
“…ความจริงแล้ว แบงก์ชาติอยากให้ค่าเงินบาทเหมาะสม สะท้อนสถานะทางเศรษฐกิจที่แท้จริง นี่คือ position ของเรา ถ้าถามว่าตอนนี้มันสะท้อนหรือไม่ ก็ตอบว่า มันสะท้อนจาก flow เงินที่เข้า แต่ถ้าถาม ถ้าค่าเงินบาทอ่อนกว่านี้ เอื้อประโยชน์หรือไม่ ก็ตอบว่าเอื้อให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่มันก็มีข้อจำกัดในเรื่องพื้นฐานของมันเองเหมือนกัน…”
.....................................
หมายเหตุ : นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวภายในงาน GovernorConnect สัญจร เมื่อวันที่ 22 พ.ย.2568
บทบาทหน้าที่ของแบงก์ชาติ เน้นหนักเรื่องดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค ผ่านการใช้นโยบายการเงินเป็นหลัก ซึ่งเรื่องเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค ถ้าพูดตรงๆ ตามภาษาชาวบ้าน ก็คือเงินเฟ้อต่ำ ควบคุมได้ สถาบันการเงินแข็งแรง ระบบการชำระเงินเข้มแข็ง และมีเสถียรภาพ
วันนี้ปัญหาความเสี่ยงของเรา อาจไม่ได้อยู่ในเรื่องเสถียรภาพมากนัก มีประเด็นที่เราอยากจะขยาย อยากจะเข้าไปดูแลปัญหาเศรษฐกิจในเชิงโครงสร้าง ด้วยการออกมาตรการเฉพาะจุด โดยเข้าไปแก้ปัญหาบางเรื่องและหลายๆเรื่อง ซึ่งในช่วงเกือบๆ 2 เดือนที่ผ่านมา เราพยายามทำอย่างนี้ตลอด
แน่นอนว่า หน้าที่หลักในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาคก็ทำไป แต่เราก็ขยายบทบาทเข้ามาช่วยดูแลเศรษฐกิจ เข้ามาแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอื่นๆด้วย โดยทำในบริบทที่แบงก์ชาติควรจะทำ ขอย้ำว่า ไม่ได้เข้าไปทำทุกเรื่อง แต่ทำในสิ่งที่ควรจะทำ เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งหลาย
อันนี้จะสอดคล้องกับค่านิยมของเรา คือ ‘ยืนตรง มองไกล ยื่นมือ ติดดิน’ ถ้าเราเข้าไปอยู่ใกล้ชิดประชาชน อยู่ใกล้ชิดปัญหา เข้าไปร่วมแก้ปัญหามากขึ้น ก็เหมือนกับเรายื่นมือเข้าไปช่วยแก้ปัญหาเชิงสังคม ช่วยแก้ปัญหาเชิงเศรษฐกิจ ช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง แล้วก็อยู่ใกล้กับประชาชน อยู่ใกล้กับสังคมมาก
ถ้าจะทำอย่างนี้ เราต้องออกโครงการหรือมาตรการเฉพาะจุดเข้ามาเสริม
ตัวแรกที่เราออกไปแล้ว คือ การแก้หนี้ครัวเรือน เราเห็นว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาสำคัญ เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เราได้ออกมาตรการโอนหนี้ NPLs (หนี้เสีย) ไม่เกิน 1 แสนบาท 1.6 ล้านบัญชี เข้าไปในบรรษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท หรือ SAM ซึ่งแบงก์ชาติถือหุ้นทางอ้อมผ่านกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 100%
โดยใช้เงินจากแหล่งเงิน FIDF (เงินนำส่งเงินสมทบกองทุนฟื้นฟูฯ) ที่เหลืออยู่จากโครงการ ‘คุณสู้เราช่วย’ เข้าไปดำเนินการ เราได้ประกาศโครงการไปแล้ว ตอนนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินโครงการ ซึ่งน่าจะ cut off และโอนบัญชีทั้งหมดได้ในวันที่ 1 ม.ค.2569
แล้วเรายังเข้าไปปรับตัวของ SAM ด้วย มีการส่งผู้บริหารใหม่เข้ามา โดยมอบหมายรองผู้ว่าฯ เป็นประธาน แล้วก็ปรับโครงสร้าง ปรับกระบวนการ ปรับวิธีทำงานของ SAM ใหม่ ใส่ซอฟต์แวร์ ใส่ระบบเข้าไปใหม่ เพื่อที่จะมาดูแลรายย่อย 1.6 ล้านบัญชี และหวังว่าส่วนหนึ่งในนี้ 5 แสนราย 8 แสนราย จะหลุดพ้นจากการเป็นหนี้เสียได้
เราจะช่วยคนเหล่านี้ ให้กลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ อันนี้เป็นโครงการเฉพาะจุด มาตรการเฉพาะจุด ที่เสริมกับการดำเนินนโยบายการเงิน เพราะเราเห็นว่าหนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง
แต่อย่างที่บอก มันไม่ใช่การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่จะแก้สำเร็จด้วยการออกมาตรการเพียงมาตรการเดียว มันเหมือนจิ๊กซอว์ที่ต้องต่อออกไปเรื่อยๆ แก้ไปเรื่อยๆ แล้วมันจะค่อยๆ บรรเทาไป ซึ่ง ‘คุณสู้ เราช่วย’ ก็ดี AMC ที่ทำก็ดี มันก็ต้องออก มันต้องแก้ไปเรื่อยๆ แต่มันจะดีขึ้น มันจะบรรเทาขึ้นไปเรื่อยๆ
แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้ ที่การออกมาตรการเพียงหนึ่งมาตรการ หรือกดปุ่มปุ๊บ แล้วปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศจะหายไป ใครพูดอย่างนั้น ก็ไม่จริง เราอยู่บนความจริง จึงต้องค่อยๆแก้ ค่อยๆทำไปเรื่อยๆ
@ดึงเงินนำส่ง‘FIDF’ 2 หมื่นล้าน ตั้งกลไกค้ำประกันสินเชื่อ SMEs
เรื่องที่สอง ที่อยากจะเล่าให้ฟัง และเป็นปัญหาที่เราเห็นวันนี้ คือ การเติบโตของสินเชื่อติดลบต่อเนื่องกันมา ถ้าเป็นสินเชื่อโดยรวมติดลบมาแล้ว 5 ไตรมาส แต่ถ้าเป็นสินเชื่อ SMEs เดือนที่แล้วติดลบ 4% ในขณะที่สินเชื่อ SME ติดลบต่อเนื่องมาแล้ว 13 ไตรมาส และตรงนี้มันมีปัญหาจริงๆ
เศรษฐกิจไม่สามารถกระเตื้องขึ้นได้เลย ถ้า SMEs ไม่สามารถกลับมาได้ ถ้าสินเชื่อ SMEs ยังติดลบอยู่ ยังหดตัวอยู่อย่างนี้ เราจึงพยายามจะเข้ามาแก้ปัญหานี้
ถามว่าทำไมสินเชื่อ SMEs โดยรวมหดตัว หนึ่ง เศรษฐกิจไม่ดีมากนัก เศรษฐกิจช่วงนี้ไม่ค่อยดี ทุกคนยอมรับ มีปัญหาเชิงโครงสร้าง มีอะไรมากมาย พอเศรษฐกิจไม่ดี ความต้องการที่จะกู้ก็ลดลง พอดีมานด์ที่จะกู้บริโภคลดลง โรงงานและธุรกิจ SMEs ที่ต้องการขยายกำลังการผลิต ลงทุน ก็มีความต้องการใช้สินเชื่อลดลง นี่เป็นเรื่องจริงที่ต้องยอมรับ
แต่อีกข้างหนึ่ง มี SMEs จำนวนมาก อยากกู้ แต่กู้ไม่ได้ แบงก์ไม่ปล่อย สถาบันการเงินไม่ปล่อย ทุกคนระวังตัว เพราะต้นทุนความเสี่ยงสูง credit cost สูง ปล่อยไปแล้วอาจจะเป็น NPLs หรือไม่ ปล่อยไปแล้วจะได้คืนหรือไม่ นี่คือปัญหาเรื่อง credit cost เราจึงเข้ามาแก้ปัญหาเรื่อง credit cost
สิ่งที่เราพยายามทำ คือ เราจะสร้างกลไกขึ้นมา ซึ่งเป็นเหมือนกลไกการค้ำประกันของสินเชื่อ SMEs แล้วก็หวังว่า อันนี้จะช่วยลด credit cost ลดต้นทุนความเสี่ยงทางด้านเครดิต ทำให้สถาบันการเงินกลับมาปล่อยสินเชื่อได้ อันนี้จะออกมาเสริมกับมาตรการของรัฐบาลที่จะทำในเรื่อง บสย. ซึ่งเป็นคนละกลุ่มเป้าหมายกัน รวมทั้งจะทำเรื่องซอฟต์โลนด้วย
สิ่งที่เราทำ อาจจะมีการจัดตั้งกองทุนขึ้นมา หรือสร้างกลไกอะไรขึ้นมาสักอันหนึ่ง โดยทั้งหมดนี้อยู่ระหว่างการหารือ โครงการนี้เป็นงานที่ทำร่วมกันระหว่างรัฐบาล แบงก์ชาติ และสมาคมธนาคารไทย ซึ่งต้องขอบคุณรัฐบาลที่เข้ามาผลักดันแก้ปัญหา และรมว.คลัง เอง ก็อยากทำตรงนี้ อยากแก้ปัญหานี้ จึงมาผลักดันร่วมกับแบงก์ชาติ
ทั้งนี้ ในหลัก เราคิดว่าเราจะใช้เงินจาก FIDF ที่เหลืออยู่ หรือ FIDF ใหม่ในปีถัดไป (ปี 2569) ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท แล้วเอามาตั้งกองทุนหรือกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ ซึ่งหวังว่าจะได้ประมาณ 1 แสนล้านบาท คนที่จะกู้ได้ คือ SMEs ตัวเล็ก ตัวกลาง ตัวใหญ่ แต่ต้องอยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เราเห็นว่า มีขีดความสามารถในการแข่งขันต่อไป
หรืออยู่ในจุดธุรกรรมที่เราต้องการให้เกิดขึ้น ต้องการเห็น เช่น อุตสาหกรรมเป้าหมายใน Reinvent Thailand จำนวน 5 อุตสาหกรรม อาทิ อาหาร อาหารแปรรูป เกษตร เกษตรแปรรูป และ wellness หรืออาจจะเพิ่มอุตสาหกรรมส่วนอื่นเข้ามา เช่น ค้าส่งค้าปลีก เป็นต้น ซึ่งต้องหารือกับสมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมฯ สภาหอการค้าฯต่อไป
หรืออาจจะเป็นธุรกรรมบางอย่างที่เราต้องการส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น การลงทุนเรื่อง Green เรื่อง EV และเรื่องดิจิทัล เป็นต้น พวกนี้อยู่ระหว่างการหารือ ซึ่งมันจะเป็นการ target เป้าหมายในอุตสาหกรรมนั้นๆ หรือในธุรกรรมที่เราต้องการส่งเสริม เป็นการพุ่งตรงเข้าไป ไม่ใช่การกระจายแบบทั่วไป
แล้วแบงก์ที่เข้ามาปล่อยสินเชื่อ สามารถเข้ากลไกนี้ ลดความเสี่ยงได้ 10-30% ซึ่งจะมีลักษณะที่ต้องตกลงกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นส่วนสินเชื่อที่มีหลักประกันอาจจะให้การค้ำประกันเพียง 10% แต่ถ้าไม่มีหลักประกันอาจจะให้การค้ำประกันเพิ่มเป็น 30% ซึ่งจะทำให้ SMEs ที่ไม่มีรับประกันสามารถเข้าถึงได้
ถามว่าทำไมจึงเฉลี่ยมาประมาณ 20% ก็เป็นเพราะความเสี่ยงสูงๆของตัว SMEs อยู่ที่ประมาณ 20% ก็หวังว่ามันจะลดความเสี่ยงตรงนี้ได้
เพราะฉะนั้น แบงก์ที่เข้ามาในโครงการฯ เข้ามาปล่อยสินเชื่อให้ SMEs ในกลุ่มเป้าหมาย เขาก็จะมั่นใจว่า ถ้ามีอะไรเสียหาย เขาก็จะสามารถเคลมได้ 20% โดยเฉลี่ย หรือเคลมได้ 30% กรณีไม่มีหลักประกัน และจะเป็นโครงสร้างที่ simplify ง่ายในการเบิกเงิน ในการทำการค้ำประกัน ไม่ซับซ้อน แล้วก็ไม่ต้องการคำนวณอะไรมากมาย เหมือน บสย.
ในส่วนนี้ เราจะปรับไปก่อน เพื่อกระตุ้นทำให้เกิดการปล่อยปล่อยสินเชื่อ และหวังว่า 1 แสนล้าน จะออกไปได้ กระจายตรงจุด กระจายให้กับ SMEs จำนวนมาก และมีอิมแพคแน่นอน เพราะว่า 1 แสนล้าน ของ SMEs ถือว่าเป็นไซส์ที่ใหญ่พอสมควร แล้วก็คล่องตัวมาก เมื่อเทียบกับกลไกการค้ำประกันในปัจจุบัน โดยหวังว่าจะเสร็จภายในสิ้นปีนี้
ดังนั้น ในปีหน้าถ้าแบงก์ไหนอนุมัติสินเชื่อ ก็ได้สิทธิ์ตรงนี้ แต่มันคงไม่สามารถแก้ได้เบ็ดเสร็จ และเดี๋ยวจะต้องออกอะไรต่อมาอีก เช่น ซอฟต์โลนก็ดี หรืออะไรก็ดีที่ต่อออกมา ซึ่งมันจะทำให้ปัญหาเชิงโครงสร้างค่อยๆ บรรเทา ในขณะที่ตัว NaCGA (National Credit Guarantee Agency หรือ สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ) ยังไม่เกิด
โดยขณะนี้เรายังอยู่ระหว่างการหารือกันว่า วงเงินสูงสุดของ SMEs แต่ละรายหรือในแต่ละอุตสาหกรรมได้รับ จะอยู่ที่เท่าไหร่ อาจจะเป็น 50 ล้านบาท หรือจะเป็น 100 ล้านบาท และเราก็จะเร่งการปล่อย คือ ถ้าใคร (แบงก์) ปล่อยก่อน ก็ได้ก่อน หรือ first come first served
@ชี้‘บาทแข็ง’มีปัจจัยรองรับ ชี้ต้องการให้‘ค่าเงิน’สะท้อนความจริง
เรื่องค่าเงินบาทแข็ง เป็นปัญหาโลกแตก แล้วก็มีคนบอกว่าแบงก์ชาติไม่ทำอะไรเลย อันนี้น่าโมโห และที่อยากจะเล่าให้ฟัง คือ การแข็งค่าของค่าเงินบาท เกิดมาจาก 2 ปัจจัยหลัก หนึ่ง ค่าเงิน US ดอลลาร์ อ่อน เงิน US อ่อนค่าไปแล้วประมาณ 7% ทำให้เงินทุกสกุลเวลาซื้อขาย จึงแข็งค่าโดยสภาพ ถ้าไม่มีปัจจัยอะไรอื่นเพิ่มเติม
สำหรับไทย เรามีปัจจัยอื่นมาเกี่ยวข้องด้วย คือ เราเกินดุลบัญชีเดินสะพัด เพราะในช่วงต้นปี เราส่งออกได้ดีมาก เราเกินดุลบัญชีเดินสะพัดต้นปี 11.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินบาทจึงแข็ง ต้นปีเราอยู่ที่ 34.1 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แล้วมาเป็น 33.91 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แล้วก็แข็งต่อเป็น 32.51 บาท/ไตรมาส ภายใน 1 ไตรมาส หรือแข็งค่า 1.50 บาท
แต่หลังจากนั้น ดุลบัญชีเดินสะพัดเราเกินดุลลดลงจาก 11.2 พันล้าน เหลือ 0.9 พันล้าน 2.7 พันล้าน และ 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามประมาณการของสิ้นปีนี้ ค่าเงินบาทก็เลยหยุดนิ่งที่ประมาณ 32.4 ฉะนั้น จึงต้องเข้าใจก่อนว่า มันมีแรงขับเคลื่อน (ค่าเงินบาท) ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยพื้นฐานจริงๆ
ค่าเงินบาทแข็งค่าจากปัจจัยพื้นฐานจริงๆ คือ เงิน US อ่อน และเกินดุลบัญชีเดินสะพัด มันตอบกันตรงๆอย่างนี้
เมื่อถามว่า เราเห็นต่อไปอย่างไร ก็หวังว่าปีหน้าจะดีขึ้น เพราะการเกินดุลฯน่าจะลดลง เนื่องจากการส่งออกน่าจะกลับมาสู่สมดุล หลังจาก front load มาตั้งแต่ต้นปี และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดปีหน้าน่าจะลดลง แล้วถามว่าแบงก์ชาติอยากเห็นอะไร ขอตอบว่าแบงก์ชาติอยากเห็นค่าเงินบาทที่มันอ่อน เหมาะสมกับภาวะทางเศรษฐกิจจริงของเรา
แล้วมีคนถามต่อว่า ค่าเงินบาทเราแข็งประมาณ 5% แต่มันมีประเทศที่ค่าเงินแข็งกว่า และบางประเทศแข็งน้อยกว่า แล้วก็ถาม ทำไมแบงก์ชาติไม่แทรกแซง ไม่เห็นทำอะไรเลย
ขอตอบว่า เราอยู่ภายใต้เกณฑ์อยู่เกณฑ์หนึ่ง ซึ่งสหรัฐฯบังคับใช้มาหลายปีมาก บังคับใช้มา 5 ปี 10 ปีแล้ว คือ Currency manipulation สหรัฐฯจะเฝ้าติดตามประเทศคู่ค้าด้วยเกณฑ์ 3 เกณฑ์ และถ้าเข้าทั้ง 3 เกณฑ์ แปลว่า เราบริหารจัดการค่าเงินผิดไปจากเกณฑ์ของสหรัฐ และผิดจากแนวทางของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
คือ ถ้าเกินดุลการค้ากับสหรัฐ 15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และถ้ามี Current account (ดุลบัญชีเดินสะพัด) บวกมากกว่า 3% โดยปกติ 2 ตัวนี้ ของเราเกิดอยู่แล้ว มันจึงตกมาที่ข้อ 3 คือ เราซื้อ FX (การซื้อขายเงินตราต่างประเทศ) มากกว่า 2% ของจีดีพีหรือไม่ และ 2% ของจีดีพีนี้ มันเป็นจำนวน ซึ่งห้ามมากกว่านี้ใน 12 เดือน
แม้ว่าจำนวนตรงนี้ จะไม่ถึงกับใหญ่โต แต่ก็ทำให้เราเข้าไปซื้อขายเงินสกุลดอลลาร์เพื่อลดความผันผวนได้ และเราไม่สามารถเทหน้าหมดตัก เพื่อตรึงค่าเงินบาทเอาไว้ เช่น ตรึงค่าเงินที่ 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ฉะนั้น หากมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเข้ามาอย่างรุนแรง สิ่งที่ทำได้ การช่วยลดความผันผวน แต่ไม่สามารถทำให้ค่าเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนได้
แต่ถามว่าวันหนึ่ง มันเกิดภาวะจำเป็นจริงๆ มีคนโจมตีค่าเงิน ถามว่าเราพร้อมจะควักทุนสำรองฯออกมาหรือไม่ ขอบอกว่าเราพร้อมเต็มที่ในการป้องกัน แต่ว่า ณ สภาวะอย่างนี้ หน้าที่เรา คือ ลดความผันผวน
แล้วคนก็ถามต่อว่า แล้วทำไมค่าเงินดองของเวียดนามจึงอ่อน ทำไมเงินเวียดนามอ่อน 3% แต่ของไทยแข็งค่า 5% นักเศรษฐศาสตร์ที่ชอบออกโซเชียลหรือยูทูปก็จะพูดอย่างนี้ แต่ในชีวิตจริง ถ้าไปดูเวียดนาม เขามีปัญหาเชิงโครงสร้างของเขา ค่าเงินดองอ่อนตลอดเวลา จนคนเอาเงินออกจากเวียดนาม ค่าเงินจึงอ่อน
แม้แต่เงินที่เข้าเวียดนามจากการส่งออก ก็ไม่แปลง แต่นำมาเก็บเป็นดอลลาร์ นี่คือพฤติกรรมของเขา เขามีปัญหาของเขาอีกเรื่องหนึ่ง แน่นอนว่าการที่เงินดองอ่อนต่อเนื่อง อาจช่วยการส่งออกก็จริง แต่มันส่งผลเรื่องอื่นต่อเนื่อง เช่น ความมั่นคงของเสถียรภาพก็ดี การนำเข้าสินค้าที่มีราคาแพงขึ้น เงินเฟ้อก็ดี และอีกหลายเรื่องที่ตามต่อมา
ฉะนั้น เรากำลังจะบอกว่า ทำไมประเทศนี้เป็นแบบนี้ แล้วทำไมเราไม่เป็นแบบนี้ และคงดูแค่นั้นไม่ได้ ต้องดูบริบทและความเป็นไปสภาพเศรษฐกิจแต่ละประเทศด้วย
เมื่อถามว่าแบงก์ชาติอยากเห็นค่าเงินบาทอ่อนสะท้อนสภาวะมากกว่านี้หรือไม่ ถ้าตรงไปตรงมา ผมคิดว่าค่าเงินบาท สามารถอ่อนกว่านี้ได้ แต่เนื่องจากเงินยังเข้าในช่วงต้นปี สถานะดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่ในสถานะดีขึ้น มันอยู่ในทางเดียวกันหมด มันจึงไม่ใช่แบงก์ชาติอยากเห็นเงินแข็งตลอดเวลา แต่เป็นเพราะพื้นฐานเป็นอย่างนี้ เรื่องจริงเป็นอย่างนี้
แล้วถามว่าเราจะแทรกแซงได้แค่ไหน เราจะทำให้มันกลับทิศได้หรือไม่ แน่นอนว่า เราทำได้ แต่มันผิดเกณฑ์ แล้วถามว่า จะต้องเชื่อเกณฑ์ของสหรัฐหรือไม่ ผมก็คิดว่า ถ้าทุกคนในประเทศนี้ รัฐบาล หอการค้า สภาอุตสาหกรรมฯ บอกว่า โอเค เรายอม และพร้อมให้แบงก์ชาติทำในข้อนี้เลย เดิมเราโดนภาษี 19% อยู่แล้ว ภาษีจะเป็นเท่าไหร่ก็ได้ เรายินดี
แต่ต้องแน่ใจว่า เราจะทำอย่างนั้น ไม่เช่นนั้นแล้ว มันจะกลายเป็นความรู้สึกว่า แบงก์ชาติอยากให้ค่าเงินบาทแข็ง ซึ่งความจริงแล้ว แบงก์ชาติอยากให้ค่าเงินบาทเหมาะสม สะท้อนสถานะทางเศรษฐกิจที่แท้จริง นี่คือ position ของเรา ถ้าถามว่าตอนนี้มันสะท้อนหรือไม่ ก็ตอบว่า มันสะท้อนจาก flow เงินที่เข้า
แต่ถ้าถาม ถ้าค่าเงินบาทอ่อนกว่านี้ เอื้อประโยชน์หรือไม่ ก็ตอบว่าเอื้อให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่มันก็มีข้อจำกัดในเรื่องพื้นฐานของมันเองเหมือนกัน
@บริบทประเทศไทยไม่เหมาะสมทำ QE แต่ต้องทำให้‘แบงก์’ปล่อยกู้
เรื่องสุดท้าย มันจะมีนักเศรษฐศาสตร์จำนวนหนึ่งที่ชอบออกมาพูดว่า ทำไมประเทศไทยไม่ทำ QE (Quantitative Easing คือ มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ) ทำไมเราไม่ทำ QE โดย QE จะทำให้เกิดปริมาณเงินเพิ่มขึ้น เราต้องแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มปริมาณเงิน ทำ QE เพราะ QE คือ การปั๊มเงินเข้าสู่ระบบ
ในต่างประเทศ การทำ QE คือ การเข้าไปซื้อบอนด์ (พันธบัตร) ตัวยาว คือ พันธบัตรอายุ 30 ปี ซึ่งจะทำให้ yield curve ชองบอนด์ตัวยาวลดลง แล้วสิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ หนึ่ง ดอกเบี้ยพันธบัตรตัวยาวลง และสอง เงินเข้าสู่ระบบ แต่ประเทศที่ทำอย่างนั้น เช่น อเมริกาก็ดี ยุโรปก็ดี โดยเฉพาะอเมริกา
อัตราดอกเบี้ยบอนด์ตัวยาว มันเชื่อมโยงกับ real sector มันเชื่อมโยงกับการกลไกทางธุรกิจทางเศรษฐกิจ เช่น คนกู้บ้านในอเมริกา การ pricing อัตราดอกเบี้ย เขาจะใช้ดอกเบี้ยพันธบัตร US 30 ปี แล้วก็บวกมาร์จิ้นเข้าไป ฉะนั้น พอดอกเบี้ยพันธบัตรลง มันก็เป็นการกระตุ้น money supply และกระตุ้นเศรษฐกิจไปโดยสภาพ
แล้วก็ยังเชื่อมไปถึงการออกหุ้นกู้ของเอกชนด้วย เพราะเอกชนจะออกหุ้นกู้โดยเชื่อมกับบอนด์ตัวยาว เมื่อบอนด์ตัวยาวลง ต้นทุนหุ้นกู้ก็ลดลง และก็มีผลจริง
แต่สำหรับประเทศไทย ซึ่งเป็น bank base หุ้นกู้ที่ออกอายุ 3 ปี 2 ปี 5 ปี หรือเต็มที่ก็เป็น 10 ปี ถ้าไปดูจะเห็นว่าไม่มีพวก 20 ปี หรือ 30 ปี นานๆจะเจอครั้ง ฉะนั้น การลดลงของดอกเบี้ยบอนด์ตัวยาว จึงมีผลต่อเศรษฐกิจจำกัดอย่างมากในบริบทของไทย อีกอย่างบอนด์ตัวยาวของไทย ดอกเบี้ยก็ถูกมากๆ เข้าใจว่า curve อยู่ที่ 2% นิดๆ
ถ้าเพิ่ม QE เข้าไป กดบอนด์ตัวยาว แล้วจะมีผลต่อเศรษฐกิจไทยเหมือนในต่างประเทศหรือไม่ ผมคิดว่า มีจำกัด แน่นอนว่าถ้าทำ QE มันมีเงินเข้าระบบ เพราะเมื่อซื้อบอนด์ เงินก็เข้าระบบ เงินเข้าระบบ money supply แล้วทุกคนก็บอกว่า เพิ่มปริมาณเงินอย่างนี้ดีมาก ผมได้ยินคนพูดอย่างนี้ตลอด และตอนแรกผมเองก็คิดแบบนี้
แต่พอกลับมาคิดใหม่ อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเรา สมมุติว่าตอนนี้อยู่ที่ 1.5% ดอกเบี้ย R/P ก็ตรึงที่ 1.5% เช่นกัน มันจะวิ่งตามกัน ถ้าปั๊มเงินซื้อบอนด์ แล้วคนยังไม่กู้เพิ่ม มันจะทำให้เงินไหลกลับเข้า R/P เท่ากับเงินจำนวนนั้นทันที ปริมาณเงินในระบบก็ไม่เพิ่ม แต่กลับทำให้แบงก์ชาติมีต้นทุน 1.5% เพิ่มขึ้นโดยสภาพ
นี่คือบริบท นี่คือโครงสร้างของเมืองไทย นอกจากว่า จะรื้อโครงสร้างว่ากันใหม่ แต่ก็คงไม่ใช่ในช่วงนี้แน่นอน
และหากจะปริมาณเงินในระบบ มันก็เพิ่มได้ แล้วให้มันอยู่ยาว แล้วมีผล ต้องทำให้แบงก์ปล่อยสินเชื่อเพิ่ม เพราะถ้าแบงก์ปล่อยสินเชื่อเพิ่ม ปริมาณเงินจะเพิ่มเอง เมื่อแบงก์ปล่อยสินเชื่อเพิ่ม แล้วภาคธุรกิจมีการซื้อขายกันต่อเนื่อง มันก็จะเป็นการเพิ่ม Velocity multiplier เข้าไปอีก
ฉะนั้น หลักก็คือ ถ้าจะเพิ่มปริมาณเงินให้ได้ ต้องเพิ่มด้วยการปล่อยสินเชื่อ ต้องทำให้สินเชื่อโตให้ได้ จึงต้องกลับมาที่มาตรการที่ผมบอกว่า ทำไมเราสนใจให้ยกหรือแก้ปัญหาเรื่องโครงสร้าง ยกระดับระดับ และพยายามแก้ปัญหาเรื่องการติดลบของสินเชื่อ แต่ก็ไม่ง่าย เพราะสินเชื่อ SMEs ติดลบต่อเนื่องมาแล้ว 13 ไตรมาส
และอย่าคิดว่า โครงการที่ออกไป กดปุ่มแล้วจะหายเลย แต่นั่นเป็นอีกหนึ่งในหลายจิ๊กซอว์ที่ต้องออกมา พอเศรษฐกิจเริ่ม turn around ดีขึ้น ความต้องการกู้ มันจะมากขึ้น ความเสี่ยงมันจะลดลง แล้วมันจะค่อยๆ หมุนไป แต่ต้องใช้เวลาแก้ อันนี้ผมพยายาม clarify ในประเด็นที่มีนักเศรษฐศาสตร์ข้างนอกจำนวนมาก พูดว่าทำไมแบงก์ชาติไม่ทำ QE
@ออกมาตรการจัดการ‘ทุนเทา’-จ่อคลอดเกณฑ์รายงานซื้อขาย‘ทอง
ในเรื่องการจัดการ ‘ทุนเทา’ นั้น ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน ธปท. ไม่มีข้อมูล flow บาท โดยถ้ามีธุรกรรมต้องสงสัยจะนำส่ง ปปง. (เช่น ธุรกรรมเงินสดเกิน 2 ล้านบาท)
ดังนั้น การจัดการกับทุนเทา ธปท. จะดำเนินการเพิ่มขึ้นใน 2 มิติ คือ
หนึ่ง เพิ่มการมองเห็นข้อมูลเส้นทางเงินต้องสงสัย ด้วยการใช้กฎหมาย/เกณฑ์ที่มีอยู่ (พ.ร.บ.สถาบันการเงิน และ พ.ร.บ.ระบบการชำระเงิน) เข้าไปกำกับ ให้สถาบันการเงินส่งข้อมูลธุรกรรมตามเงื่อนไขที่ ธปท. กำหนด เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและป้องกันไม่ให้ภาคการเงินถูกใช้เป็นช่องทำทุจริต
เช่น กรณีมีเงินก้อนใหญ่ถูกโอนเข้าและออกเกือบจะทันที หรือบัญชีที่ปรากฏอยู่บนเว็บไซต์พนันออนไลน์ เพื่อดำเนินการต่อหรือส่งข้อมูลเพื่อสนับสนุนการทำงานของ ปปง. ในการดำเนินการต่อไป ประกอบด้วย
1.ยกระดับการกำกับดูแลและการรู้จักลูกค้าของผู้ใต้กำกับ เช่น
-สำหรับ ธพ. และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยจะออกหลักเกณฑ์ยกระดับการทำความรู้จักลูกค้า (KYC/CDD) ให้เข้มข้นขึ้น เพื่อจับจุดเสี่ยงและจัดการได้เร็ว รวมทั้งนำมาใช้ยกระดับการป้องกันต่อไป
-สำหรับผู้ให้บริการ e-Wallet และ Money Transfer Agent ยกระดับการกำกับดูแลเทียบเท่า ธพ. เช่น มี customer profiling ตรวจสอบระบบการตรวจจับธุรกรรมต้องสงสัย และ enforce เมื่อพบว่าผู้ให้บริการเกี่ยวข้องกับการทำผิดกฎหมาย
สำหรับ Money Changers จะเพิ่มคุณภาพและความสามารถของผู้ให้บริการในการติดตามตรวจสอบธุรกรรมผิดปกติ รวมทั้งกำหนดมาตรฐานการให้บริการลูกค้าเพิ่มเติม
ในส่วนการดำเนินการเกี่ยวกับธุรกรรมทองคำ ประกอบ
-ธุรกรรมทองปัจจุบันมีผลกระทบต่อค่าเงินค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการซื้อขายทองคำเป็นเงินบาท ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เงินบาทมีความผันผวนเพิ่มขึ้นในบางช่วง
-การซื้อขายทองคำด้วยสกุลเงินบาทส่งผลให้ร้านทองต้องบริหารความเสี่ยง (Square position) ทั้งการทำธุรกรรมทองคำกับต่างประเทศ และการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (FX)
โดยปัจจุบัน ธปท. มีข้อมูลของร้านทองเฉพาะกรณีที่ร้านทองทำธุรกรรมซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (FX) กับ ธพ. ในประเทศ แต่ไม่มีข้อมูล หากร้านทองซื้อขายทองคำกับตลาดต่างประเทศ การทำธุรกรรม FX ผ่านบริษัทในเครือในต่างประเทศ รวมทั้งกรณีทำธุรกรรมด้วย crypto currency
ธปท.จึงอยู่ระหว่างการปรับประกาศกระทรวงการคลัง เพื่อให้ได้ข้อมูลมากขึ้นเพื่อติดตามผลกระทบต่อค่าเงิน และกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องให้ตรงจุดต่อไป

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา