การสนใจเฉพาะ “ม้าแข่ง” จึงเป็นการทำทุกอย่างให้เป็นการเมือง (Politicization) หรือเกมเอาแพ้-เอาชนะกัน
สำหรับอันตรายของ “โพลวัดความร้อนแรงการแข่งขัน” หรือ “โพลม้าแข่ง” อยู่ที่คำถามในวันที่ถาม กับการเลือกตั้งจริงอาจไม่ตรงกัน
ในสหรัฐอเมริกา มีตัวอย่าง ปี 2000 ที่โพลของรอยเตอส์ (Reuters) เดือนสิงหาคมให้บุช (Bush) นำกอร์ (Gore) 17 จุด แต่ต้นเดือนตุลาคมกอร์ (Gore) กลับมานำ 4 จุด ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมาก
ปี 1993 โพลนิวยอร์กไทมส์ให้ จิม ฟลอริโอ (Jim Florio) ผู้สมัครผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์พรรค ดิโมแครตนำคริสทีน ท็อด วิทแมน (Christine Todd Whitman) พรรครีพับลิกัน 49% ถึง 34% แต่พอวันเลือกตั้งปรากฏว่าวิทแมนชนะ
“โพลวัดความร้อนแรง” หรือ “โพลม้าแข่ง” จริง ๆ วัดได้เฉพาะ “การจำชื่อได้” (name recognition) มากกว่าอย่างอื่น การบริโภค “ผลโพลม้าแข่ง” จึงต้องระวังว่าเป็นการวัดที่ “ไม่ได้คงที่” หรือว่าที่จริง “ผลโพลม้าแข่ง” เปลี่ยนได้เสมอ “โดยการแคมเปญ”
ยิ่งกว่านั้น ยังต้องระวังไว้ด้วยว่าโพลตั้งคำถามว่าอย่างไร เช่น “ชื่อคน” กับ “การสังกัดพรรค” ถ้าถามชื่อคนกับพรรคที่สังกัดพร้อมกัน ผลจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่ถ้าถามเฉพาะ “ชื่อคน” โดยไม่ได้ถาม “สังกัดพรรค” ผลอาจแตกต่างออกไป เพราะ “ชื่อคน” อาจไม่ได้เป็นที่รู้จักเท่ากับ “ชื่อพรรค”
ตัวอย่างเช่น กรณีโพลของสหรัฐอเมริกาถามให้เลือกระหว่าง “Mary Doe กับ Jo Blitz” กับคำถามให้เลือกระหว่าง “Mary Doe, the Democrat กับ Joe Blitz, the Republican” ผลของโพลออกมาปรากฏว่าแตกต่างกัน
(3) Tracking Polls
เป็นผลติดตามผลการรณรงค์หาเสียง (campaigning) เพื่อดูว่าแคมเปญที่หาเสียงนั้น มีกระแสตอบรับจากประชาชนผู้เลือกตั้งมากน้อยเพียงใด โพลประเภทนี้จะทำกันใกล้วันเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง (rolling samples) เพื่อติดตามอย่างใกล้ชิดว่าความสนับสนุนเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงใด
Tracking Polls เป็นโพลที่แพงมาก เพราะต้องทำต่อเนื่องติดต่อกัน เช่น หนึ่งเดือนติดต่อกัน
ในสหรัฐอเมริกา ใช้ Tracking Polls กับรัฐที่เป็นพื้นที่สู้รบสำคัญ (key battle ground states) หมายถึง รัฐที่ตัดสินผลแพ้-ชนะการเลือกประธานาธิบดีและคะแนนนิยมเปลี่ยนไป-มา ซึ่งพรรคแต่ละพรรคทุ่มเทกำลังทรัพยากรต่อสู้กันในพื้นที่นั้นเป็นพิเศษ
ผลจากโพลที่ทำโดย Gallup Organization แสดงให้เห็นว่าคะแนนนิยมในรัฐพื้นที่สู้รบสำคัญนี้ “เหวี่ยงไปเหวี่ยงมา” จึงมีอัตราความผันผวนสูงมาก
(4) Exit Polls
เป็นการสัมภาษณ์ผู้ลงคะแนนหลังจากที่เขาออกจากคูหา ซึ่งเป็นการรู้แล้วว่าผู้ลงคะแนนเป็นใคร อาจถามตำแหน่ง ที่อยู่และลักษณะของผู้ตอบด้วย ส่วนใหญ่ทำโดยสำนักข่าวใหญ่ ๆ เพื่อทำนายผลการเลือกตั้งเร็วกว่าการประกาศที่เป็นทางการ
ข้อดี คือ ถามจริงจากผู้ลงคะแนน เก็บได้หลายเขต และนำมาประมวลผลได้เร็ว รวมทั้งได้ข้อมูลมาก โดยทั่วไปมีความแม่นยำสูง แต่ข้อเสียสำหรับสหรัฐอเมริกา คือ คนลงคะแนนในบ้านเขาไม่ได้ไปลงในหน่วยเลือกตั้ง ยังมีคนลงคะแนนทางอิเล็กทรอนิกส์หรือทางไปรษณีย์ จึงไม่สามารถถามด้วย Exit Polls ทำให้เกิดความผิดพลาดในการพยากรณ์
(5) Push Polls
“โพลผลักดัน” (Push Polls) หรือ “โพลหลอกลวง” (Deception Polls) มีชื่อเสียงทางร้าย จึงถูกประณามมาก เช่น สมาคมวิจัยมติมหาชนสหรัฐอเมริกา (the American Association for Public Opinion Research) และสภาการทำโพลสาธารณะแห่งชาติ (the National Council on Public Polls) ประณามว่า “โพลผลักดัน” เป็นการสร้างข้อมูลที่ผิดหรือชี้นำทางที่ผิดเกี่ยวกับผู้สมัคร โดยแสร้งว่าได้ทำโพลแล้ว เพื่อต้องการให้มีผลต่อความนิยมต่อประชาชน
ดังนั้น คำว่า “โพลผลักดัน” หรือ “โพลหลอกลวง” จึงไม่ใช่การทำโพล เพราะไม่มีการวัดมติมหาชนจริง แต่หลอกลวงว่าได้ทำโพล เพื่อเข้าข้างผู้สมัครฝ่ายหนึ่งหรือใส่ร้ายผู้สมัครอีกฝ่ายหนึ่ง
3. หลักเบื้องต้นของการบริโภคผลโพล
เนื่องจากการทำโพลแพง เพราะต้องสำรวจ/สัมภาษณ์กับคนจำนวนมาก อีกทั้งตัวอย่างต้องมีฐานะเป็นตัวแทนประชากร จึงสามารถอ้างอิงผลโพลกลับไปยังประชากรได้
โพลในปัจจุบันมีปัญหาตั้งแต่ไม่ได้ถามจริง หรือถามจริง 10 คน แต่เขียนรายงานว่าถามมา 100 คน หรือใช้วิธีจ้างคน 40-50 คนมาเปิดสมุดโทรศัพท์/ลิสต์รายชื่อแล้วใช้มือถือโทรไปถาม หรือที่ดีหน่อย คือ การส่งนักศึกษาออกไปสำรวจตามกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ แต่ถ้าไม่คุมดี ๆ บางทีนักศึกษาก็แอบกากันเอง
ปัญหาของโพลมีตั้งแต่การตั้งคำถามด้วยคำพูดที่เหมาะสม การเรียงลำดับคำถาม การเลือกตัวอย่าง การสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลและเขียนรายงาน ซึ่งมีปัญหาทุกขั้นตอน
ปัญหาใหญ่อยู่ที่คนไม่มีความเห็นในเรื่องนั้น (non-attitudes) มากกว่าคนตอบ (attitudes) เช่น นักทำโพลเคยถามว่า “การใช้ที่ดิน” (land use) หมายความว่าอย่างไร เขาตอบว่าไม่รู้ หรือเทียบกับไทย คนทำโพลถามว่า ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของไทย เขาตอบว่า ไม่รู้ หรือยังไม่เห็นใครเหมาะสม คำตอบนี้จัดเป็นคำตอบที่คนไม่มีความเห็นในเรื่องนั้น
ปัญหาที่ถกเถียงกันในปัจจุบัน คือ คำตอบของคนไม่มีความเห็นในเรื่องนั้น จะถือว่าเป็นคำตอบหรือไม่ หรือจะนำทางไปสู่การเข้าใจอะไรผิดหรือไม่ เช่น จริง ๆ แล้วเป็น “ความคิดจริง ๆ” (real view) ของเขาหรือไม่ หรือว่าที่จริงเป็นเพียงปฏิกิริยาต่อคำถาม ซึ่งที่ถูกแล้ว เขามีความเห็นอยู่ในหัว แต่ยังไม่ได้ตอบออกมา
โชคร้ายมากที่ปัจจุบัน นักทำโพลในสหรัฐอเมริกายังแยกความแตกต่างระหว่างผู้ที่ให้ความเห็นจริง ๆ กับผู้ที่แสดงออกเพียงว่าเขาไม่มีความเห็นในเรื่องนั้น (non-attitudes) ไม่ได้
นักวิชาการจำนวนมาก เช่น Converse, 1970; Taylor 1983; Norpoth & Lodge, 1985, Bishop, Oldendick & Lodge, 1985; ศึกษาถึงปัญหา Non-attitudes
สรุปทำนองว่าโพลครั้งใดก็ตาม มีคนตอบว่า ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ทราบ หรือยังไม่เห็นว่ามีใครเหมาะสม หรือเท่ากับมี Non-attitudes มากกว่าคนที่แสดงความเห็นออกมาจริง (real view) ให้ถือว่าโพลครั้งนั้นยังไม่อาจรับฟังได้ หรือไม่สามารถนำไปอ้างอิงได้ จนกว่าโพลจะได้ใช้คำถามกลั่นกรองความเห็นเขาออกมาจนชัดเจนแล้ว (the use of screening questions)
ส่วนหลักเกณฑ์อื่น ได้แก่ ดูว่าโพลที่ทำในครั้งนั้น ไปถามใคร ด้วยวิธีการใด ถามจริงหรือไม่ คนที่ถูกถามจะเป็นตัวแทนที่สามารถอ้างอิงกลับไปกลุ่มคนกลุ่มอื่นที่ยังไม่ได้ถูกถามในครั้งนี้หรือไม่
ถ้าโพลใดไม่ระบุถึงแหล่งที่มาของข้อมูล ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นโพลที่ตั้งใจปิดบังข้อมูลและอาจเป็น “Push Polls” ก็ได้
การทำโพลนอกจากจะสิ้นเปลืองเวลาและค่าใช้จ่ายแล้ว ยังต้องนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ทั้งต่อสปอนเซ่อร์และส่วนรวม
การทำโพลให้ถูกต้องและน่าเชื่อถือ จึงไม่ง่าย ด้วยเหตุนี้ ในสหรัฐอเมริกาจึงมีสมาคมควบคุมมาตรฐานการทำโพล จนกระทั่งพัฒนามาเป็นวิชาชีพหนึ่งในปัจจุบัน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา