
“...กิจกรรมเล็ก ๆ นี้กลับสร้างผลลัพธ์ใหญ่หลวง นักศึกษาที่เคยรู้สึกเขินอายฐานะครอบครัว จนไม่กล้าชวนพ่อแม่มางานรับปริญญา ได้เรียนรู้ว่า ความเสมอภาคของมนุษย์ไม่ได้วัดจากสถานะ แต่จากการลงมือทำร่วมกัน ทุกคนต่างนั่งขัดพื้น ล้างโถส้วมด้วยกัน และได้เห็นความเป็น “ปุถุชนธรรมดา” ที่เท่าเทียมกันอย่างแท้จริง…”
สวัสดีครับ
เดือนตุลาคมปี ค.ศ. 2004 หอแสดงดนตรี Royal Albert Hall ใจกลางกรุงลอนดอนแน่นขนัดไปด้วยผู้ชมที่ตั้งตารอคอนเสิร์ตของ ร็อด สจ๊วต (Rod Stewart) บัตรถูกขายหมดตั้งแต่ 6 เดือนก่อน ถือเป็นการแสดงรอบสุดท้ายของการทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลก การแสดงยาวกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง เต็มไปด้วยเพลงฮิตระดับตำนาน เช่น Maggie May, Have You Ever Seen the Rain, Tonight’s the Night และ Sailing ก่อนจะปิดท้ายด้วยเพลง “I Don’t Want to Talk About It” ที่เขาเคยร้องจนขึ้นอันดับ 1 ในสหราชาณาจักร เมื่อปี ค.ศ. 1977

ในเพลงสุดท้ายนี้ ร็อดส จ๊วต ได้เชิญสาวน้อยวัยรุ่นคนหนึ่งขึ้นมาร้องคู่ เธอคือ เอมี่ เบลล์ (Amy Belle) ที่แม้จะเริ่มต้นด้วยความเขินอาย แต่เมื่อเสียงเพลงดำเนินไป เธอสามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างกลมกลืนและทรงพลัง จนผู้ชมปรบมือกึกก้องยาวนาน ร็อด สจ๊วต จึงแนะนำชื่อเธอให้โลกได้รู้จัก และนับแต่นั้น เบลล์ได้กลายเป็นดาวรุ่งชั่วข้ามคืน มีผู้เข้าชมวิดีโอการร้องเพลงคู่ครั้งนั้น บน YouTube กว่า 1.2 พันล้านครั้ง ตลอด 21 ปีที่ผ่านมา
เบลล์ถูกค้นพบโดยทีมงานของร็อด สจ๊วต ขณะร้องเพลงเปิดหมวกในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน แม้จะมีความเสี่ยงร้องล่มกลางเวที แต่สจ๊วตเลือกให้โอกาสเธอ เพราะเชื่อว่าการสานฝันของคนหนึ่งคน คือการสร้างคุณค่าทางสังคม นี่จึงเป็นตัวอย่างของกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) ที่ใช้พลังของดนตรีและธุรกิจเพื่อแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม
เรื่องราวนี้ถูกยกขึ้นโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ อดีตวุฒิสมาชิกและอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในการบรรยายหัวข้อ “Social Enterprise: Doing Good and Doing Well” ให้กับผู้อบรมหลักสูตรวิทยาการประกันภัยระดับสูง รุ่นที่ 13 เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568

คุณหมอเฉลิมชัยอธิบายว่า กิจการเพื่อสังคมเกิดขึ้นครั้งแรกในอังกฤษช่วงปี ค.ศ. 1970 จากแนวคิดของ ฟรีเออร์ สเปรคลีย์ (Freer Spreckley) ที่ก่อตั้ง Social Enterprise Partnership เพื่อแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยใช้ธุรกิจที่สร้างกำไรควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่พึ่งเงินบริจาคหรือโครงการพิเศษ ตัวอย่างเช่น ร็อด สจ๊วต ที่ให้โอกาส เอมี่ เบลล์ และเจมี โอลิเวอร์ (Jamie Oliver) เชฟชื่อดังที่เปิดร้าน Fifteen Cornwall และจ้างอดีตนักโทษมาฝึกเป็นพ่อครัวและบริกร โดยสรุป กิจการเพื่อสังคมคือ การดำเนินกิจการใด ๆ ตามจิตและเจตนาที่ดีเพื่อส่วนรวมตามกระบวนการที่ดีเยี่ยมของภาคธุรกิจ
คุณหมอเฉลิมชัยเติบโตมาจากครอบครัวที่เปิดร้านขายของชำ โดยมีบ่อนการพนันอยู่ข้างบ้าน ประสบการณ์ในวัยเด็ก ทำให้ท่านได้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างชัดเจน พร้อมทั้งได้เรียนรู้จากแบบอย่างของคุณพ่อที่เป็น “ผู้ให้” ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการตอบแทนสังคมในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม คุณหมอเฉลิมชัยมีความเชื่อว่า การคืนกลับให้กับสังคมไม่ควรอยู่เพียงในรูปแบบของการสงเคราะห์หรือการให้เปล่า เพราะการช่วยเหลือเช่นนั้น หากทำซ้ำทุกปีอาจไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงและยั่งยืน สิ่งที่สำคัญกว่าคือ การทำให้ผู้รับสามารถ “ยืนได้ด้วยตัวเอง” ผ่านการสร้างพลังและโอกาส (empowerment) เพื่อให้ความช่วยเหลือที่มอบไปนั้นนำไปสู่การพัฒนาที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

ตลอด 4 ปีที่ดำรงตำแหน่งอธิการบดี คุณหมอเฉลิมชัยได้ซื้อไดอารีมา 4 เล่ม เพื่อบันทึกกิจกรรมที่ตั้งใจจะทำในแต่ละวัน รวมแล้วกว่า 1,400 กิจกรรม แม้จะทำได้ไม่ถึงครึ่ง แต่ทุกกิจกรรมล้วนสะท้อนถึงความตั้งใจจริง หนึ่งในนั้นคือ การชวนให้นักศึกษาร่วมกันล้างห้องน้ำในอาคารเรียน
กิจกรรมเล็ก ๆ นี้กลับสร้างผลลัพธ์ใหญ่หลวง นักศึกษาที่เคยรู้สึกเขินอายฐานะครอบครัว จนไม่กล้าชวนพ่อแม่มางานรับปริญญา ได้เรียนรู้ว่า ความเสมอภาคของมนุษย์ไม่ได้วัดจากสถานะ แต่จากการลงมือทำร่วมกัน ทุกคนต่างนั่งขัดพื้น ล้างโถส้วมด้วยกัน และได้เห็นความเป็น “ปุถุชนธรรมดา” ที่เท่าเทียมกันอย่างแท้จริง
หนึ่งในความทรงจำที่คุณหมอเฉลิมชัยยกให้เป็นที่สุดคือ เรื่องราวของ ทิพภาวรรณ พลล่องช้าง (น้องแนน) เด็กสาวผู้ไม่ยอมให้ข้อจำกัดทางร่างกายมาขวางกั้นความฝัน วันที่สอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ณ อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี มีผู้เข้าสอบกว่า 30,000 คน แต่รับเพียง 3,000 คน น้องแนนโดดเด่นท่ามกลางผู้สอบ เพราะเธอไม่มีแขนทั้งสองข้างและใส่ขาเทียมข้างซ้าย แต่กลับนั่งเขียนข้อสอบด้วยการห่อแขนตัวเองอย่างมั่นใจ และลายมือยังสวยกว่าหลาย ๆ คน

แม้เธอสอบไม่ติดคณะวิทยาศาสตร์ตามที่ตั้งใจไว้ แต่ทำคะแนนสูงใน 3 วิชาหลัก คุณหมอจึง ไม่เลือกให้โควต้าพิเศษ แต่กลับมอบโอกาสที่เหมาะสม โดยแนะนำให้เธอสมัครสอบรอบสองที่วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มศว. ซึ่งเน้นวิชาที่เธอถนัด และผลลัพธ์คือ น้องแนนสอบติด พร้อมเรียนจบด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เหรียญทอง เกรดเฉลี่ย 3.67 จากเด็กสาวผู้ใช้แขนห่อเขียนข้อสอบ วันนี้ เธอกลายเป็นอาจารย์ประจำคณะ และตั้งใจจะไปศึกษาต่อระดับปริญญาเอกในต่างประเทศ เรื่องราวของเธอคือหลักฐานชัดเจนว่า ความพยายามและโอกาสที่ถูกต้อง สามารถเปลี่ยนชีวิตได้จริง และการทำให้ผู้รับสามารถ “ยืนได้ด้วยตัวเอง” ตามแนวคิดกิจการเพื่อสังคม
แม้คุณหมอเฉลิมชัยจะเกษียณแล้ว แต่หัวใจแห่งการทำเพื่อสังคมยังคงเต้นแรง ท่านมีส่วนร่วมในการสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่ที่จังหวัดระยอง และเปิดโอกาสให้พยาบาลที่เป็นเด็กกำพร้าได้ เข้าทำงานเพราะเชื่อว่าพวกเขาคือคนที่มีความมุมานะและพร้อมต่อสู้กับชีวิต นอกจากจะตอบโจทย์ “Doing Good” ด้วยการให้โอกาสผู้ด้อยโอกาสแล้ว ยังตอบโจทย์ “Doing Well” ให้กับโรงพยาบาล เพราะพยาบาลกลุ่มนี้มักไม่ลาหยุดในช่วงเทศกาล เนื่องจากไม่มีครอบครัวให้กลับไปเยี่ยม ทำให้โรงพยาบาลมีบุคลากรพร้อมดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง
คุณหมอเฉลิมชัยกล่าวทิ้งท้ายว่า “ปัจจุบันมีบริษัทในประเทศไทยกว่า 100 แห่ง ที่ดำเนินงานตามหลัก “กิจการเพื่อสังคม” (Social Enterprise) และเชื่อว่า พระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจ เพื่อสังคม พ.ศ. 2562 จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้ธุรกิจไทยเดินไปบนเส้นทางที่สร้างคุณค่าต่อสังคมอย่างแท้จริง”
รณดล นุ่มนนท์
17 พฤศจิกายน 2568
แหล่งที่มา:

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา