
"...คุณปุ๊กกล่าวต่อว่า ร้าน “Patrick Café” ยังคงต้องเผชิญความท้าทายอีกมากทั้งจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป การเปิดใช้ทางยกระดับบางปะอิน–นครราชสีมา และการแข่งขันจากร้านอาหารใหม่ ๆ ที่ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด แต่ตราบใดที่ยังมี “ความกล้า” และ “ความมุ่งมั่น” เธอเชื่อว่าความสำเร็จ ไม่ใช่การแสวงหาความสุขเพื่อตนเอง แต่คือการสร้างความสุขให้กับผู้อื่นก่อน”..."
เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสเดินทางไปอำเภอปากช่อง เพื่อเยี่ยมเพื่อนที่เพิ่งปลูกบ้านเสร็จ พร้อมสัมผัสบรรยากาศของพื้นที่ ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปหลังจากทางด่วนบางปะอิน–นครราชสีมาสร้างเสร็จสมบูรณ์ตลอดเส้นทางถนนธนะรัชต์ มุ่งหน้าสู่เขาใหญ่ สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านอาหารและคาเฟ่มากมายแบบแน่นขนัด จนอดคิดไม่ได้ว่าในช่วงสุดสัปดาห์หรือเทศกาลใหญ่ ๆ พื้นที่แถบนั้นจะคึกคักและวุ่นวายเพียงใด แม้ทางด่วนจะช่วยย่นระยะเวลาเดินทางได้มาก แต่ดูเหมือน “เสน่ห์ของความหนาแน่น” บนถนนสายนี้จะยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตาม บริเวณเขาใหญ่ยังคงความงดงามตามธรรมชาติ ต้นไม้ใหญ่ปกคลุมไปทั่วอากาศสดชื่นบริสุทธิ์ ผมได้สูดลมหายใจลึก ๆ เติมพลังให้ตัวเองอีกครั้ง พร้อมกับเดินทางไปชมน้ำตกเหวสุวัตที่น้ำยังคงไหลเชี่ยว ได้เห็นทั้งช้างและฝูงลิงที่ออกมาเดินเล่นริมไหล่ทางอย่างอิสระราวกับเป็นเจ้าของป่า
ไฮไลต์ของทริปนี้คงหนีไม่พ้นช่วงขากลับกรุงเทพฯ ที่ผมตัดสินใจแวะรับประทานอาหารที่ร้าน “แพทริค คาเฟ่” (Patrick Café) บริเวณตลาดหินกอง–หนองแค ร้านอาหารแห่งนี้ผมเคยแวะมาทานเมื่อปี พ.ศ. 2563 ตอนที่เพิ่งเปิดใหม่ ๆ และได้พูดคุยกับคุณปุ๊ก (คุณวาสนา เถลิงศรีไพบูลย์) เจ้าของร้าน จนได้นำเรื่องราวของเธอมาบันทึกไว้ใน Weekly Mail ฉบับวันที่ 14 ธันวาคม 2563
วันนี้ “Patrick Café” ได้เติบโตขึ้นอย่างน่าชื่นชม ร้านขยายพื้นที่จาก 2.5 ไร่ เป็น 4 ไร่ เพิ่มอาคารใหม่อีกหนึ่งหลัง มีลานจอดรถกว้างขวางขึ้น จากเดิม 100 ที่นั่ง เป็น 400 ที่นั่ง และเพิ่มเมนูอาหารจาก 100 รายการ เป็นกว่า 300 รายการ เรียกได้ว่าเป็นการเติบโตที่มาจากความมุ่งมั่นและความกล้าอย่างแท้จริง
คุณปุ๊กเป็นตัวอย่างของ “ผู้กล้า” กล้าที่จะตัดสินใจ กล้าที่จะเรียนรู้ กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง และกล้าที่จะยอมรับความจริง คุณลักษณะเช่นนี้คือ สิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่จะอยู่รอดและเติบโตในยุค New Normal ผมจึงขอนำ Weekly Mail ฉบับดังกล่าว มาให้พวกเราได้อ่านอีกครั้งหนึ่ง

Weekly Mail ฉบับวันที่ 14 ธันวาคม 2563
...เมื่อรถวิ่งออกจากเขาใหญ่ได้สักพักนึงท้องก็เริ่มร้องด้วยความหิวเพราะเวลาเลยเที่ยงไปแล้วจึงโทรศัพท์ถามคนในพื้นที่ให้ช่วยแนะนำร้านอาหารบนเส้นทางถนนมิตรภาพสระบุรี ได้รับคำแนะนำว่าให้แวะไปที่ร้าน “แพทริค คาเฟ่” (Patrick Café) ผมต้องขอให้ทบทวนชื่ออีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่ร้านที่เขาใหญ่เพราะฟังชื่อเป็นฝรั่ง แต่เมื่อได้รับการยืนยัน จึงโทรศัพท์ไปจองที่นั่ง คนรับจองบอกว่า ถ้ามาหลังบ่ายโมง ไม่ต้องจองก็ได้ ผมคิดในใจว่า คงเป็นร้านพื้นบ้านธรรมดา ๆ
Google Map นำทางมาถึงร้าน Patrick Café ได้ไม่ยาก ร้านไม่ได้อยู่ริมถนนมิตรภาพต้องเลี้ยวเข้าตลาดสดหินกอง ตรงเข้ามาประมาณ 400 เมตร จะเห็นร้านตั้งเด่นสง่าอยู่ทางซ้ายมือ เป็นบ้านสไตล์ฝรั่งกระจกล้อมรอบทุกด้าน ขอบหน้าต่างทาสีขาว มองเห็นภายในร้านชัดเจน หลังคามุงกระเบื้องสีเทาและมีปล่องไฟ ดูแปลกตากว่าบ้านข้างเคียงในละแวกนั้น เมื่อเข้าไปในร้านผมตกใจที่เห็นคนนั่งเต็มร้าน
ตอนแรกคิดจะเปลี่ยนใจเพราะเกรงจะกลับกรุงเทพฯ ไม่ทัน แต่เมื่อได้พบกับพนักงานต้อนรับที่ยิ้มแย้มแจ่มใสพร้อมบอกว่ารอไม่นาน อีกทั้งได้เห็นร้านที่ตกแต่งอย่างสวยงาม โต๊ะเก้าอี้แบบหลุยส์ เพดานประดับด้วยโคมไฟหลอดสีขาว ดูเก๋ไก๋ ขณะเดียวกัน เห็นผู้ชายฝรั่ง รูปร่างท้วมกำลังนำอาหารจากครัวออกเสิร์ฟลูกค้าอย่างขะมักเขม้น อาหารแต่ละจานขนาดใหญ่ คิดว่าคงเป็นอาหารแบบ homemade แน่ ๆ จึงตัดสินใจนั่งรอ และเพียงไม่กี่อึดใจก็ได้โต๊ะ เมื่อเห็นเมนูอาหารก็ต้องแปลกใจเป็นคำรบที่สอง เพราะมีสารพัดอาหารกว่า 200 ชนิด ตั้งแต่อาหารฝรั่ง สเต็ก สปาเก็ตตี้ พิซซ่า ซี่โครงหมู สลัดผัด ไปจนถึงอาหารไทย ๆ แบบก๋วยเตี๋ยวปากหม้อ ยำหมูยอ และอื่น ๆ
ผมรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย รับรู้ได้ว่า อาหารทำมาจากวัตถุดิบเกรด A ปรุงแต่งอย่างพิถีพิถัน ก่อนตบท้ายด้วยขนมปังฟักทอง และข้าวต้มมัดหลากรสหลากสีแปลกกว่าที่เคยเห็น เรียกว่าได้อิ่มเต็มที่ จนแปลกใจว่า ร้านอาหารนี้มาตั้งอยู่ใน no man land ได้อย่างไร จึงสอบถามพนักงานว่า ผู้ชายฝรั่งเป็นเจ้าของร้านและพ่อครัวใช่หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ใช่เจ้าของร้านและแม่ครัวตัวจริงกลับกลายเป็นภรรยา ส่วนชื่อร้านเป็นชื่อของลูกชาย พนักงานเสิร์ฟเสริมต่อว่า “เรื่องราวชีวิตของพี่เขายาวค่ะ สร้างเป็นละครชีวิตได้เลย” ผมรู้สึกทึ่งและอยากพบเจ้าของร้านตัวจริง
อย่างไรก็ตาม พนักงานเสิร์ฟบอกว่า เธอค่อนข้างยุ่งต้องคอยดูแลในห้องครัวด้วยตนเองผมจึงไม่คาดหวังอะไรมาก แต่พอสักครู่ใหญ่เมื่อลูกค้าเริ่มซาลง ผู้หญิงสวมเสื้อยืดสีน้ำเงินกางเกงขาสั้นเดินเข้ามาหา พร้อมกับแนะนำตัวว่าชื่อ “ปุ๊ก” เป็นเจ้าของร้าน พร้อม ๆ กับบอกเรื่องราวร้านอาหารอย่างเป็นกันเองว่า เริ่มต้นจากการทำ bakery มาก่อน โดยเปิดเป็นร้านขายขนมปังและกาแฟ พอเปิดไปได้ระยะหนึ่ง ลูกค้าเรียกร้องให้ทำอาหารด้วย ลูกค้าต่างติดใจในฝีมือมีโต๊ะให้บริการ 8 โต๊ะ ไม่เพียงพอ ถึงกับมีการยื้อแย่งจนถึงขั้นทะเลาะวิวาท จึงตัดสินใจมาเปิดร้านใหม่ที่นี่ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา โชคร้ายเจอโควิดแบบจัง ๆ เพิ่งเปิดได้เต็มร้อยเมื่อ 4 เดือนก่อนนี่เอง พูดคุยกันได้ไม่นาน ผมต้องรีบขอตัวกลับก่อน คุณปุ๊กถามว่ามาจากไหน เลยตอบไปสั้น ๆ ว่า “ผมทำงานแบงก์ชาติ” และบอกว่าผมมีงานเขียนสมัครเล่นที่จะขออนุญาตนำเรื่องราวของคุณปุ๊กและร้าน Patrick Café ไปเขียน
คืนนั้น ผมค้นหาข้อมูลร้าน Patrick Café เพิ่มเติมจาก Facebook และต้องประหลาดใจเป็นคำรบสามเมื่อรูปตัวเองเด่นสง่าอยู่ ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้บอกชื่อให้คุณปุ๊กทราบเลย ทำให้รู้สึกประทับใจในความใส่ใจและให้ความสำคัญต่อการพูดคุยกันอย่างมีไมตรีจิต ผมจึงโทรศัพท์ไปขอพูดคุยกับคุณปุ๊กอีกรอบหนึ่ง [1]
คุณปุ๊ก (คุณวาสนา เถลิงศรีไพบูลย์) เล่าว่า เป็นคนพื้นเพอำเภอหินกอง (หนองแค) ใช้ชีวิตที่นี่ตั้งแต่เด็กจนไปเรียนต่อปริญญาตรีด้านคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยรังสิต และได้เข้าทำงานที่สภาอุตสาหกรรมฯ ทำหน้าที่จิปาถะ ตั้งแต่งานธุรการ งานจัดอบรม ไปจนถึงงานประสานงานต่างประเทศ พร้อม ๆ กับเรียนต่อปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ แต่ชีวิตเริ่มหักเหเมื่อตัดสินใจแต่งงานกับชาวรัสเซียที่รู้จักกันผ่านการทำงานที่สภาอุตสาหกรรมฯ และติดตามสามีไปอยู่รัสเซีย ด้วยความเป็นคนอยู่ไม่นิ่ง ทนไม่ได้ที่จะอยู่ไปแบบวัน ๆ จึงตัดสินใจเปิดร้านอาหารทั้ง ๆ ที่ตนเองไม่มีความรู้ในศาสตร์นี้แม้แต่น้อย
ก่อนอื่นเธอต้องศึกษากฎเกณฑ์มากมายในการเปิดร้านอาหารอย่างละเอียด และค้นพบว่าถ้าจะเปิดร้านอาหารต้องไปเปิดที่เมืองรอสตอฟ-นา-โดนู เมืองทางตอนใต้ชายฝั่งทะเลดำ เพราะเป็นเมืองที่มีกฎเกณฑ์ไม่ยุ่งยาก เปิดร้านอาหารได้ง่ายแถมยังเป็นแหล่งท่องเที่ยว ใช้เวลาตัดสินใจไม่นานจึงย้ายครอบครัวไปที่นั่นเพื่อเปิดร้านอาหารตามที่ตั้งใจ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งมีลูกอ่อนในขณะที่สามียังงงไม่หายแต่ก็ “ตามใจเธอ”
คุณปุ๊กหัดทำอาหารไทยแบบ “ฝรั่งทานได้” พร้อมกับจ้างพ่อครัวชาวรัสเซีย 2 คน บริการอาหารทั้งไทยและฝรั่ง ช่วงเปิดใหม่ ๆ ดูเหมือนว่าพอจะไปได้ มีลูกค้าเข้ามาพอสมควร แต่จุดจบอยู่ที่วันหนึ่งพ่อครัวทั้ง 2 คนพร้อมใจกันลาออก คราวนี้งานเข้า เพราะคุณปุ๊กยังไม่ทันตั้งตัวแถมรายจ่ายเริ่มพอกพูน ผนวกกับเจอกฎระเบียบท้องถิ่นที่ไม่คาดคิด ไม่นับรวมการสื่อภาษารัสเซียที่คุณปุ๊กยังพูดได้เพียง “สวัสดีค่ะ” กับ “ขอบคุณค่ะ”
ครั้งนี้ไม่ต้องรอให้ใครบอก คุณปุ๊กตัดสินใจม้วนเสื่อปิดร้านพาครอบครัวกลับเมืองไทยทันทีหลังจากเปิดร้านได้เพียง 7 เดือน หลาย ๆ คนที่เผชิญชีวิตวิกฤติเช่นนี้คงจะท้อถอยและยอมแพ้แก่โชคชะตา แต่คุณปุ๊กกลับมองว่า บทเรียนราคาแพง “ตาบอดคลำเสือ” (สำนวนของเธอ) ทำให้ไม่ผลีผลามที่จะตัดสินใจอะไรจนกว่าจะรู้จริง เธอมาสังเกตว่า ในตลาดหินกองยังไม่มีร้าน bakery มีแต่ร้านขนมปังที่ไปรับจากที่อื่นมาขายจึงตัดสินใจไปเรียนทำขนมปังและขนมเค้กทั้ง ๆ ที่ไม่มีพื้นความรู้แม้แต่น้อย คุณปุ๊กเสริมว่า ในช่วงแรกคิดว่าจะเป็นเรื่องยาก แต่พอได้ทำจริง ศาสตร์การทำอาหารกลับง่ายกว่าที่คิด เพราะแต่ละเมนูจะมีสูตรสำเร็จบอกว่าจะต้องมีสัดส่วนเครื่องปรุงอย่างไร จะมีแปลกไปบ้างก็เป็นเรื่องของจินตนาการและความชอบในรสชาติ การปรุงแต่งของแต่ละคน พอเชื่อมั่นว่า “เราทำได้” เธอจึงปรับปรุงตึกแถวห้องเดียวของพ่อที่รกร้างมากว่า 20 ปี มาทำเป็นร้าน bakery เริ่มด้วยมีตู้กระจกใส่ขนมปังและโต๊ะนั่ง 1 ตัว “วันแรกที่เปิดร้านยังจำได้ว่า แม้แต่กะละมังร้านข้าง ๆ ยังต้องให้ยืมเลย”
คุณปุ๊กยังเล่าเสริมว่า เราทำขนมปังแบบสด ๆ ไม่ใส่สารกันบูด รสชาติเป็นที่ถูกใจของลูกค้า ซึ่งแวะมาซื้ออย่างต่อเนื่องจนต้องมีการเสิร์ฟกาแฟให้ครบวงจร แต่ต่อมาลูกค้าเรียกร้องให้ทำอาหารขาย จนเป็นที่มาของร้าน Patrick Café ในวันนี้
คุณปุ๊กเล่าด้วยความภูมิใจว่า ร้านใหม่นี้ตนเองเป็นผู้ออกแบบ ทั้งเรื่องการตกแต่งภายในและการเลือกเฟอร์นิเจอร์ ขณะที่คนงานก่อสร้างเป็นคนในพื้นที่ ที่เคยก่อสร้างอาคารที่ทำการ อบต. แม้จะเปิดได้เพียง 4 เดือน ก็ถือว่าประสบความสำเร็จเพราะลูกค้าเต็มร้าน แถมมีคนนอกพื้นที่มามากขึ้น “เมนูอาหารและ Facebook การตลาด ปุ๊กก็ทำเองทั้งหมดค่ะ” ผมถึงกับอุทานว่า “แล้วคุณปุ๊กเอาเวลาที่ไหนมาคิดมาทำ” เธอตอบว่า “ ถ้าอยู่กับสิ่งนั้นตลอดเวลา มันแทบไม่ต้องคิดเพียงอยากให้ลูกค้ามีความสุขจะทำอย่างไร และยังไม่เคยคิดว่า ตนเองประสบความสำเร็จเพราะยังมีอีกมากที่ต้องพัฒนา” ทุกเดือนร้าน Patrick Café จะมีการเพิ่มเมนูอาหาร ซึ่งคุณปุ๊กจะต้องลองหัดทำเองทุกอย่างก่อน ทางร้านจะนำเทคโนโลยีมาใช้ในการสั่งอาหารและส่งข้อมูลเข้าไปให้
ในครัวแบ่งเป็นโซนตามประเภทอาหาร ย่าง ต้ม ผัด ยำ เพื่อให้กระบวนการทำอาหารเป็นไปอย่างรวดเร็ว
เธอยอมรับว่ายังต้องเรียนรู้อีกมาก ร้านขายส่งขนาดใหญ่ที่จัดส่งอาหารวัตถุดิบให้สอบถามมาว่า ต้องการอะไรเป็นพิเศษ เธอขอไปดูงานในห้องครัวของร้าน Michelin Stars เพราะยังคิดว่ากระบวนการทำครัวของเธอยังเป็นแบบบ้าน ๆ ที่ต้องพัฒนา
นอกจากคุณภาพอาหารแล้ว คุณปุ๊กยังให้ความสำคัญกับการให้บริการ โดยถือว่า “ลูกค้าต้องมาก่อน” เธอพูดว่า “ร้านค้าบางร้านนำรถยนต์ตัวเองมาจอดไว้ที่หน้าร้าน เพราะกลัวรถจะหายแทนที่จะเว้นที่ไว้ให้ลูกค้า เพียงแค่นี้ก็คิดผิดแล้ว” นอกจากนี้ พนักงานทั้งหมดของร้านซึ่งเป็นคนในพื้นที่จะได้รับการดูแลเหมือนกับญาติ มีสวัสดิการอาหารทั้งกลางวันและเย็นจึงไม่แปลกที่ทุกคนทำงานด้วยใจและมีอัธยาศัยดี…
ก่อนจากกันผมถามคุณปุ๊กว่า อยากเห็นอนาคตของ “แพทริค” ลูกชายเป็นอย่างไร เธอตอบอย่างเรียบง่ายแต่กินใจว่า “โตขึ้นจะเป็นอะไรก็ได้ที่เขาชอบ แต่ต้องอดทน…เหมือนที่แม่ทำ” ปัจจุบัน แพทริคกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 แต่ยังคงช่วยแม่ทำงานอยู่เสมอ โดยเฉพาะการออกไปจ่ายตลาดด้วยกันทุกเช้า

คุณปุ๊กกล่าวต่อว่า ร้าน “Patrick Café” ยังคงต้องเผชิญความท้าทายอีกมากทั้งจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป การเปิดใช้ทางยกระดับบางปะอิน–นครราชสีมา และการแข่งขันจากร้านอาหารใหม่ ๆ ที่ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด แต่ตราบใดที่ยังมี “ความกล้า” และ “ความมุ่งมั่น” เธอเชื่อว่าความสำเร็จ ไม่ใช่การแสวงหาความสุขเพื่อตนเอง แต่คือการสร้างความสุขให้กับผู้อื่นก่อน”

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา