
"...เท่าที่ผู้เขียนทราบ ปรากฏการณ์เช่นว่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การดำเนินคดีของศาลฎีกาของไทย ผู้ที่ไม่เห็นด้วยมองว่านี่คือการพิจารณาความผิดซ้ำในคดีเดียวกัน ซึ่งในหลักกฎหมายทั่วไปเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ศาลก็อธิบายว่านี่ไม่ใช่การพิจารณาคดีใหม่ หากแต่เป็นการไต่สวนต่อเนื่องเมื่อมีเหตุอันควนสงสัยว่าการบังคับโทษมิได้เป็นไปตามกฎหมายและวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่ว่าศาลเป็นผู้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาเองโดยไม่ต้องให้มีผู้เสียหายเป็นผู้เริ่มต้น บทบาทในเชิงรุกใหม่ของศาลนี้เองที่ถือว่าเป็นการปฏิวัติ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเป็นการแสดงบทบาทของอำนาจฝ่ายตุลาการที่เข้ามาแก้ไขสถานการณ์ทางการเมืองที่อาจส่งผลเสียต่อความมั่นคงของประเทศได้หากระบบการอำนวยความยุติธรรมของประเทศถูกทำให้เสียหายไป..."
ในทัศนะของผู้เขียนแล้ว ได้เกิดปรากฏการณ์ที่ผู้เขียนขออนุญาตเรียกว่า “ตุลาการปฏิวัติ”(Judicial Coup) ขึ้นอย่างน้อย 2 ครั้งในปี 2568 นี้ ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 และ ครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ที่ผ่านมานี้เอง
ตุลาการปฏิวัตินี้คืออย่างไร? เกี่ยวข้อกับปรากฏการณ์คล้ายคลึงกันที่เรียกว่า “ตุลาการภิวัฒน์” (Judicialisation) ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้หรือไม่ อย่างไร? ในขณะที่ตุลาการภิวัฒน์นั้นเชื่อกันว่าเกิดขึ้นในช่วงต้นปี พ.ศ. 2549 เมือทางฝ่ายตุลาการยื่นมือเข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์โดยการประกาศให้การเลือกตั้งใหม่ที่ ดร. ทักษิณกำหนดให้มีขึ้นภายหลังการยุบสภาเพื่อหาทางออกทางการเมืองให้แก่ประเทศนั้นเป็นโมฆะ และเมื่อเหตุการณ์พัฒนาต่อไปจนกลายเป็นการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2549 ฝ่ายตุลาการก็เริ่มมีบทบาทในการดำเนินคดีกับนักการเมืองที่ทำงานร่วมกับ ดร. ทักษิณ รวมทั้งตัว ดร. ทักษิณเองด้วย จนเป็นเหตุให้ ดร. ทักษิณเองถูกพิพากษาว่ามีความผิดในหลายคดีด้วยกัน แต่ได้หลบหนีออกไปอยู่ต่างประเทศก่อนที่ถูกบังคับโทษ บทบาทของฝ่ายตุลาการในการเข้าช่วยแก้ปัญหาทางการเมืองของประเทศนี้เองจึงมีชื่อเรียกว่ากระบวนการตุลาการภิวัฒน์ ซึ่งมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จนกระทั่งเมื่อ ดร. ทักษิณ เดินทางกลับประเทศไทยเพื่อเข้ามารับโทษในความผิดที่ได้ทำไว้ กระบวนการตุลาการณ์ภิวัฒน์ที่กล่าวถึงนี้ก็ดูจะลดบทบาทหรือหดหายไป
แต่แล้วก็เป็นตัว ดร. ทักษิณอีกนั่นแหละ ที่ทำให้มีการเรียกร้องให้กระบวนการตุลาการภิวัฒน์รอบที่สองกลับมาอีก เพราะ ดร. ทักษิณได้มีบทบาทที่สร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดขึ้นในสังคมตั้งแต่วันแรกที่เดินทางมาถึงสนามบินดอนเมืองเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับการเลือกนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 14 พ ค 2566 ในวันนั้น นอกจากพรรคเพื่อไทยของคุณทักษิณจะได้นายเศรษฐา ทวีสินเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของไทยแล้ว ดร. ทักษิณยังได้รับอนุญาตให้ย้ายจากเรือนจำคลองเปรมไปอยู่ที่ห้องพิเศษบนชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจอีกด้วย ถือว่าเป็นการถูกจำคุกที่มีความพิเศษที่สุดเป็นเวลาถึง 180 วันโดยไม่ต้องกลับไปอยู่ในเรือนจำตามปกติอีกเลย และเมื่อได้รับการปล่อยตัวให้ไปรับโทษที่บ้านพักของตัวเองที่ฝั่งธนบุรีได้ ก็เริ่มมีบทบาทในทางการเมืองโดยการไปสนับสนุนการหาเสียงของพันธมิตรทางการเมืองในการเลือกตั้งส่วนท้องถิ่นและการแสดงวิสัยทัศน์ทางการเมืองในที่ต่างๆ
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในสภาพที่ทำให้ ดร ทักษิณดูเหมือนเป็นผู้นำของประเทศมากกว่าเป็นนักโทษเด็ดขาดที่กำลังอยู่ระหว่างการบังคับโทษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการถูก “จองจำ” อยู่บนห้องพิเศษบนชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจตลอดเวลา 6 เดือน โดยที่ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมตามปกติทำอะไรไม่ได้ ได้สร้างความอึดอัดและคับข้องใจให้แก่ประชาชนคนไทยโดยทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้จะมีกลุ่มบุคคลที่พยายามยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมให้เข้ามาพิจารณาในเรื่องนี้ ทางศาลก็ปฏิเสธว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของฝ่ายบริหารในการบังคับโทษ ผู้ร้องไม่ใช่ผู้เสียหาย เพราะฉะนั้น ไม่มีสิทธิ์ที่จะร้องเรียนในศาลเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 30 เม ย 2568 ปรากฏการณ์ ตุลาการปฏิวัติครั้งที่หนึ่งจึงเกิดขึ้น ในวันนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางเมืองได้ออกคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องครั้งที่สามที่คณะผู้ร้องที่นำโดยนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ให้ศาลนำคำร้องเกี่ยวกับการบังคับโทษ ดร. ทักษิณ บนชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจขึ้นมาพิจารณา โดยศาลยกคำร้องของนายชาญชัยและคณะเพราะไม่ใช่ผู้เสียหายในการนี้ และไม่ได้เป็นคู่กรณีกับ ดร.ทักษิณ แต่แทนที่เรื่องนี้จะตกไป ศาลกลับมีคำสั่งว่า เนื่องจากความปรากฏต่อศาลว่าอาจมีการบังคับโทษของ ดร. ทักษิณที่ไม่ถูกต้อง ศาลจึงมีมติให้นำเรื่องการบังคับโทษนี้ขึ้นมาพิจารณาต่อเนื่องจากคำพิพากษาที่ได้สั่งออกไปแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 โดยนัดหมายให้ผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้ทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลย และหน่วยงานและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการบังคับคดีเข้ารับการไต่สวนเพิ่มเติมโดยคณะผู้พิพากษาจากศาลฎีกาจำนวน 5 คนที่ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาจะเป็นผู้ดำเนินการไต่สวนเอง
เท่าที่ผู้เขียนทราบ ปรากฏการณ์เช่นว่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การดำเนินคดีของศาลฎีกาของไทย ผู้ที่ไม่เห็นด้วยมองว่านี่คือการพิจารณาความผิดซ้ำในคดีเดียวกัน ซึ่งในหลักกฎหมายทั่วไปเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ศาลก็อธิบายว่านี่ไม่ใช่การพิจารณาคดีใหม่ หากแต่เป็นการไต่สวนต่อเนื่องเมื่อมีเหตุอันควนสงสัยว่าการบังคับโทษมิได้เป็นไปตามกฎหมายและวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่ว่าศาลเป็นผู้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาเองโดยไม่ต้องให้มีผู้เสียหายเป็นผู้เริ่มต้น บทบาทในเชิงรุกใหม่ของศาลนี้เองที่ถือว่าเป็นการปฏิวัติ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเป็นการแสดงบทบาทของอำนาจฝ่ายตุลาการที่เข้ามาแก้ไขสถานการณ์ทางการเมืองที่อาจส่งผลเสียต่อความมั่นคงของประเทศได้หากระบบการอำนวยความยุติธรรมของประเทศถูกทำให้เสียหายไป
และในที่สุด เมื่อกระบวนการไต่สวนเพิ่มเติมเสร็จสิ้นลงเมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2568 ศาลฯได้มีคำวินิจฉัยว่าการบังคับโทษ ดร. ทักษิณ มิได้เป็นไปตามกฎหมายและกระบวนการที่ถูกต้อง จึงมีคำสั่งให้กรมราชทัณฑ์นำตัว ดร. ทักษิณเข้าไปรับโทษในเรือนจำคลองเปรมใหม่เป็นเวลา 1 ปีนับตั้งแต่วันที่ 9 ก ย 2668 เป็นต้นไป ผลของการตุลาการปฏิวัติครั้งนี้คือการกลับคืนมาของระบบการอำนวยความยุติธรรมที่ถูกต้องที่หายไปกว่า 2 ปี
ตุลาการปฏิวัติครั้งที่สองเมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2568 ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ศาลฎีกาของไทยได้สร้างปรากฏการณ์ในกระบวนการอำนวยความยุติธรรมที่ไม่เคยมีตัวอย่างมาก่อน และเป็นการสร้างบรรทัดฐานการปฏิบัติที่น่าจะทำให้สังคมไทยมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น ในครั้งนี้ ศาลฎีกาได้กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์โดยให้ ดร. ทักษิณ มีความผิดในการโอนหุ้นบริษัทชินคอร์ปของตนไปให้บุตรชายและบุตรสาวของตนซึ่งนำไปขายให้กับบริษัทของสิงคโปร์โดยเลี่ยงภาษีที่ควรต้องเสียเป็นจำนวนถึงกว่า 17 000 ล้านบาท ศาลรับไม่ได้กับการที่ ดร. ทักษิณ โอนหุ้นของตนไปไว้ที่บริษัทที่ตัวเองตั้งขึ้นที่ต่างประเทศด้วยวัตถุประสงค์เพื่อปกปิดการเป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริง ทั้งๆที่การกระทำเช่นนี้เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 11 แห่ง พรบ การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ. 2543 อย่างชัดเจน และมีโทษตามมาตรา 17 โดยอาจต้องถูกจำคุกถึง 10 ปี เสร็จแล้วก็โอนหุ้นให้ลูกในราคาถูกๆเพื่อให้ลูกเอาไปขายให้บริษัทชองสิงคโปร์โดยได้กำไรเกือบ 50 เท่าโดยไม่ต้องเสียภาษีเลย โดยศาลวินิจฉัยว่าการกระทำเช่นนี้มีเจตนาที่จะเลี่ยงภาษีเท่านั้นเอง มิได้มีเหตุผลในทางเศรษฐกิจอื่นใดที่พอจะรับได้ทั้งสิ้น และในเมื่อการโอนหุ้นไปให้แก่บุตรทั้งสองเป็นการอำพรางเจตนารมณ์ที่แท้จริง ศาลจึงวินิจฉัยว่า แท้ที่จริงแล้ว ดร. ทักษิณ คือผู้ที่เป็นตัวการในการกระทำนี้ทั้งหมด จึงไม่สามารถอ้างประโยชน์จากกฎหมายภาษีของไทยได้ และจะต้องจ่ายภาษี เบี้ยปรับ และ เงินเพิ่มตามที่กล่าวถึงแล้ว
การที่ศาลได้มีวินิจฉัยเพิ่มเติมว่า การกระทำของ ดร. ทักษิณนั้นเป็นการขาด “คุณธรรมทางภาษี” ซึ่งเป็นเรื่องเราไม่เคยเห็นมาก่อนในคำพิพากษาของศาลยุติธรรมของประเทศ แต่การที่ศาลฎีกาเห็นว่าการปฏิบัติทางภาษีของ ดร. ทักษิณในครั้งนี้มีความร้ายแรงมากจนทำให้ศาลจะต้องออกตัวแรงมากขนาดนี้ แต่ประเด็นที่สำคัญมากกว่านี้น่าจะอยู่ที่คำวินิจฉัยที่ว่าการ “เลี่ยง” ภาษีในครั้งนี้ “เป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจนอกเหนือจากการหา ประโยชน์อื่นรวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย อย่างร้ายแรง”
ดังนั้นคำตัดสินของศาลฎีกาเมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2568 ที่เกี่ยวกับการขายหุ้นของ ดร. ทักษิณให้บริษัทในสิงคโปร์ตั้งแต่เมื่อปี 2549 จึงต้องถือว่าเป็นตุลาการปฏิวัติที่สำคัญอีกครั้งหนึ่งซึ่งมีการให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า หากยอมให้เกิดขึ้นได้จะสร้างความไม่เป็นธรรมกับผู้ที่ประกอบอาชีพหรือธุรกิจโดยสุจริต และมีเจตนาที่จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของการเสียภาษีที่ถูกต้อง และไม่ให้เงื่อนไขทางเทคนิคของการเสียภาษีมาเป็นข้ออ้างในการหลีกเลี่ยงเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษี คำตัดสินของศาลฎีกาครั้งนี้น่าจะทำให้นิติกรรมอำพรางเกี่ยวกับธุรกรรมที่ต้องเสียภาษีในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการเสียใหม่ มิฉะนั้นจะโดน “ดัดหลัง” ในทางกฎหมายได้เหมือนกับคดีนี้

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา